Killer โคตรนักล่าซอมบี้ NC-ตอนที่4

โดย  นางเงือกตัวน้อย

Killer โคตรนักล่าซอมบี้ NC

ตอนที่4

“มันเคยมีน้องสาว” คนข้างๆ เอ่ยขึ้นก่อนจะคีบน้ำแข็งใส่แก้วเปล่าใบหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจก

“เคยหรอคะ” ฉันถามอย่างแปลกใจตอนที่มองพี่คิมชงเหล้า เขาบอกว่าเคย... งั้นแสดงว่าตอนนี้น้องสาวของพี่คี...

“รู้แล้วเหยียบไว้ ห้ามพูดถึงอีก” พี่คิมเอ่ยพร้อมกับมองฉันด้วยแววตาจริงจัง ไม่ใช่ว่าปกติเขาไม่จริงจัง แต่ครั้งนี้มันเป็นอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเพื่อนของเขา ฉันพยักหน้ารับเป็นการตกลง ดังนั้นพี่คิมถึงได้เริ่มเล่าเรื่องน้องสาวของพี่คีให้ฉันฟัง

“น้องสาวมันเป็นเด็กน่ารัก เรียบร้อย ไอ้คีกับน้องสนิทกันมาก แต่ช่วงที่มันเรียนมหาลัยมันต้องย้ายมาอยู่หอ ตอนนั้นน้องมันเรียนอยู่มอปลาย อายุก็น่าจะเท่าๆ เรานี่แหละ” เขาว่าพร้อมกับพยักพเยิดมาทางฉัน ตอนนั้นน้องพี่คีอายุประมาณฉัน เพราะแบบนี้สินะเขาถึงได้ใจดีด้วยน่ะ

“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ” ฉันถามอย่างสงสัย

“น้องสาวมันท้อง” คำตอบของพี่คิมทำให้ฉันเบิกตากว้างเพราะคิดไม่ถึง

“ทะ... ท้อง” น้ำเสียงของฉันดังอย่างตะกุกตะกักเพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง พี่คิมบอกว่าเธอเป็นคนน่ารักเรียบร้อย แล้วทำไมล่ะ...

“ใช่ ท้องไม่มีพ่อด้วย เธอไม่ยอมบอกว่าใครเป็นพ่อเด็ก” เขาเล่าต่อในขณะที่ฉันกลับเริ่มขมวดคิ้วมุ่น ถ้าให้ฉันเดาในฐานะที่อายุใกล้เคียงกับน้องสาวของพี่คีในตอนนั้น ที่เธอไม่ยอมบอกมันอาจเป็นเพราะว่าเธอรักผู้ชายคนนั้นมากจนกลัวครอบครัวของตัวเองไปเอาเรื่องกับเขา หรือถ้าไม่... เธออาจจะถูกข่มขืนอย่างไม่เต็มใจ และเธอก็กลัวเกินกว่าที่จะพูดออกมา

“แล้วพี่คีว่ายังไงคะ” ฉันถามด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว แม้จะรู้ว่าตอนนี้ไม่ทันที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของเขาแล้วก็ตาม แต่ยังไง... ฉันก็เป็นห่วงพี่คีอยู่ดี

“มันโกรธ” พี่คิมเอ่ยสั้นๆ และนั่นก็เป็นประโยคที่เข้าใจได้ง่าย ฉันจินตนาการต่อไปได้ทันทีว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่คีและน้องสาวคงจะแย่ลงแน่

“ก็เลยทะเลาะกับน้องสาวใช่มั้ยคะ” คำถามของฉันทำให้คนฟังยกยิ้มมุมปากทันที

“เปล่า... มันเป็นคนเดียวที่ปลอบใจน้องสาว” พี่คิมตอบพร้อมกับเสสายตามามองฉันที่ได้แต่นั่งอ้าปากค้าง ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าพี่คีจะรักน้องสาวมากขนาดไหน เขาคงเป็นพี่ชายที่คนทั้งโลกใฝ่ฝันหา

“แต่พ่อกับแม่มันรับเรื่องนี้ไม่ได้ ส่วนพี่ชายคนโตตอนนั้นก็เรียนอยู่ต่างประเทศ น้องไอ้คีเลยโดนหนัก เธอเครียด จิตตก สุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย ไอ้คีรู้เรื่องเกือบคนสุดท้ายเพราะอยู่หอ” พี่คิมเอ่ยต่อและมันก็ฟังดูโหดร้ายนัก ความสงสารพี่คีแล่นขึ้นมาจับใจ

“แล้วลูก...” ฉันเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้ ทว่าไม่ทันที่จะได้ถามจบประโยคสายตาของพี่คิมก็บอกฉันถึงผลลัพธ์ที่มันเลวร้าย นั่นหมายความว่า... พี่คีเสียทั้งน้องสาวและหลานแท้ๆ ไปพร้อมกัน ทำไมเรื่องราวมันถึงได้โหดร้ายแบบนี้นะ...

“ไอ้คีมันรู้สึกผิดที่ปกป้องน้องสาวตัวเองไม่ได้ เข้าใจมันหน่อย” ท้ายประโยคพี่คิมพูดพร้อมกับตบบ่าฉันสองทีแล้วลุกขึ้นยืน เขาคว้าแก้วเหล้าของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเล็กก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก

ที่พี่คิมบอกเรื่องนี้กับฉัน... เพราะอยากให้ฉันเข้าใจพี่คีงั้นหรอ

หลังจากนั้นฉันก็นั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงห้องนั่งเล่นเพราะไม่มีอะไรทำ งานบ้านทุกอย่างฉันก็ทำเสร็จไปหมดแล้ว ที่จริงก็นั่งรอพี่คีแหละแต่เขาไม่เห็นมาสักที กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังลากผ่านผิวแก้มของตัวเองอย่างแผ่วเบา ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายแล่นเข้าปะทะจมูกในทันที

นี่ฉันเผลอหลับไปหรอ... น่าจะใช่ ฉันยังได้ยินเสียงโทรทัศน์อยู่เลย

“พี่คี” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงียเพราะรู้ว่าเป็นเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ ฉันจำกลิ่นน้ำหอมเขาได้

“ว่าไง” เจ้าของชื่อเอ่ยถาม พร้อมกับที่ผิวแก้มของฉันรู้สึกได้ถึงการลากไล้อีกครั้ง ฉันจั๊กจี้นะ... แต่ก็ง่วงเกินกว่าจะปรือตาขึ้นนานๆ ง่วงเกินกว่าที่จะห้ามมือซนๆ ของเขาไม่ให้บีบแก้มฉันเล่นด้วย

“รินไม่ทำงานแล้วก็ได้ค่ะ จะไม่ไปแล้ว” ฉันเอ่ยในสิ่งที่คิดออกไปหลังจากที่ก่อนหน้านี้ใช้เวลาคิดทบทวนอยู่หลายชั่วโมง พี่คีมีบุญคุณกับฉันนะ ฉันไม่อยากทำให้เขาไม่สบายใจ ต่อจากนี้ไปฉันจะคอยดูแลเขาเอง... ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำให้พี่คีมีความสุข

“อืม” เสียงของพี่คีดังตอบมาแว่วๆ ก่อนที่เปลือกตาฉันจะหนักอึ้งอีกครั้ง และรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยในอากาศ


คืนนั้น

ฉันตาสว่างในช่วงกลางดึกเพราะเมื่อเย็นดันเผลอหลับ แต่... ฉันเข้ามานอนในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่นะไม่เห็นจำได้เลย เหมือนก่อนหน้านี้ฉันจะได้คุยกับพี่คีด้วย แต่มันเป็นเพราะฉันง่วงมากเลยรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนคนละเมอ

ฉันเปิดประตูห้องนอนออกมาด้านนอกก็เห็นว่าไม่มีคนอยู่ สงสัยพี่คีคงยังไม่กลับจากทำงานล่ะมั้ง เขาน่ะทำงานไม่เป็นเวลา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงกลางคืนที่เขาไม่อยู่บ้าน ส่วนเวลากลางวันก็นอนบ้างดื่มเหล้ากับพี่คิมบ้าง เหมือนนกฮูกเลยเนอะ

แก็ก!

เสียงที่ดังขึ้นจากบานประตูทำให้ฉันซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนชะงักเท้า ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นพี่คีที่กลับมาซะอีก แต่คนที่เปิดประตูเข้ามากลับเป็นใครก็ไม่รู้ เขาเป็นผู้ชายร่างสูงที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดเกรง ใบหน้าคร้ามคมดูหล่อเหลาทว่าก็แฝงไปด้วยความดุดันจนฉันแทบไม่กล้าขยับตัว

“ยัยหนู เธอเป็นใคร” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้ามาด้านในราวกับคุ้นเคยกับที่นี่พอสมควร สรรพนามที่เขาเรียกฉันทำให้เขาดูเหมือนคนที่น่าจะอายุมาก แต่ดูจากภายนอกแล้วฉันกลับคิดว่าเขาน่าจะรุ่นเดียวกับพี่คีเลยด้วยซ้ำ

“คะ คือ...” ฉันเอ่ยอย่างตะกุกตะกักเพราะคิดอะไรไม่ออก ยังงงอยู่เลยว่าเขาเปิดประตูเข้ามาได้ยังไงในเมื่อมันล็อกอยู่

“ช่างเถอะ” คนถามเอ่ยตัดบทเสียเองเมื่อเห็นท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของฉัน ร่างสูงก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนของพี่คีราวกับต้องการหาของอะไรบางอย่าง ฉันจึงเดินตามหลังเขาแต่ไม่กล้าเข้าไปในห้อง

“มึงไปหลอกเด็กที่ไหนมาไอ้คี” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยกับคนในโทรศัพท์ตอนที่เปิดลิ้นชักนู้นลิ้นชักนี้

คนรู้จักพี่คีจริงๆ ด้วย... คิดอย่างนั้นฉันถึงได้วางใจแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาตรงห้องนั่งเล่นแทน ไม่ถึงห้านาทีผู้ชายคนนั้นก็เดินออกมา ฉันมองตามหลังเขาเงียบๆ จนกระทั่งร่างสูงชะงักแล้วหันมาพูดกับฉัน

“มาคล้องโซ่” เขาว่าพร้อมกับพยักหน้าเรียกฉัน คล้องโซ่หรอ... อ้อ เขาคงหมายถึงโซ่ตรงประตู คือคอนโดพี่คีนอกจากมีกลอนแล้วยังมีโซ่คล้องให้ด้วยน่ะ เอาไว้คล้องเวลาที่มีคนไม่รู้จักมาเคาะเรียก ถือเป็นการเซฟความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง

เห็นอย่างนั้นฉันถึงได้เดินไปหาเขาอย่างว่าง่าย คนตัวโตปรายตามองฉันเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“ยังเด็กอยู่เลยนะเรา เด็กกว่ายัยหนูที่บ้านอีก” ท้ายประโยคฉันได้ยินไม่ชัดนัก ไม่รู้ด้วยว่าสายตาราบเรียบนั้นกำลังตำหนิ หรือว่าแค่มองเฉยๆ

และเมื่อเขาคนนั้นออกไปฉันก็ปิดประตูล็อกกลอนโดยที่ไม่ลืมคล้องโซ่ จนประมาณเกือบตีสามพี่คีถึงได้กลับมา แถมสภาพของเขายัง...

“พี่คี!” ฉันเรียกชื่อร่างสูงด้วยความตกใจหลังจากที่เห็นเขาชัดเต็มสองตา แต่เจ้าของชื่อดูจะไม่ใส่ใจกับปฏิกิริยาของฉันนัก เขาถึงได้พยักหน้าให้แล้วเดินเข้ามานั่งที่โซฟาด้วยกัน ก่อนจะขโมยน้ำอัดลมกระป๋องที่ฉันเปิดกินก่อนหน้านี้ไปดื่ม

“พี่คีไปทำอะไรมาคะ ทำไมเป็นแบบนี้” ฉันถามพลางกวาดมองบาดแผลตรงมุมปากและรอยช้ำบางส่วนที่ปรากฏอยู่ตามผิวหน้าของเขา มีเลือดซิบด้วย... เขาต้องเจ็บมากแน่เลย

“โดนยำ ที่ผับมีเรื่องกันนิดหน่อย” เจ้าตัวตอบด้วยท่าทางที่ไม่เดือดร้อนอะไรสักนิด ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องเจอเป็นประจำ ให้ตายสิ... ต่อมรับความรู้สึกเขาพังรึไงกัน

“ถ้างั้นเดี๋ยวรินทำแผลให้นะคะ” ฉันเอ่ยอย่างเคร่งเครียดพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปหากล่องยา หรืออะไรก็ตามที่จะช่วยรักษาแผลของเขา
แต่แล้ว...

หมับ!

“ไม่ต้องหรอก... เดี๋ยวก็หาย ที่นี่ไม่มียาด้วย” พี่คีเอ่ยพร้อมกับคว้าข้อมือฉันไว้ ฝ่ามือร้อนระอุที่สัมผัสกับผิวทำให้ฉันเกิดความรู้สึกแปลกๆ จนเผลอเกร็งไปทั้งร่าง

อะไรกัน... ไอ้ความรู้สึกนี้น่ะ

“ดะ... เดี๋ยวรินไปซื้อให้เองค่ะ พี่คีไปอาบน้ำรอเลย” ฉันบังคับตัวเองให้เลิกสนใจอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นแล้วหันมาเอ่ยกับพี่คี ยังไงเขาก็ต้องทำแผลนะ... ไม่งั้นระบมแน่

“ไม่ต้อง ดึกแล้ว” คนตัวโตยังดื้อ แถมยังรั้งข้อมือฉันจนลงไปนั่งบนโซฟาเหมือนเดิมอีกด้วย ฉันเชิดริมฝีปากขึ้น... รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหน้างออย่างไม่พอใจ ฉันเป็นห่วงพี่คีนี่... แต่ทำไมเขาไม่เห็นห่วงตัวเองบ้างเลย แถมฉันก็ไม่ได้ไปไกลด้วย ข้างล่างคอนโดมันมีเซเว่นอยู่นะ แค่ลงลิฟต์ไปเอง

พอเห็นท่าทางของฉันคนตรงหน้าก็เงียบ ผ่านไปไม่กี่วินาทีเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“งั้นรอไปพร้อมกัน” ได้ยินดังนั้นฉันก็เงยหน้าขึ้นสบตาพี่คีด้วยความดีใจ ดีใจทำไมไม่รู้เหมือนกัน...

ฉันมองพี่คีที่ขยับตัวจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่แล้วในจังหวะหนึ่งสีหน้าของเขาก็บิดเบ้แล้วหยุดชะงัก ท่าทางของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีอาการเจ็บที่แผ่นหลัง

“พี่คีเจ็บหลังด้วยหรอคะ” ฉันถามพลางขยับเข้าไปใกล้เขา ความอยากรู้อยากเห็นมันทำให้ลืมสนใจไปเลยว่าตอนนี้ตัวเองขยับเข้าไปใกล้คนตรงหน้าแค่ไหน

“นิดหน่อย” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นแผ่วเบา ฉันที่มัวแต่เป็นกังวลขยับมือไปแตะที่ชายเสื้อของพี่คีอย่างลืมตัว แต่พอนึกขึ้นได้ฉันถึงได้ชะงักการกระทำแล้วเงยหน้าขึ้นจะถามเขา ทว่าในตอนนั้นเองที่หัวใจของฉันแทบจะหยุดเต้น... ฉันไม่ได้ทำใจมาก่อนว่าจะต้องเจอใบหน้าหล่อเหลาของพี่คีที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร

“ขะ... ขอรินดูได้มั้ยคะ” ฉันเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ร่างทั้งร่างเหมือนจะแข็งเป็นหิน ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอตอนที่รอคำตอบ... แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมันนานเป็นปี

พี่คีพยักหน้าตอบกลับมาน้อยๆ ลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะกับผิวแก้มฉันทำให้ใบหน้าเห่อร้อนไปหมด

“โห... เริ่มมีรอยช้ำแล้ว เดี๋ยวมันคงระบมกว่านี้แน่เลย” ฉันเอ่ยหลังจากที่ดันคนตัวโตให้ขยับหันหลัง แล้วรั้งชายเสื้อของเขาขึ้นจนเห็นรอยช้ำสีแดง บ้างก็สีม่วง รอยพวกนี้เหมือนหลังเขาไปกระแทกหรือโดนใครตีมาเลย

“พี่คีรีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ จะได้ลงไปซื้อยากัน” ฉันเอ่ยหลังจากที่ปล่อยชายเสื้อของเขาให้ลู่ลง แล้วคนตัวโตก็ทำตามอย่างว่าง่าย

ฉันใช้เวลาที่พี่คีไปอาบน้ำคิดว่าตัวเองควรซื้ออะไรบ้าง ที่แน่ๆ คือพวกอุปกรณ์ทำแผล แต่ฉันว่าจะซื้อพวกยาสามัญประจำบ้านมาติดไว้ด้วย เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าคอนโดพี่คีไม่มียาอะไรเลย เขาไม่ค่อยป่วยหรือเป็นพวกป่วยแต่ไม่ยอมกินยากันแน่นะ

ไม่ถึงสิบห้านาทีพี่คีก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้องนอน แม้ตอนนี้จะอยู่ในชุดลำลองที่เป็นเสื้อคอวีกับกางเกงขายาวธรรมดาๆ แต่ฉันก็อดคิดไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าช่างดูดีจริงๆ มันอาจจะเป็นเพราะช่วงแรกๆ ฉันไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องอื่นนอกจากตัวเอง เลยไม่ทันสังเกตว่าพี่คีเป็นคนที่ดูดีมากจนสามารถไปเป็นดาราได้เลย

“มองอะไรพี่” ร่างสูงถามพร้อมกับเลิ่กคิ้วตอนที่หันมาเห็นสายตาของฉัน เขาใช้มือข้างหนึ่งเสยเส้นผมสีดำสนิทที่เปียกชื้นของตัวเอง

“พี่คี... ดูดีจังเลยค่ะ” ฉันเอ่ยออกไปตามตรงเพราะไม่มีเหตุผลจะต้องปิดบัง ได้ยินดังนั้นคนถูกชมก็เหมือนจะชะงักไป ก่อนจะก้มลงมองตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นถามฉันอีกหน

“ชุดนี้เนี่ยนะ” เขาสบตาฉันอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก ฉันจึงพยักหน้ารับหงึกหงักเป็นการยืนยัน พี่คีไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่เขาเดินมาหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจห้องที่วางเอาไว้บนโต๊ะกระจกตัวเล็กตรงหน้าฉัน

เราทั้งคู่เดินออกมารอลิฟต์ แต่ท่าทางของพี่คีเริ่มแสดงให้เห็นถึงอาการเจ็บแผ่นหลังที่มากขึ้น เห็นมั้ยล่ะ... เริ่มระบมแล้วแน่เลย

“เจ็บมากมั้ยคะ” ฉันถามพลางเข้าไปประคองแขนเขาเพราะอยากช่วย ซึ่งพี่คีเองแม้จะชะงักไปเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าให้ฉันลงมาซื้อคนเดียวตั้งแต่แรกป่านนี้เขาคงได้ทายาไปแล้วด้วยซ้ำ

“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น” ร่างสูงเอ่ยจนฉันต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน... แต่ก็แน่ใจว่าคงเป็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีแน่

“รินไม่อยากให้พี่คีเจ็บ” ฉันตอบเสียงแผ่วและรู้สึกร้อนวาบที่ขอบตาเล็กน้อย ฉันเคยมีรอยช้ำแบบนี้นะ... ถึงแม้รอยจะไม่ใหญ่เท่าพี่คีแต่ก็เจ็บมากเลย

“เธอร้องไห้แผลพี่ก็ไม่ได้หายเร็วขึ้น” คำพูดของพี่คีทำให้ฉันพยักหน้ารับหงึกๆ แล้วสูดหายใจลึกเพื่อไล่หยาดน้ำใสให้หายไปจากดวงตา

เมื่อมาถึงเซเว่นฉันก็วิ่งไปหยิบตะกร้าแล้วมุ่งหน้าไปยังโซนที่วางจำพวกยาสามัญประจำบ้านทันที ส่วนพี่คีน่ะหรอ... เขาเดินเลยไปตรงพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แหละ พอฉันเสร็จธุระตรงโซนยาก็เลยเดินไปหาพี่คีที่อยู่ตรงหน้าตู้ขายเบียร์

“พี่คีจะดื่มเบียร์หรอคะ ดื่มไม่ได้นะ” ฉันเอ่ยแล้วหันไปมองตู้แช่เบียร์ตามสายตาของเขา ตอนนี้แววตาของพี่คีเหมือนเด็กที่กำลังมองขนมอยู่เลย

“อืม... ดื่มไม่ได้” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงอยกว่าปกติ ก่อนที่ฉันจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างแข็งขัน อย่างน้อยพี่คีก็รู้ลิมิต... สภาพร่างกายของเขาตอนนี้ดื่มแล้วไม่ดีนะ

“เป็นแผลช้ำแบบนี้เขาไม่ให้ดื่มค่ะ” ฉันเอ่ยกับร่างสูงข้างๆ ที่ยังมองเบียร์ในตู้อย่างไม่วางตา แต่แล้วคนตัวใหญ่กลับชี้นิ้วไปที่ป้ายสติกเกอร์แผ่นเล็กๆ ที่ติดอยู่บนกระจกตู้แช่แล้วเอ่ยว่า...

“เซเว่นไม่ขาย”

นั่นมัน... หรือว่า... ที่เขาบอกว่าดื่มไม่ได้เนี่ยไม่ได้หมายถึงร่างกายของตัวเอง แต่มันเป็นเพราะว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาขายแอลกอฮอล์ต่างหาก ให้ตายเถอะ... พี่คีนี่ละก็ ได้รู้ดังนั้นฉันจึงถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ก่อนจะลากร่างสูงให้เดินมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ แล้วรีบกลับขึ้นห้อง

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว