พอล้มตัวลงนอนบนที่นอนปุ๊บ ความนุ่มสบายของที่นอนชั้นดีทำให้เปลือกตาของรมิดาปิดลงทันที เธอรู้ว่าถึงอย่างไรคืนนี้สองหนุ่มคงไม่ยอมให้เธอได้นอนหลับแน่ๆ ก็นี่มันเป็นการฮันนีมูนนี่เนอะ ขอนอนเอาแรงหน่อยดีกว่าเพราะเธอต้องรับศึกหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมพวกเขายังร้อนแรงเสียปานนั้น
ยามที่รมิดาตื่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เธอเปิดประตูออกมาก็ไม่เห็นสองหนุ่ม เธอนึกสงสัยว่าพวกเขาไปไหนกัน เธอจึงเดินสำรวจไปรอบๆ วิลล่าหลังงาม วิลล่าหลังนี้ถูกตกแต่งให้มีความรู้สึกถึงธรรมชาติบวกกับความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง เสมือนกับเป็นบ้านพักติดชายทะเลลังน้อยๆ เลยก็ว่าได้ นอกจากสระว่ายน้ำส่วนตัวแล้ว ยังมีชายหาดที่เป็นส่วนตัวอีก ภายในนั้นมีห้องนอนหลักเพียงห้องเดียว แต่มีส่วนประกอบอื่นๆ ครบครัน ตั้งแต่ในส่วนของการพักผ่อนหย่อนใน ส่วนของครัว สวนหย่อมเล็กๆ ที่มีชิงช้าตั้งอยู่
จากนั้นไม่นานสองหนุ่มก็กลับเข้ามาพร้อมกับของเต็มไม้เต็มมือ ส่วนใหญ่จะเป็นของสดที่ใช้สำหรับการทำครัว ยังดีที่ในครัวนั้นมีเครื่องปรุงต่างๆ เตรียมไว้อยู่แล้ว
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะ” รมิดาเอ่ยถาม
“พวกเราซื้อมาเผื่อไว้ เผื่อวันไหนขี้เกียจออกไปหาอะไรกินข้างนอกจะได้เปลี่ยนรสชาติทำอาหารกินกันเอง” จัสตินตอบ
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยค่ะ”
“ไม่แน่เราอาจจะลุกไปข้างนอกไม่ไหวก็ได้” วินธนัยเอ่ยเป็นนัยสองแง่สองง่าม
“พี่วิน” รมิดาแกล้งขึ้นเสียงดุใส่เขา แต่แก้มของเธอตอนนี้แดงปลั่งไปหมดแล้ว
สองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน การแกล้งเธอให้เขินอายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของพวกเขาไปแล้ว
กิจกรรมยามบ่ายของรมิดาก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการเดินสำรวจไปรอบๆ รีสอร์ทแห่งนี้พร้อมกับมีช่างภาพส่วนตัวด้วยกันถึงสองคน วินธนัยกับจัสตินต่างเก็บภาพของรมิดาในมุมต่างๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อ และในตอนหัวค่ำพวกเขาตกลงกันว่าจะออกไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารริมทะเลภายในรีสอร์ทเดียวกัน
ร้านอาหารแห่งนี้ถูกแบ่งเป็นสัดส่วน มีส่วนหนึ่งอยู่ในอาคาร และมีส่วนหนึ่งเป็นระเบียงไม้ที่ยื่นออกไปในตัวชายหาด แน่นอนว่า
รมิดาต้องเลือกนั่งในส่วนที่เป็นระเบียงมากกว่า บรรยากาศโดยรอบนั้นเหมาะกับการดินเนอร์ใต้แสงเทียนเป็นอย่างมาก ตลอดทางเดินถูกจุดด้วยไฟให้แสงสลัวๆ เพื่อสร้างความโรแมนติกกลมกลืนไปกับเสียงคลื่นและหมู่ดาวบนท้องฟ้า โต๊ะที่นั่งเป็นโต๊ะไม้กลมกลืนไปกลับธรรมชาติ และแต่ละโต๊ะถูกจัดแยกความเป็นส่วนตัวโดยมีการตกแต่งด้วยต้นไม้และกระถางต้นไม้กั้นระหว่างโต๊ะอย่างลงตัว ประเมินด้วยสายตาแล้วหาคนไทยแทบไม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติเสียมากกว่า
อาหารสามสี่อย่างที่ถูกสั่งค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟ สองหนุ่มต่างดูแลและเอาใจใส่รมิดาเป็นอย่างดี วินธนัยทำหน้าที่แกะกุ้ง ส่วนจัสตินค่อยๆ เลาะก้างปลาออกแล้วส่งไปให้หญิงสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ หมิงจัดการเองได้” รมิดาต้องร้องห้ามเพราะห่วงว่าพวกเขาจะไม่ได้กินเพราะวันนี้ทั้งวันพวกเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน
“ให้พวกเราดูแลมินนี่เถอะนะ” จัสตินบอกพร้อมกับรินไวน์ใส่แก้วให้เธอ
ในเมื่อคัดค้านไปก็เปล่าประโยชน์รมิดาจึงปล่อยให้พวกเขาบริการไป พวกเขาทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงที่มีเจ้าชายรูปงามอยู่เคียงข้าง เมื่อมื้อค่ำแสนโรแมนติกจบลง สองหนุ่มก็ประคองคนตัวเล็กกลับที่พัก
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว