SWEET SITUATION หนีรัก มาพบคุณ-บทที่ 11 คนแปลกหน้า 2

โดย  Mamaya

SWEET SITUATION หนีรัก มาพบคุณ

บทที่ 11 คนแปลกหน้า 2

หยางเวยกระโดดลงจากรถและตรงไปหาเซี่ยจิวจิว ก่อนจะเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ตอนนี้มีคนไม่มาตั้งหลายคน ไปลงทะเบียนแทนได้เลย รีบไปเถอะ”

กู้หลานกับเซี่ยจิวจิวส่งเธอเดินเข้าไปยังฝูงชน หยางเวยลงทะเบียนเสร็จเห็นลำดับของตัวเองก็รอหมายเลขที่จะได้รับ

นี่เป็นรายการที่อาศัยทักษะทางด้านภาษา จะพูดสุนทรพจน์ เดี่ยวไมโครโฟน หรือแสดงเซี่ยงเซิง* ซึ่งโดยสรุปแล้วก็เป็นการแสดงที่อาศัยความสามารถด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นการทำให้รู้สึกซาบซึ้งหรือตลกโปกฮาล้วนนำมาแสดงได้ทั้งนั้น

อันที่จริงหยางเวยไม่ได้เตรียมตัวมาเลยแม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงเตรียมบทพูดในเวลากระชั้นชิด ซึ่งความจริงการแสดงและศิลปะทุกอย่างล้วนอาศัยการถ่ายทอดอารมณ์เป็นสำคัญ หยางเวยทบทวนถึงอารมณ์ของเธอในยามนี้ จึงตัดสินใจเลือกที่จะแสดงทอล์กโชว์โดยใช้หัวข้อว่า “ชั้นเชิงการตอกกลับ”

เมื่อกี้ตอนที่อยู่บนรถเธอไม่กล้าด่าซ่งเจ๋อ โทสะในใจยังคงอัดแน่น จึงระบายลงในบทที่เธอจะพูด

เธอแก้ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังรออยู่ครึ่งวันในที่สุดก็เรียกถึงชื่อเธอ

การคัดเลือกถูกจัดขึ้นในห้องที่ดูค่อนข้างเก่า มีกล้องตั้งอยู่ด้านข้าง วิดีโอที่ใช้ในการออดิชันคงไม่ถูกเผยแพร่ออกไป กรรมการสามคนนั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับไฟคนละดวง ใครที่คิดว่าทนฟังต่อไปไม่ไหวก็สามารถกดปิดไฟได้ หยางเวยก้าวเข้ามาข้างใน กระแอมเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ความจริงฉันตื่นเต้นมากเลยค่ะ เมื่อสักครู่ฉันอยากจะถือฆ้องเข้ามาด้วย เพราะฉันเห็นผู้เข้าออดิชันมืออาชีพแต่ละคนบ้างก็ถือไคว้ป่าน* บ้างก็ถือซอมา แต่ละคนต่างมีอุปกรณ์เป็นของตัวเอง แต่ฉันไม่มีก็เลยรู้สึกประหม่าอยู่เหมือนกัน ถ้ามีสั่วน่า** สักอันก็ดี ฉันเป่าทีหนึ่งคงได้เงียบกันทั้งห้อง”

คำพูดนั้นทำให้คนที่นั่งอยู่หัวเราะไปตามๆ กัน หยางเวยมักจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงเสน่ห์น่าฟัง เว้นจังหวะหนักเบาได้อย่างเหมาะสม แม้จะเป็นแค่ประโยคธรรมดา แต่พอพูดกลับน่าฟังเป็นพิเศษ

หยางเวยมองไปรอบๆ เอ่ยต่อไปว่า “อันที่จริงพฤติกรรมอย่างนี้ก็คือการตอกกลับ การตอกกลับก็คือการที่คุณพูดมาคำหนึ่งแล้วฉันหาวิธีทำให้คุณเงียบได้ เมื่อก่อนฉันก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าวิธีการตอกกลับที่ดีที่สุดคืออะไร”

หยางเวยชะงักไปเล็กน้อยและแย้มยิ้ม เธอวางจังหวะท่าทางตามคำพูดได้อย่างเหมาะสม “ใช่แล้วค่ะ น่าจะเอากระดาษกาวมาปิดปากเขาซะ แน่นอนว่าวิธีการทำให้คนเงียบวิธีนี้ไม่น่าจะได้ผล
ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ทำได้เพียงใช้ภาษาเป็นอาวุธตอกกลับอีกฝ่าย เหมือนใช้แปรงขัดชักโครกแทงเข้าไปในชักโครกแรงๆ ดังนั้นฉันเชื่อเสมอว่าคนที่ตอกกลับคนอื่นได้เก่ง ฝีมือการดูแลห้องน้ำของ
พวกเขาย่อมต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน”

“เหมือนกับสามีเก่าของฉัน อ้อ ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้แต่งงานกับห้องน้ำ แต่สามีเก่าของฉันเขาเป็นคนต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน...”

อันที่จริงหยางเวยเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ เพียงแต่คอยปล่อยมุกตลกเป็นระยะ เธอเป็นคนสวยอยู่แต่เดิม แค่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนก็ทำให้ผู้ชมยิ้มเคลิบเคลิ้มได้แล้ว แต่รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ย่อมไม่ใช่ความได้เปรียบของการแสดงทอล์กโชว์ เพราะจะกลายเป็นผู้ที่ขายหน้าตามากกว่าความสามารถ แต่ตอนที่เธอยืนพูดต่อหน้าผู้คนกลับค่อยๆเผยเสน่ห์ออกมา ทำให้คนลืมเรื่องรูปโฉมของเธอ แล้วก็ตั้งใจฟังเนื้อหาที่เธอจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ

“เมื่อเช้าเขาส่งฉันมาที่งานออดิชันค่ะ ฉันรู้จักฝีมือเขาดีเลยไม่กล้าเถียงเขาแม้แต่คำเดียว ภายหลังฉันมาคิดได้วิธีหนึ่ง ฉันเถียงเขาซึ่งหน้าไม่ได้ก็ใช้สติกเกอร์ในวีแชตเถียงคืนสิ”

“จากนั้นเขาก็ถามฉันว่าฉันสบายดีไหม ฉันก็เลยรีบส่งสติกเกอร์ตอบไปว่าชีวิตปังสุดหยุดไม่อยู่” แล้วก็แสดงท่าทางของสติกเกอร์ตัวนั้นจนคนหัวเราะกันทั้งห้อง

เธอใช้เวลาห้านาทีพูดเนื้อหาที่เธอเตรียมมาจนจบ ไม่มีกรรมการคนไหนกดปุ่มหยุดฟัง จนกระทั่งเธอออกมาผู้เข้ารับการคัดเลือกคนอื่นๆ ต่างก็มองเธอ บางคนถึงขั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำการไลฟ์สดอย่างเปิดเผย

หยางเวยโบกมือแล้วยิ้มให้กับคนที่ยกกล้องโทรศัพท์มาทางเธอ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สวีตเวยเวยจากแอปพลิเคชันเหมียวเหมียวรอพวกคุณอยู่นะคะ”

คนที่กำลังถ่ายภาพเธอถึงกับชักสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะพลิกเปลี่ยนมุมกล้องในทันที

กู้หลานที่มารับหยางเวยหัวเราะออกมา ผู้หญิงทั้งสามคนกอดแขนกันออกมาด้านนอกด้วยความเบิกบาน ใครคนหนึ่งที่ไลฟ์สดอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “มีอะไรให้น่าหัวเราะขนาดนั้นกัน”

หยางเวยบังเอิญได้ยินประโยคนั้นเข้า เธอชะงักฝีเท้าและหันไปตอบผู้หญิงคนนั้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “นี่เธอรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเรารู้สึกอย่างไร?”

ฝ่ายนั้นคล้ายจับต้นชนปลายไม่ถูก หยางเวยตอบด้วยเสียงจริงจังว่า “แหงนหน้าหัวเราะกับฟ้า ประกาศให้โลกรู้ว่าฉันปังสุด!”

พูดจบเธอก็จูงแขนกู้หลานกับเซี่ยจิวจิวเดินหัวเราะออกไปอย่างเบิกบาน แฝงด้วยแววทะเล้นตลกอย่างที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเธอ ทิ้งผู้ที่วางมาดทะนงตนไว้เบื้องหลัง

ทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน หลังเดินออกมาหยางเวยก็หันกลับไปพูดกับเซี่ยจิวจิวว่า “เมื่อกี้เธอสั่งให้คนถ่ายไว้หรือยัง?”

เซี่ยจิวจิวรีบตอบว่า “ถ่ายแล้ว ฉันสั่งให้พนักงานถ่ายตั้งแต่เธอเดินเข้าไป”

ในคืนนั้นคลิปวิดีโอของเธอขึ้นเป็นคลิปสั้นสามสิบวินาทีที่ได้ความนิยมสูงสุด คลิปนั้นคือคลิปที่หยางเวยหัวเราะเสียงดังและเอ่ยว่า “แหงนหน้าหัวเราะกับฟ้า ประกาศให้โลกรู้ว่าฉันปังสุด!”

ซ่งเจ๋อส่งหยางเวยเสร็จยังไม่ทันได้ดูว่าเธอจะไปไหนต่อ ก็ถูกบริษัทโทรตามจนต้องรีบกลับไป พอเขาไปถึงบริษัท เกาหลินก็นำรายงานของวันนี้มาแจ้งเขาอย่างต่อเนื่อง

“วันก่อนหลังจากที่พวกเราซื้อหุ้นของต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์เพิ่มในราคา 10.04 ทำให้พวกเรากลายเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุด ผมส่งประกาศปลดประธานเกาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้วงในของต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์กำลังไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง คุณผู้ชายว่าเราควรจะประนีประนอมหน่อยไหมครับ?”

“ประธานเกาเป็นซีอีโอของต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์และเป็นบุคคลที่ถือหุ้นสูงสุดก่อนหน้านี้” ซ่งเจ๋ออยากซื้อบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เพราะชอบแพลตฟอร์มการไลฟ์สดและการจัดอันดับคลิปวิดีโอสามสิบวินาที เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการโปรโมทงานของซ่งซื่อกรุ๊ป วิสัยทัศน์ของประธานเกาและเขาต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งประธานเกายังเป็นศรัทธาของคนภายในบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ฉะนั้นซ่งเจ๋อจะเก็บเขาเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด ครั้งนี้การซื้อบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์เป็นไปอย่างซับซ้อนเพราะการพยายามขัดขวางของประธานเกา แต่ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ วันที่สามารถจัดการกับประธานเกาได้สำเร็จ ฉะนั้นประธานเกาย่อมพยายามเอาคืนทุกวิถีทาง

การปลุกปั่นคนภายในองค์กรเป็นหนึ่งในวิธีการโต้กลับ ซึ่งไม่ได้สร้างความสะทกสะท้านให้กับซ่งเจ๋อสักเท่าไหร่ เขามองหน้าจอคอมพิวเตอร์และตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้างั้นส่งประกาศอีกฉบับแจ้งว่า คำสั่งปลดประธานเกาเป็นมติที่ประชุม ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็ออกไปพร้อมกับประธานเกา”

“แต่ว่า...” เกาหลินมีท่าทีลังเล “สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การที่พวกเขาขัดขืนตรงๆ แต่เกรงว่าซีอีโอคนใหม่จะเอาพวกเขาไม่อยู่น่ะสิครับ”

อย่าให้การสูญเสียเงินมหาศาลต้องแลกมากับบริษัทห่วยๆ แห่งหนึ่ง จุดเด่นสำคัญของต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์คือเป็นบริษัทที่มีมูลค่า ถ้าไม่มีมูลค่าก็ไม่มีความหมายใดๆ

ซ่งเจ๋อนิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้หรือ?”

“ยังครับ” เกาหลินตอบ “หากจะหาคนมาจัดการสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูจะยังไม่มีใครที่เหมาะสม...”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ซ่งเจ๋อก็คิดทบทวน ก่อนจะมองหน้าจอคอมพิวเตอร์และเอ่ยขึ้นว่า “ต้องกำจัดประธานเกาให้ได้ ถ้าเอาไว้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่าง นายช่วยหาคนมารับช่วงต่อ ใน
ระหว่างนี้ต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์...”

ซ่งเจ๋อลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

การตัดสินใจของซ่งเจ๋อทำให้เกาหลินประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่ผู้ช่วยหนุ่มยังคงพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ถามธุระอื่นจนจบและเตรียมจะออกไป

จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้คุณผู้ชายคุยกับคุณนายเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

เกาหลินเปลี่ยนคำเรียกเป็นคุณนายแล้ว แต่ดูเหมือนซ่งเจ๋อจะไม่นึกแปลกใจแต่อย่างใด เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฉันอุตส่าห์ไปถามเธอด้วยตัวเอง เธอจะว่าอย่างไรได้อีก”

“ถ้าอย่างนั้นคุณนายก็คงจะกลับมาในเร็ววันสิครับ” เกาหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวผมจะให้ป้าหลินเตรียมตัวให้พร้อม”

“อืม”

ซ่งเจ๋อรับคำ

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เรียกเกาหลินไว้ เอ่ยว่า “เตรียมดอกไม้ไว้ให้ฉันช่อหนึ่ง”

เกาหลินเอ่ยตอบว่า “ได้ครับ”

หลังจากที่ซ่งเจ๋อสั่งเกาหลินเป็นที่เรียบร้อย ก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดวีแชต และเห็นว่าหยางเวยส่งข้อความให้เขา

เขายกมุมปากยิ้มด้วยความพึงพอใจ

อย่างไรเสียหยางเวยก็ต้องก้มหัวให้เขา...เขานิ่งคิด

แต่เมื่อเปิดช่องสนทนาของหยางเวยขึ้นมา เขาก็งุนงงอยู่ไม่น้อย

ภาพชายผิวดำกับเครื่องหมายคำถาม

ชีวิตฉันปังสุดหยุดไม่อยู่

โถๆๆ ทำอย่างนี้ก็เป็นด้วย

เชิญรับยาช่องสอง

ซ่งเจ๋อยิ่งเห็นยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม ท้ายสุดก็เห็นภาพสติกเกอร์ป้อนยา ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจภาพเหล่านี้ แต่ก็พอเดาได้ว่าต้องไม่ใช่คำพูดที่ดีแน่

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว