พี่ชายที่รัก-2

โดย  พันสิงห์

พี่ชายที่รัก

2

ประกาศข่าวดีจ้า

นุ้ยจะรีปริ้น เพลิงรักหัวใจซาตาน อีกครั้งนะคะ

เล่มนี้จะวางขายตามร้านหนังสือชั้นนำ ทั้ง B2S ,

ซีเอ็ด และ นายอินทร์ ทั่วประเทศเน้อ

อดใจรออีกนิด ต้นปี 2561 เจอกันแน่นอนค่ะ

นอกจากจะมีรูปเล่มแล้ว นักอ่านท่านไหนสนใจแบบ E-book ก็สามารถดาวน์โหลดมาอ่านนะคะ

ลิงก์นี้เลยจ้า

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTc4MTY0IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMjg5ODIiO30

ขอบคุณทุกยอดดาวน์โหลดที่เข้ามานะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ

-----------------------------------------------------

บทที่ 1 คำสั่งนาย

“มีน ปีนี้จะออกค่ายอีกหรือเปล่า?” เสียงทุ้มน่าฟังของร้อยตำรวจเอกชนาธิป ชายหนุ่มในเครื่องแบบเอ่ยถามน้องสาวบนโต๊ะอาหารเช้าของวันที่อากาศสดใส ทั้งสองเป็นพี่น้องที่อายุห่างกันเกือบเจ็ดปี ชนาธิปนั้นเป็นนายตำรวจอนาคตไกล ส่วนปาณิสราคือสาวน้อยน่ารักของพี่ชนาธิป ปีนี้เธอก็จะจบการศึกษาเป็นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาปิโตรเคมีของมหาวิทยาลัยชื่อดัง คณะและสาขาที่เธอเรียนดูจะไม่ค่อยเข้ากับสาวสวยน่ารัก บอบบางในสายตาทุกคนที่เห็นสักเท่าไหร่นัก

“ไปค่ะ” ปาณิสราหันมาตอบพี่ชายที่หาเงินส่งเธอเรียนตั้งแต่ไร้ซึ่งผู้เป็นบิดามารดา เพราะมารดานั้นเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนบิดาก็แยกไปมีครอบครัวใหม่ สองพี่น้องก็อาศัยเพิ่งพากันและกันมาตลอด ยังดีหน่อยที่มีบ้านให้พักอาศัยแม้จะไม่ใหญ่โต แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น

“กี่วัน เป็นเดือนอีกหรือเปล่า” คนเป็นพี่หันมามองน้องสาว ปาณิสราดูจะมีเค้าโครงรูปหน้าเหมือนมารดา ดวงตาคมโต ใบหน้าเรียวสวย จมูกโด่งเป็นสันที่ชอบย่นใส่เขายามไม่พอใจ คิ้วแทบไม่ต้อง จัดแต่งก็สวยได้รูป ริมฝีปากหยักที่ชอบเม้มเข้าหากันในยามขบคิด

ผมยาวดำขลับที่บางวันก็เป็นยายเพิ้งเพราะไม่ค่อยชอบหวีผมสักเท่าไหร่ แต่ถ้าวันไหนมีเรียนก็จะเป็นสาวเรียบร้อยกับเขาได้เหมือนกัน มองดูกี่ทีปาณิสราก็ยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยในสายตาของชนาธิปเสมอ เด็กผู้หญิงที่ต้องมีพี่ชายดูแล แม้จะเรียนในสาขาวิชาที่ดูห้าวไปหน่อยก็ตามที

“อืม…มีนยังไม่เห็นกำหนดการเลยพี่มัตต์” คนถูกถามทำท่าคิด ก่อนจะเอ่ยตอบ เพราะตอนนี้เธอยังไม่มีข้อมูลในมือเลยว่าการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทของเธอต้องไปที่ไหน อะไรยังไงบ้าง ซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้ว เธอต้องไปช่วยอย่างแน่นอน

“จะไปเมื่อไหร่ก็บอกพี่ด้วยแล้วกัน” ชนาธิปเอ่ยขึ้น ก่อนจะยกกาแฟดำในแก้วทรงสวยขึ้นดื่ม จะว่าไปปีนี้ปาณิสราก็กำลังจะเรียนจบแล้ววันเวลาช่างผ่านไปเร็วเสียจริง

“เจ้าค่ะ”

“เราจะเรียนจบแล้วนี่ คิดเอาไว้หรือยังว่าอยากไปสมัครงานที่ไหน”

“คิดแล้วค่ะ แต่บริษัทที่ตรงกับสายงานของมีนและเป็นบริษัทที่อยากร่วมงานด้วย ล้วนอยู่ต่างจังหวัดทั้งนั้นเลย” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ มือก็แกว่งช้อนทรงสูงไปบนถ้วยที่ตอนนี้คอนเฟลกดูดนมสดจนมันชักจะอืดแล้ว

“ไม่เห็นเป็นไร ไปทำงานต่างจังหวัดก็ดีออก”

“แต่มีนอยากอยู่กับพี่มัตต์นี่” ความที่ยังไม่เคยห่างพี่ชายและยังไม่เคยใช้ชีวิตคนเดียว ทำให้ปาณิสรารู้สึกกลัวไม่ได้ ถึงจะโตจนอายุย่างเข้ายี่สิบเอ็ดปีแล้ว แต่สำหรับเธอโลกใบนี้ดูกว้างเสียจนไม่รู้ว่าการอยู่คนเดียวนั้น เธอจะทำได้แค่ไหน

“เด็ก...จะอยู่กินนมพี่หรือไง”

“เปล่าสักหน่อย ก็แค่กลัวว่าจะอยู่ได้หรือเปล่า” คนถูกสบประมาททำเสียงอ่อยๆ ให้ ก่อนจะย่นจมูกและตักคอนเฟลกเข้าปาก

“ไม่ลองไม่รู้ จริงไหม”

“ก็จริง แต่มันก็อดกลัวไม่ได้นี่คะ” ปาณิสราพยักหน้าให้คำพูดของพี่ชาย แต่ก็ยังไม่ข้อโต้แย้งเล็กๆ กลับมาอยู่ดี ชนาธิปจึงส่ายหน้าให้ แต่จะว่าไปเขานั้นก็เป็นห่วงปาณิสรามากอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องปล่อยให้น้องสาวก้าวต่อไปด้วยตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานบ้างก็ถือซะว่าเป็นรสชาติของชีวิต

“อย่ากลัวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม จำไว้”

“ค่ะ” คนเป็นน้องสาวเอ่ยรับเสียงใส แต่ในใจนั้นก็แอบหวั่น แต่ก็ไม่อยากให้ชนาธิปมาคอยห่วงเธอแบบนี้เหมือนกัน เดี๋ยวจะหาว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียที

“รีบกินเข้า เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งที่มหาวิทยาลัย วันนี้จะใช้รถ”

“เหรอคะ นึกว่าจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่นั่นไปส่งมีนซะอีก” หญิงสาวหันไปยังรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำคันใหญ่ของพี่ชายที่จอดอยู่ข้างๆ รถเก๋งของเธอที่หาซื้อมาเพราะเงินเดือนของชนาธิป เนื่องจากชายหนุ่มเห็นว่าน้องสาวต้องใช้ขับไปเรียนจะได้สะดวกขึ้น

“ก็อยากทำ แต่วันนี้นายเรียกประชุมบอกให้สร้างภาพหน่อย”

“อ้อ” ปาณิสราเอ่ยตอบเสียงสูง ก่อนจะตักคอนเฟลกใส่นมเข้าปาก เพราะนี่คืออาหารเช้าของเธอที่จะกินทุกวันแทนข้าว เพราะนั่นจะหนักท้องไปสำหรับเธอ ส่วนชนาธิปมีแค่กาแฟดำกับขนมปังปิ้งสองแผ่นก็เพียงพอแล้วเหมือนกัน


เมื่อกินข้าวเช้ากันเรียบร้อย ชนาธิปก็ขับรถไปส่งน้องสาวที่มหาวิทยาลัย ก่อนจะขับรถไปยังสถานที่นัดหมาย ซึ่งมันไม่ใช่กองปราบสถานที่ทำงานของเขาแต่อย่างใด ไม่รู้ว่านายมีอะไรสำคัญนักหนา ถึงให้เขามาหาที่นี่แถมยังต้องให้เขาสร้างภาพทำตัวเนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแบบนี้อีก ชนาธิปขับรถไปตามแผนที่ที่พันตำรวจโทอานนท์ให้มา ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าไปยังคอนโดมิเนียมสุดหรูติดแม่น้ำเจ้าพระยา

นายตำรวจหนุ่มก้าวลงจากรถ ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เพราะชนาธิปนั้นถือว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แม้ผิวจะคล้ำแดดก็ตาม แต่ใบหน้าก็ดูหล่อเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาล คิ้วดกหนา จมูกโด่งรับกับริมฝีปาก โดยรวมก็มีเสน่ห์แต่กลับไร้ซึ่งคนรักเพราะมัวแต่ทุ่มเทให้กับงาน

ชนาธิปเดินตรงไปยังลิฟต์ก่อนจะกดขึ้นไปยังชั้นยี่สิบห้า พอประตูลิฟต์เปิดออกก็มองหาห้องหมายเลข 2509 ซึ่งมันเป็นห้องที่อยู่ริมสุดของตัวตึกด้านซ้ายนั่นเอง แต่ที่ดูจะไม่ธรรมดาก็เพราะหน้าห้องมีตำรวจยศน้อยยืนอยู่ถึงสองคน พอเห็นหน้าชายหนุ่ม ตำรวจนายหนึ่งก็รีบเคาะประตูเป็นสัญญาณ ก่อนจะผายมือให้เขาเดินเข้าไปข้างใน ซึ่งชนาธิปก็เดินเข้าไปแบบระวังตัว

“มาแล้วเหรอผู้กอง” พันตำรวจโทอานนท์เอ่ยทักลูกน้อง

“ครับท่าน” ชนาธิปเอ่ยรับ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย อันที่จริงเขาเห็นเธอเป็นคนแรกตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วด้วยซ้ำ หญิงสาวที่นั่งอยู่ถือว่าหน้าตาดีใช้ได้ ตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย แต่ใบหน้าสวยๆ นั้นกลับบึ้งตึงน่ากลัวและไม่น่าคบดี แต่จะว่าไปใบหน้าเธอดูคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน

ส่วนหญิงสาวตรงหน้าก็มองชายหนุ่มในเครื่องแบบผู้มาใหม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าไล่มองลงมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สีหน้าแสดงออกว่าไม่ชอบนิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่เพราะความจำเป็นหรอกเธอถึงยอมมาอยู่ที่เมืองไทย ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีวันมาแน่นอน แถมยังต้องมาแบบไม่ให้ใครรู้อีก ทั้งๆ ที่แฟนคลับในเมืองไทยของเธอก็มีตั้งมาก

“นั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มนั่งลงตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่วันนี้มาแปลก เหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

“นี่เฮริมหลานฉัน ส่วนนี่ผู้กองชนาธิป” คำแนะนำตัวให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันของพันตำรวจโทอานนท์ ทำให้ชนาธิปค่อนข้างแปลกใจ ฟังจากชื่อเหมือนเธอจะไม่ใช่คนไทย แต่ชายหนุ่มก็ดูจะไม่ค่อยสนใจเสียด้วย ถึงเธอจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจแต่ชายหนุ่มก็พูดทักทายเป็นภาษาไทยไปก่อน

“สวัสดีครับ”

“สวัดดีค่ะ” ปาร์คเฮริมเอ่ยทักแบบเสียงตึงๆ กลับไป ตามมารยาทเท่านั้น สำเนียงภาษาไทยเวลาพูดคุยของเธอนั้นถือว่าดี ครั้งแรกชนาธิปยังคิดว่าเธอจะตอบเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นเสียอีก แต่กลับผิดคาด

“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เฮริมเขาถูกแฟนคลับขู่ทำร้าย งานของผู้กองคือมาเป็นบอดี้การ์ดให้เธอ ตามติดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ว่าเฮริมจะไปไหน ผู้กองต้องไปด้วย”

“บอดี้การ์ด งานแบบนั้นท่านรองก็รู้ว่าผม...” ชนาธิปทำท่าจะเอ่ยค้าน เพราะงานแบบนี้เขาไม่รับทำและหลีกเลี่ยงมาตลอด โดยที่ผู้บังคับบัญชาก็รู้ดี แต่ทำงานแบบนี้ถึงมาหาเขาอีก

“ผมรู้ว่าผู้กองไม่รับงานแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีใครว่าง ทุกคนออกนอกพื้นที่กันหมด อีกอย่างเฮริมคือหลานสาวผม ผมไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำงานนี้” แววตาของพันตำรวจโทอานนท์ดูแน่วแน่ ถึงคนอื่นจะว่างแต่สำหรับงานนี้คนที่เหมาะสมที่สุดคือชนาธิป

“แล้วที่บอกว่าตามติดยี่สิบสี่ชั่วโมงมันคืออะไรครับ” นายตำรวจหนุ่มคิ้วขมวด หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้

“ผู้กองต้องบินกลับไปเกาหลีพร้อมเฮริม อยู่ดูแลเธอจนกว่าสายสืบที่นั่นจะจับคนร้ายได้” พันตำรวจโทอานนท์นั้น ได้ให้น้องสาวซึ่งเป็นมารดาของปาร์คเฮริม จัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ ด้วยการเข้าแจ้งความให้ตำรวจที่เกาหลีตามสืบหาตัวคนร้าย แต่จะให้ตำรวจที่นั่นมาคอยตามติดปาร์คเฮริม ตลอดก็คงผิดสังเกต กลัวคนร้ายจะรู้ทันจึงต้องโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากพี่ชายอย่างตนถึงเมืองไทย

“เกาหลี!!” ชนาธิปเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินจากพันตำรวจโทอานนท์ สุดท้ายสิ่งที่คิดก็เป็นจริงแถมยังเกินไปเสียด้วย ให้ตายสิ งานแบบที่เขาไม่ต้องการพุ่งเข้าหาแบบปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย

“ใช่…เพราะเฮริมอยู่ที่นั่น”

“แล้วทำไมเธอถึงไม่ให้ตำรวจของที่นู่นให้คุ้มกัน” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาเป็นตำรวจที่เมืองไทย ให้ไปทำงานที่เกาหลีจะทำอะไรได้

“ขืนเป็นข่าว ฉันก็แย่น่ะสิ” ปาร์คเฮริมเอ่ยขึ้น เพราะไม่อยากให้เรตติ้งของตัวเองตกนั่นเอง ขืนสมาชิกในวงอีกสามคนรู้ว่าเธอเป็นตัวอันตรายพวกเขาก็ต้องหวาดระแวงเป็นแน่ เธอไม่อยากให้เรื่องมันเลวร้ายแบบนั้น

“แค่เนี้ย แล้วมันจะคุ้มกันไหมกับชีวิตของเธอ กลัวอะไรไม่เข้าท่า” ชนาธิปส่ายหน้าให้กับความคิดตื้นๆ ของหญิงสาวตรงหน้า

“คุณ...” คนฟังกำหมัดแน่น กัดฟันดังกรอดๆ ท่าทางของปาร์คเฮริม ทำให้ชนาธิปรู้ว่าเธอเข้าใจภาษาไทยได้ดีทีเดียว บิดาหรือมารดาของเธอคงสอนมาดีก็เป็นได้ว่าการเป็นลูกครึ่งมันต้องได้ทั้งภาษาพ่อและแม่ ซึ่งก็ดีไม่น้อยเพราะถ้าขืนทำงานกับคนที่พูดคนละภาษาเขาก็คง ปวดหัวตาย

“เฮริม...หลานอย่าใจร้อน” พันตำรวจโทอานนท์เอ่ยปรามหลานสาว

“แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจทำงานนี้ หนูก็ไม่ต้องการค่ะคุณลุง” ปาร์คเฮริมเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปยังชนาธิป เพราะเธอเองก็ไม่อยากเห็นหน้าคนที่ไม่เต็มใจทำงานใกล้ชิดเธอเหมือนกัน อุตส่าห์หลบมาที่เมืองไทยหวังให้คนเป็นลุงช่วยแท้ๆ แต่สุดท้ายเหมือนเธอกลับเกาหลีมือเปล่า

“ขอบคุณที่เข้าใจ ผมเองก็ขอปฏิเสธ” ชนาธิปเองก็ได้ทีไม่ขอรับงานนี้เหมือนกัน พอเห็นสีหน้าของชายหนุ่มที่เมินใส่เธอแบบนั้นปาร์คเฮริมก็แทบกรี๊ด นี่เขาไม่รู้เลยใช่ไหมว่าเธอเป็นใคร เธอนั้นโด่งดังในฐานะเกิร์ลกรุ๊ปของเกาหลี มีแต่คนอยากเข้าใกล้ แล้วทำไมอีตาตำรวจทึ่มๆ คนนี้ถึงไม่อยากทำงานด้วย เธอนั้นดังมากเชียวนะ คิดแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที

“นี่คือคำสั่งของผมผู้กอง” ในเมื่อชนาธิปปฏิเสธ พันตำรวจโทอานนท์ ก็ต้องใช้คำว่าผู้บังคับบัญชามาใช้ให้เป็นประโยชน์ นายตำรวจหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกทันที

“ท่านครับ”

“ไม่มีข้อแม้ใดๆ งานนี้ผู้กองต้องรับไปทำ” คำพูดแบบมัดมือชกดังออกมาจากพันตำรวจโทอานนท์อีกครั้ง เพราะนี่คือชีวิตของหลานสาว เขาไม่อยากเสี่ยง

“แล้วงานของผมที่นี่ล่ะครับ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการเอง” พันตำรวจโทอานนท์ตอบอย่างมั่นใจ เพราะงานนี้เขาเตรียมทุกอย่างไว้รอแล้วนั่นเอง

“ผมต้องทำงานนี้ไปนานแค่ไหน”

“จนกว่าทางเกาหลีจะตามสืบหาตัวคนร้ายและจับได้” คำพูดของพันตำรวจโทอานนท์ไม่สามารถกำหนดเป็นจำนวนวันได้ ถ้ายังจับคนร้ายไม่ได้เขาก็ต้องอยู่กับผู้หญิงคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ เนี่ยเหรอ สงสัยเขาต้องเร่งสืบอีกแรงให้มันจบๆ งานนี้จะได้ยุติลงเสียที

“ถ้ามันลำบากนัก คุณก็ไม่ต้องทำ” ปาร์คเฮริมเอ่ยด้วยเสียงห้วนๆ มองมายังชนาธิป เพราะเธอไม่อยากทำงานกับคนที่ไม่เต็มใจเหมือนกัน

“นั่นคือสิ่งที่ผมอยากทำเหมือนกัน แต่ในเมื่อมันคือคำสั่งผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ ตกลง ผมรับงานนี้” ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นและเป็นคำสั่ง ชนาธิปก็ต้องรับทำ แม้จะไม่ต้องการก็ตามที

ได้ยินแบบนี้ พันตำรวจโทอานนท์ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ถ้าปาร์คเฮริมไม่ใช่หลานเขา งานนี้ก็คงไม่ลงมายุ่งด้วย แต่น้องสาวที่แต่งงานกับปาร์ค ฮยอง นักธุรกิจเกาหลีกลับโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือเรื่องนี้ ใครจะไปนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไหว

พันตำรวจโทอานนท์เล่าถึงงานของชนาธิปว่ามีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างโดยที่ชายหนุ่มไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้เลย รวมถึงปาร์คเฮริมเองก็ด้วย เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยพันตำรวจโทอานนท์ก็กลับออกไปจากคอนโดมิเนียมพร้อมลูกน้องสองคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง ปล่อยให้ชนาธิปและปาร์คเฮริมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากันต่อไป ก่อนที่ชนาธิปจะทำลายความเงียบนั้น

“แน่ใจนะว่าเธอถูกขู่จริงๆ”

“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” เพราะความที่ชนาธิปอายุมากกว่า ปาร์คเฮริมจึงเอ่ยกับชายหนุ่มเป็นทางการ

“ก็แค่ถาม เธอก็แค่ผู้หญิงธรรมดา ทำไมคนพวกนั้นต้องขู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะสร้างเรื่องเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่พี่น้อง” ถึงตอนนี้ชนาธิปเองก็ยังไม่รู้ว่าปาร์คเฮริมนั้นเป็นใคร แม้จะรู้สึกว่าคุ้นๆ หน้าเธอ แต่ก็ยังนึกไม่ออก

“คุณกล่าวหาว่าใครเรียกร้องความสนใจ อีกอย่างคุณไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร”

“ไม่รู้และไม่คิดจะรู้” ชนาธิปยักไหล่ให้

“คุณ!!” ปาร์คเฮริมกำหมัดแน่น ก่อนจะเดินกระทืบเท้าเข้าไปในห้องนอน หยิบหน้าปกซีดี วีซีดีหนังสือและนิตยสารที่เธอเคยถ่ายแบบ ขึ้นปก พร้อมด้วยจดหมายขู่และอีกสารพัดที่เธอได้รับจากผู้ไม่หวังดี ก่อนจะเดินกลับออกมาและโยนทุกอย่างในมือลงไปบนโซฟาตรงที่ชนาธิปนั่ง ให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้โกหก

“ดูซะ ว่าฉันเป็นใคร” พูดขบก็กอดอกเชิดหน้าขึ้นสูง ผู้ชายบ้าคนนี้อยู่หลังเขาหรือไงถึงไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่แทนที่ชนาธิปจะหยิบนิตยสารพวกนั้นมาดู เขากลับสนใจจดหมายเลือดและกล่องสีดำที่ภายในมีตุ๊กตาหัวขาดอยู่ แถมยังมีกระดาษแปะไว้แต่เขาก็อ่านไม่ออกว่ามันคืออะไร จึงหยิบมันยื่นให้เธอ

“มันอ่านว่าอะไร”

“นี่คือชื่อฉัน ปาร์คเฮริม ส่วนนี่เป็นจดหมายที่คนๆ นั้นส่งมา” แม้จะไม่อยากคุยดีด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ปาร์คเฮริมก็ต้องยอมตอบคำถามนั้นของชนาธิป

“แล้วเนื้อความในจดหมายนี่ล่ะ” คนฟังข่มความกลัวไว้ ก่อนจะอ่านเนื้อความบนจดหมายให้ชายหนุ่มฟัง

“มันเขียนว่า ฉันจะตามดูเธอทุกฝีก้าวฉันจะเป็นเงาของเธอปาร์คเฮริม” แค่อ่านเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าและน้ำเสียงของปาร์คเฮริมก็ดูไม่ดีเท่าไหร่

“ได้จดหมายนี่มาเมื่อไหร่” เมื่อเห็นหลักฐานในมือ ชนาธิปก็เอ่ยถามที่มาตามสัญชาติญาณของคนเป็นตำรวจทันที แต่จะว่าไปเธอเอาเข้ามาประเทศไทยได้ยังไงกัน สงสัยเจ้าหน้าที่ที่สนามบินจะพลาดเรื่องการตรวจกระเป๋ากระมัง

“อาทิตย์ก่อน”

“เธอเป็นใคร คนพวกนั้นถึงต้องส่งของพวกนี้มาให้”

“ตกลงนี่คุณไม่รู้จริงๆ ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร” คนฟังส่ายหน้าให้ชายหนุ่มเบาๆ มาถึงตอนนี้ ชนาธิปก็ยังไม่รู้อีกหรือไงว่าเธอเป็นใครเฝ้าถามแต่ประโยคนี้อยู่ได้

“ไม่รู้”

“หลังเขา” ปาร์คเฮริมเดินไปยังโทรทัศน์จอใหญ่ในห้อง ก่อนจะหยิบซีดีแผ่นหนึ่งใส่เครื่องเล่นซีดีแล้วกดเพลย์ให้ชนาธิปเห็นกันจะๆ ว่าเธอเป็นใคร ภาพฉายขึ้นมาแล้วแต่ชายหนุ่มก็ยังนั่งก้มหน้าก้มตามองจดหมายพวกนั้นอยู่ได้

“นี่ๆ ดูซะ” หญิงสาวใช้รีโมทในมือเคาะโต๊ะเป็นสัญญาณ ชนาธิปจึงเงยหน้าขึ้นมองโทรทัศน์ที่เป็นภาพคอนเสิร์ตของใครไม่รู้ เท่าที่เห็นน่าจะมีนักร้องที่เป็นผู้หญิงอยู่สี่คน ซึ่งเขาไม่รู้จักสักคนแต่เพลงที่ได้ยินก็พอจะคุ้นหูเพราะจำได้แล้วว่า ปาณิสราชอบเปิดในบ้านอยู่บ่อยๆ

“แล้วไง” เสียงตึงๆ ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีความตื่นเต้นใดๆ ของชนาธิปเอ่ยบอก

“โอ๊ย... อยากจะบ้า นี่เห็นไหมใคร คนเนี้ย” ปาร์คเฮริมชี้นิ้วไปยังตัวเองที่อยู่มุมซ้ายของโทรทัศน์ ชนาธิป เพ่งมองตามที่เธอบอก แต่คิ้วก็ยังขมวดเข้าหากันอยู่ดี

“ไม่เห็นรู้จัก เพื่อนเธอหรือไง”

“อ๊ายย คนๆ นี้คือฉัน ตาสว่างหรือยัง” คนฟังข่มความไม่พอใจแบบสุดๆ ก่อนจะเฉลยให้เพราะหมดความอดทนแล้ว

“เธอเหรอ... ไม่เห็นเหมือน”

“ฉันนี่แหละ คนที่ถือไมค์ร้องเพลงอยู่เนี่ยคือฉัน ปาร์คเฮริม” คนพูดชี้นิ้วมายังตัวเองเพื่อความแน่ใจ ชนาธิป เองก็พอจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว

“เป็นนักร้องว่างั้น”

“ใช่ค่ะ... ดังมาก” ปาร์คเฮริมเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ แต่สิ่งนั้นมันก็ทำให้ชนาธิปอยากแกล้ง หญิงสาวสามารถพูดต่อปากต่อคำเขาได้เป็นฉากๆ แบบนี้แสดงว่าไม่ธรรมดาแน่นอน

“ดัง? ตลกน่า ฉันไม่เห็นรู้จัก”

“ก็คุณเป็นเต่าล้านปีแบบนี้ไง ถึงได้ไม่รู้จักฉัน”

“เอาเถอะจะเต่าหรือไม่เต่า แต่ฉันก็ต้องรับหน้าที่ดูแลเธออยู่ดี พ่อเธอเป็นคนไทยหรือไง” ชนาธิปพยายามหยุดเรื่องนี้ไว้ เพราะเธอเป็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี

“เปล่า... แม่ฉันเป็นคนไทย พ่อเป็นคนเกาหลี แต่เดี๋ยวทำไมคุณต้องถามเรื่องส่วนตัวฉันด้วยไม่ทราบ” พอตอบไปแล้ว ปาร์คเฮริมถึงมาคิดได้

“ประดับความรู้ แล้วนี่จะกลับเกาหลีเมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้ เร็วไปไหมแม่คุณ” นายตำรวจหนุ่มอุทานตกใจ งานนี้ก็ไม่อยากรับแต่ขัดคำสั่งไม่ได้ นี่ยังต้องบินไปเกาหลีแบบด่วนอีก

“ฉันรีบ มีอะไรไหม คุณก็รีบไปจัดการธุระซะ พรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็นมารับฉันที่คอนโดด้วย”

“ฉันเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่คนรับใช้”

“จะอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ ออกไปแล้วช่วยล็อคห้องให้ด้วย ขอบใจ” พูดจบปาร์คเฮริมก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูล็อคกลอนเสร็จสรรพ

ชนาธิปส่ายหน้าให้กับงานที่ต้องทำ แต่ชายหนุ่มยังไม่กลับออกไปในทันที กลับนั่งมองจดหมายและตุ๊กตาหัวขาดตรงหน้า พยายามคิดว่าใครคือคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังงานนี้ แต่เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เสียด้วย คงต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของปาร์คเฮริม ว่าเธอพบเจอใครบ้างและใครคือผู้ต้องสงสัย งานนี้คงไม่ใช่เรื่องหมูๆ เสียแล้ว

บนโต๊ะมีซองสีน้ำตาลวางอยู่ โดยจ่าหน้าถึงชนาธิป ชายหนุ่มจึงหยิบมันมาเปิดออกดูปรากฏว่ามันคือพาสปอร์ตกับเช็คเงินสดก้อนใหญ่นั่นเอง เอกสารเข้าเกาหลีทุกอย่างพันตำรวจโทอานนท์จัดแจงให้ชายหนุ่มเรียบร้อยหมดแล้ว ชนาธิปนั่งถอนหายใจเฮือกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและกลับออกไปจากห้องเธอ พร้อมล็อคประตูให้ตามที่เจ้าของห้องบอก

“ให้ตายเถอะท่านรอง ทำแบบนี้ฆ่าผมเลยดีกว่า” ชายหนุ่มส่ายหน้าให้ขณะยืนรอลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจึงก้าวเข้าไป แต่จังหวะนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมหมวกปิดบังใบหน้าก้าวออกมาจากลิฟต์สวนกับชนาธิปพอดี ชายคนดังกล่าวดูจะชะงักนิดหน่อย ยามเห็นชนาธิป แต่ก็ยังคงทำตัวไม่สะดุดตานัก จังหวะที่เดินสวนกัน นายตำรวจหนุ่มได้กลิ่นคาวเลือดแต่เหมือนจะช้าเพราะประตูลิฟต์ได้ปิดลงและเคลื่อนตัวลงชั้นล่างตามที่เขากดไว้เมื่อครู่

แต่ความที่เอะใจกับกลิ่นคาวเลือดนั้น ชนาธิปจึงจะกลับขึ้นไปดูที่ชั้นยี่สิบห้าอีกครั้ง แต่ความเร็วของลิฟต์ก็ทำให้ชายหนุ่มลงไปถึงชั้นที่สิบเจ็ดแล้ว ชนาธิปเลือกที่จะเดินขึ้นบันไดหนีไฟ เพื่อกลับขึ้นมาชั้นที่เขาอยู่เมื่อครู่ เพราะไม่อยากเสียเวลารอลิฟต์อีกตัว นายตำรวจหนุ่มเดินจ้ำอ้าวก้าวยาวๆ ตรงไปยังชั้นยี่สิบห้าและเลี้ยวซ้ายไปยังห้องของปาร์คเฮริมทันที แต่สิ่งที่เขาคิดก็ถูกเมื่อหน้าประตูห้อง 2509 ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดและข้อความภาษาเกาหลีที่เขาอ่านไม่ออก

“คลาดกันจนได้” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ต้องสะดุ้งกับเสียงที่ได้ยิน



กรี๊ด!!

+++++

ลงแบบเรียกน้ำจิ้มเบาๆ อิอิ ประมาณวันจันทร์ จะมาอัพที่เหลือให้นะคะ


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว