≠เคมีไม่เข้า 1/2-รัก-ลวง-‘ล่อ’ 5

โดย  กระรอกน้อยสีน้ำตาลหม่น

≠เคมีไม่เข้า 1/2

รัก-ลวง-‘ล่อ’ 5

ที่ห้องรับแขกบ้านสกุลหลิว


“หลิวเล่าฮูหยิน.. จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่หากข้าถามเรื่องของแม่หนูหลิน?” ช่างซื่อพลันเอ่ยถามออกมา เมื่อภายในห้องรับแขกนั้นเหลือเพียงมันและหลิวเล่าฮูหยิน


“เหตุใดนางถึงได้สวมโซ่ตรวนนั่นน่ะหรือ..” หญิงชรากล่าวถามขณะที่หันมองไปคนที่ชราน้อยกว่า ซึ่งฝ่ายนั้นก็ผงกหัวตอบกลับมา

ฮูหลิวเอนหลังที่งอโค้งพิงไปที่พนักพิง สายตามองไปบนเพดานพร้อมทั้งทอดถอนใจ “หากเล่าแล้วเรื่องมันยาวนัก... คงต้องย้อนไปถึงวันที่ข้าพบกับนางครั้งแรก”


**ต่อไปจะเป็นการบรรยายแบบบุรุษที่หนึ่ง**

หลังจากข้ารู้ข่าวการตายของหลงหลงเอ๋อร์ ข้าก็คิด..ว่าคงไม่มีหญิงใดโชคร้ายไปกว่าข้าอีกแล้ว.... แต่เมื่อข้ามาพบกับนาง.... ความเศร้าโศกที่ข้าแบกอยู่หลายปีกลับกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กจ้อยไปในทันที...

เมื่อราวสิบปีก่อน ข้าได้เดินทางไปยังเมืองพยศอาชาเพื่อเข้าร่วมงานศพฮูหยินรองสกุลหม่า ตอนขากลับ ข้าได้เดินทางผ่านป่านิรันดร์ราตรี..

ค่ำคืนนั้นช่างเงียบเหงานัก แสงจันทร์มิอาจส่องได้ถึงพื้นดิน โชคดีที่ท่านผู้นำตระกูลหม่าเห็นใจข้าที่แก่แล้วและมีเพียงคนรถเท่านั้นที่ติดตามกลับพร้อมข้า เขาจึงได้ส่งทหารของเขาสองนายติดตามมาส่งข้าให้ถึงบ้าน

ระหว่างที่ข้า..คนรถและทหารสองนายนั้นกำลังเร่งเดินทางเพื่อให้ออกจากป่าให้เร็วที่สุด เจ้าก็รู้..ซื่อซื่อน้อย ว่าป่านิรันดร์ราตรีในยามค่ำคืนนั้นอันตรายถึงเพียงไหน พวกข้าจึงต้องเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่.. แต่หากข้ารู้ว่าเรื่องเลวร้ายนี้จะเกิดขึ้น.. ข้าคงจะเร่งให้ได้ไวกว่านี้..

คราแรกที่พวกข้ามองเห็นแสงสว่าง ก็นึกคิดว่านั่นเป็นแสงจันทร์ที่อยู่ตรงชายป่า ทว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น

ยิ่งเดินใกล้ตรงจุดกำเนิดแสง ยิ่งมีเสียงร่ำไห้ ยิ่งใกล้ถึง เสียงยิ่งฟังดูแล้วน่าสังเวช

คราแรกข้าก็คิด ว่าคงเป็นชาวบ้านแถวนั้นโชคร้ายถูกสัตว์อสูรเล่นงานเข้า ข้าจึงได้สั่งให้ทหารสองนายนั้นเข้าไปช่วยเหลือ แต่เมื่อเดินถึงจุดหมาย ภาพที่เห็นมันสุดหยาบช้า.. ข้าไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องน่าอดสูแบบนั้นรอข้าอยู่

ที่ตรงนั้นโจรป่าสองคน พวกมันทั้งสองกำลังข่มขืนหญิงนางหนึ่งโดยที่มีเด็กหญิงตัวน้อย ๆ นั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ

เจ้าคงนึกออก ว่าเด็กตัวน้อยนางนั้นก็คือซินซินเอ๋อร์ ส่วนสตรีนางนั้นที่ถูกคนโฉดชั่วข่มเหงอยู่นั้น ใช่แล้ว..ซื่อซื่อเอ๋อร์ สตรีนางนั้นคือแม่ของซินซินเอ๋อร์

แม่ของซินซินเอ๋อร์ร่ำไห้ราวกับสัตว์ที่ถูกเฆี่ยนตี ประเดี๋ยวนางก็อ้อนวอนให้โจรพวกนั้นปล่อยพวกนางไป ประเดี๋ยวก็ร้องเรียกหาลูกสาวตัวน้อยของนาง ทว่าโจรป่าสองคนนั้นกลับเมินเฉย มันยังคงบรรจงลงมือต่อนางอย่างไม่ลดละ ย่ำยีศักดิ์ของนางราวกับสัตว์เดรัจฉาน

ข้าเองก็เป็นแม่คน ข้าต่างรู้และเข้าใจดีว่าแม่ของซินซินเอ๋อร์นั้นคิดอะไรอยู่ สิ่งที่ปวดใจที่สุดในตอนนั้นของนางไม่ใช่เรื่องที่ถูกข่มเหงรังแก แต่เพราะซินซินเอ๋อร์นั่งอยู่ตรงนั้นต่างหากที่ทำให้นางปวดร้าวใจถึงเพียงนั้น

ทหารสองนายที่ตามข้ามาเร่งเข้าไประงับเหตุ สังหารโจรโฉดสองคนนั้นสิ้นโดยไม่ถามไถ่

หลังจากโจรโฉดสองคนนั้นตายลง หนึ่งในทหารก็ได้เข้าไปเพื่อจะช่วยประคองแม่ของซินซินเอ๋อร์เพื่อจะพาไปรักษา แต่นางในตอนนั้นผวาตื่นกลัวเกินไป เพียงเห็นว่าเป็นบุรุษก็ผลักทุบตีจนทหารทั้งสองนายมิอาจทำอะไรได้

สุดท้ายจึงเป็นข้าที่ต้องเข้าไปคุยเกลี้ยกล่อมนางอยู่นานสองนาน..นางจึงยอมสงบลงแล้วจึงสามารถพากลับเมืองพยศอาชาเพื่อทำการรักษาต่อไปได้

แต่น่าเสียดาย สิ่งที่โจรโฉดสองคนนั้นทำมันบาดลึกลงในจิตใจของนางจนยากจะแก้แล้ว.. สติของนางตอนนั้นไม่สู้ดี นางถึงขั้นหยิบห่อผ้าที่อยู่ข้างกายขึ้นมาโอบกอดเพราะคิดว่านั่นคือซินซินเอ๋อร์ แต่กลับคิดว่าซินซินเอ๋อร์ตัวจริงนั้นจะเข้าไปทำร้ายนาง จนทำให้ซินซินเอ๋อร์ไม่อาจเข้าใกล้นางได้เลย ทำเอาเด็กน้อยผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้บอกแต่ว่านางต่างหากคือหลินซิน

แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเรื่องสุดท้ายที่เกิดขึ้นในคืนนั้น..

ในคืนนั้น.. ด้วยความที่ข้าเป็นห่วงซินซินเอ๋อร์จึงพานางกลับไปนอนด้วยที่โรงเตี๊ยม ข้ากังวลว่าหากปล่อยให้นางอยู่กับแม่ของนางตามลำพัง นางจะถูกทำร้ายเอาได้

ทว่ากลางดึกข้าตื่นมากลับไม่พบซินซินเอ๋อร์ที่ข้างกาย ทำเอาข้าร้อนใจเป็นอย่างมาก ข้าหานางรอบโรงเตี๊ยมก็แล้วกลับไม่พบ ข้าจึงรีบด่วนเดินทางไปที่สำนักแพทย์เพราะคิดว่าซินซินเอ๋อร์น่าจะอยู่ที่นั่น

เฮอ.... เด็กน้อยผู้น่าสงสาร

ซึ่งเป็นตามที่ข้าคิด ซินซินเอ๋อร์อยู่ที่นั่นจริง ๆ ข้าไม่คิดเลยว่านางที่ยังเล็กถึงเพียงนั้นกลับจดจำเส้นทางได้ สมองของนางถือว่าดีใช้ได้..ซึ่งจริง ๆ แล้ว ข้าไม่อยากให้นางหัวดีเช่นนั้นเลย... ข้าอยากให้นางเป็นเพียงเด็กโง่ความจำสั้น อยากให้นางลืม ๆ เรื่องนั้นไปเสีย..

ภาพแรกที่ข้าเห็นก็คือภาพของซินซินเอ๋อร์ยืนแตะฝ่าเท้าของแม่นางและร่ำไห้เรียกแม่ของนางอยู่

ภาพนั้นสุดแสนสะเทือนใจของข้ามาก.. ด้วยแม่ของนางได้ชิงใช้ห่อผ้าที่ตอนนั้นนางโอบกอดเพราะคิดว่าเป็นซินซินเอ๋อร์ผูกคอตายอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าไม่รู้ว่าซินซินเอ๋อร์ไปถึงที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่านางทนดูและร้องเรียกแม่ของนางนานถึงเพียงไหนแล้ว...

ข้ารู้แต่เพียงว่า.... ความเลวร้ายในคืนนั้น.... มันไม่สมควรเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเด็กหกปีเช่นนางเลย..

มันไม่ควร...

**จบการบรรยายบุรุษที่หนึ่ง**


“เห้อ..นางไม่เพียงอาภัพ แต่เหมือนสวรรค์จะชิงชังนาง ถึงทำให้นางในวัยเท่านั้นต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้” หลิวเล่าฮูหยินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาที่แห้งไปเมื่อก่อนหน้าพลันรินหลั่งออกมาอีกครั้ง


“ข้าไม่เชื่อว่าสวรรค์มีจริง... แต่นรก... ก็คงสถิตอยู่ในใจของหลินซินแล้วกระมัง”

ช่างซื่อกล่าวเสริมพร้อมกับส่ายหัวไปมา

“ว่าแต่หลิวฮูหยิน ท่านรู้หรือไม่ว่าหลินซินมาจากที่ใด เหตุใดนางถึงถูกสวมโซ่ตรวนไว้เช่นนั้น”


“ข้าไม่รู้ว่านางมาจากที่ใด แต่แน่ ๆ นางมิใช่คนของอาณาจักรปัญจมิตรแน่ แต่ถ้าให้ข้าเดา นางก็คงเป็นคนจากจักรวรรดิเต่าทมิฬ เพราะเสื้อผ้าที่นางและแม่สวมในวันนั้น มันถูกตัดเย็บด้วยลวดลายเฉพาะของคนแดนนั้น ส่วนโซ่ตรวนนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบ เพราะตั้งแต่ข้าพบนาง..บนตัวนางก็มีโซ่ตรวนสวมอยู่เช่นนั้นแล้ว”


“สวมโซ่ตรวนตั้งแต่เจ็ดปี? ตอนนี้ก็สิบเจ็ด.. เท่าที่ข้าเห็น โซ่ตรวนนั้นมันสวมพอดีกับข้อมือของนางเลย” ช่างซื่อยกมือขึ้นมาลูบเคลาอย่างเหม่อลอย หัวสมองครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

'นี่มิใช่ตรวนที่ทำจากแก่นเหล็กดำธรรมดาแล้ว แต่มันคือแก่นเหล็กดำจักรพรรดิ!! '


“ซื่อซื่อน้อย?! เจ้ารู้อะไรรึ?”


“ข้าคิดว่าตัวตนของหลินซินคงไม่ธรรมดาแน่ ตรวนที่นางสวมอยู่คือตรวนที่ทำจากแก่นเหล็กดำจักรพรรดิ นอกจากความสามารถในการยืดหดตรงส่วนที่ลงอักขระปราณไว้ มันยังแข็งแกร่งกว่าแก่นเหล็กดำธรรมดาถึงสามเท่าแล้วยังสามารถปิดกั้นพลังสถิตกับเส้นปราณให้แยกออกจากกัน ทำให้แม้ผู้สวมใส่จะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ตามปกติ แต่ทว่าต้องใช้เวลานานกว่าคนทั่วไปกว่าจะสำเร็จในแต่ละระดับ อีกเมื่อฝึกได้ถึงระดับหยั่งรู้นภา คนผู้นั้นที่สวมตรวนนี้อยู่ก็มิอาจใช้อัตลักษณ์ประจำตัวของพลังสถิตได้ นับว่าเป็นสิ่งของที่โหดร้ายที่สุดของจอมยุทธ์เลยก็ว่าได้” ใบหน้าของช่างซื่อสุดเคร่งขรึม “มันเป็นของที่มีเอาไว้จองจำเหล่าจอมยุทธ์ที่เป็นระดับยอดฝีมือโดยเฉพาะ”


“ตรวนนั้นของนางร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว?” ฮูหยินหลิวถึงกับยกมือขึ้นปิดปากเพราะกลัวว่าคำต่อไปที่นางจะพูดออกมาจะเป็นคำหยาบ

นางทั้งรักและเอ็นดูหลินซินเป็นอย่างมาก นางจึงรู้สึกโกรธและขุ่นเคืองเป็นที่สุดที่สิ่งของนั้นมาอยู่บนตัวของหลินซิน

“เจ้าสองโจรชั่วนั่น!! ข้าไม่น่าปล่อยศพของพวกมันทิ้งอยู่กลางป่าเลย หากข้ารู้เช่นนี้เมื่อก่อนหน้า ข้าจะเอาศพของพวกมันมาสับเป็นหมื่น ๆ ชิ้นจนกว่าข้าจะหายแค้น!!!”


“ข้าเกรงว่าตรวนที่ทำจากแก่นเหล็กดำจักรพรรดิจะมิใช่ฝีมือของสองโจรพวกนั้น..หลิวเล่าฮูหยิน แก่นเหล็กดำจักรพรรดินั้นไม่ใช่ว่ามีเงินจะหามาได้ เพราะตามกฎหมายของจักรวรรดิเต่าทมิฬแล้ว ของสิ่งนี้คือของระดับสมบัติชาติ การจะมีไว้ในครอบครองได้นั้น มีเพียงหนทางเดียว คือให้องค์จักรพรรดิประทานมอบให้เท่านั้น ไม่มีหนทางอื่นที่จะครอบครองมันได้”

ช่างซื่อกล่าวออกมาก่อนจ้องส่งสายตาไปที่หญิงชรา “ตามความคิดของข้า ต้องมีใครบางคนเกรงกลัวในพลังของหลินซินแน่ นางถึงได้ถูกสวมตรวนนี้ไว้ที่ตัว และคน..คนนั้น ต้องเป็นคนสำคัญที่มียศไม่ต่ำกว่าขุนนางขั้นหนึ่งแน่”


“มิน่าเล่า..มิน่า ตอนที่ชิงชิงน้อย (ซุนต้าชิง) อาสาตัดโซ่ตรวนนั้นให้ ซินซินเอ๋อร์ถึงได้ดื้อและไม่ยอม.. นางบอกว่าหากตัดเมื่อใด..โซ่นั้นจะนำพาหายนะมา”


“ข้าเกรงว่ามันจะเป็นหายนะจริง ๆ หลิวเล่าฮูหยิน ตามที่ข้าดู..โซ่นั่นมันได้ลงปราณประทับเอาไว้ หากเมื่อใดที่โซ่นั้นถูกตัดออก ตราประทับจะทำงาน และส่งสถานที่แห่งนี้กลับไปที่เจ้าของโซ่ตรวนนั้น แล้วไอ้คนที่สวมสิ่งนั้นให้หลินซิน มันก็จะรู้ว่านางอยู่กับท่านที่บ้านแห่งนี้”

ช่างซื่อนิ่งคิดไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง “เป็นไปได้หรือไม่ที่คนที่แอบซุ่มดูพวกท่านอยู่ จะมีความเกี่ยวข้องกับนาง?”


“ก็อาจเป็นไปได้ เพราะการซุ่มดูนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ข้ารับตัวของหลินซินมาเลี้ยงดูได้ไม่นานนัก”


“เช่นนั้นพวกมันก็น่าจะเป็นคนจากจักรวรรดิเต่าทมิฬ” ช่างซื่อเริ่มแน่ใจแล้วว่ากลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่ น่าจะเป็นคนจากคนแดนนั้น


“ข้าว่ามิน่าใช่คนจากจักรวรรดิเต่าทมิฬ” หญิงชราส่ายหัวปฏิเสธ


“ไหนท่านบอกว่าการสะกดรอยนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านรับตัวหลินซินมาเลี้ยงดูอย่างไรเล่า?”


“ข้าบอกว่าน่าจะเกี่ยวกับนาง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นคนจากแดนเต่าทมิฬเสียหน่อย หากให้ข้าเดา น่าจะเป็นคนจากนครหิมะพยัคฆ์ขาวมากกว่า”


“เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้น?”


“เพราะว่าการสะกดรอยนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่คนจากนครหิมะพยัคฆ์ขาวเดินทางมายังเมืองแห่งนี้ ข้าว่ามันประจวบเหมาะจนเกินไป ที่คนแดนนั้นเดินทางมาถึง ตระกูลข้าก็ถูกสะกดรอยเสียแล้ว”


“ใช่..ประจวบเหมาะเกินไปจริง ๆ” ช่างซื่อคิดตามสิ่งที่รับรู้

แต่ทว่าเรื่องนี้มันก็ขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง ในเมื่อหลิวเล่าฮูหยินบอกเอง ว่าหลินซินเป็นคนของจักรวรรดิเต่าทมิฬ แต่เหตุใด ถึงเป็นคนนครหิมะพยัคฆ์ขาวกันที่คอยตามสะกดรอย มันไม่สมเหตุสมผลเลย


ตึง..ตึง..ตึง..ตึง!!

“ท่านย่า! นี่ท่านสั่งอะไรหลินซินน่ะ!!” หลิวเจี้ยนวิ่งมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ร่างกายยังคงเปลือยเปล่ามีเพียงเสื้อฟุตบอลที่มันใส่มาคราแรกเท่านั้นที่ใช้ปิดใช้บังของรับของตนเองอยู่


คนเป็นย่าพลันหันมองไปที่หลานชายของตนเอง เมื่อเห็นร่างเปื่อยเปล่าของหลิวเจี้ยนพร้อมกับท่าทางนั้นของมัน นางก็รู้ได้ว่าสาวใช้ของนางทำงานพลาดแล้ว “หลานนี่ใจแข็งจริง ๆ เห็นซินซินเอ๋อร์ทั้งอย่างนั้นแล้วยังสามารถตัดใจวิ่งหนีออกมาได้อีก อย่างไร เรือนร่างของซินซินเอ๋อร์ไม่ถูกใจหลานเลยรึ?”


“โถท่านย่า! ข้าบอกท่านแล้วไงว่าตอนนี้ข้าไม่พร้อมคิดเรื่องพวกนั้น หลิวเจี้ยนขอร้องท่านเถิด เลิกคิดเรื่องยัดเยียดผู้หญิงให้หลานสักที ข้าขอร้อง...” ใบหน้าของบุรุษตอนนี้ยับยู้ หลากหลายอารมณ์ในตอนนี้มันผสมอยู่ในความรู้สึกของหลิวเจี้ยน มันทั้งรู้สึกโกรธ อาย และสิ้นหวัง


“ก็ได้..ก็ได้..ก็ได้ ย่าจะไม่บีบบังคับเจ้าอีกแล้ว เร่งไปใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ อุจาดตานัก” ฮูหยินหลิวโบกมือไปมาอยู่ตรงจมูกราวกับหลานของนางในตอนนี้เป็นก้อนขยะเปียกที่ไม่น่ามอง

“ทางขวาจนสุดทางเดินตรงข้างห้องนอนใหญ่ นั้นคือห้องของหลาน..ย่าให้ซินซินเอ๋อร์จัดเตรียมห้องไว้ให้หลานแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องนอนของเจ้าเร็ว ๆ ไปไป๊! อุจาดตานัก!”


หลิวเจี้ยนยืนค้างอยู่กับที่ กิริยาของท่านย่าของมันนั้นเหมือนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดของมัน บุรุษหนุ่มพยายามสรรหาคำออกมาพูด แต่ทว่าหัวคนกลับนิ่งสนิทไร้การตอบขาน

จนสุดท้ายมันก็ได้แต่ตัดใจที่จะหาคำมาเถียงก่อนวิ่งไปตามทางเดินตามที่ท่านย่าของมันบอก หลิวเจี้ยนไม่อาจปล่อยให้ตัวล่อนจ้อนเช่นนี้ได้


หลิวเจี้ยนวิ่งผ่านห้องนอนใหญ่ที่ท่านย่าของมันบอก ห้องนอนนั้นน่าจะเป็นห้องนอนของท่านย่าของมัน แต่ตอนนี้หลิวเจี้ยนไม่มีเวลาสนใจบานประตูที่สลักด้วยความวิจิตรบานนั้น มันรีบตรงเข้าไปในห้องที่ท่านย่าของมันบอก

ทว่าสิ่งที่เห็น กลับเกินคาด

ห้องนอนนั้น ต่างตบแต่งด้วยของมากมาย โดยของส่วนใหญ่เป็นของอิสตรี แล้วช่างโชคดียิ่งนั่ง ที่เจ้าของห้องนั้นดันอยู่ที่ห้องพอดี นั่นคือหลินซิน..

ตอนนี้หลินซินกำลังแต่งตัวของนางใหม่อยู่ แต่ว่านางยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดีนัก คราแรกหลิวเจี้ยนมิอาจได้เห็นพุ่มสวยที่นางสงวนเพราะตอนนั้นหญิงสาวเอามือบังอยู่ แต่ครานี้เหมือนเจ้าของห้องเองก็ไม่ทันคิดว่าจะมีใครเข้ามารบกวนนางในตอนแต่งตัว พุ่มสวยนั้นจึงได้ไร้การป้องกันอย่างสิ้นเชิง รอยแยกนูนสวยเองก็อ้าซ่าเด่นสง่ายิ่ง


หลิวเจี้ยนรู้ซึ้งแล้ว ถึงคำที่พ่อบุญธรรมของมันเคยกล่าวไว้ที่หน้าประตู 'เจ้าอย่าได้ดูแคลนหลินเล่าฮูหยินจนเกินไป สติปัญญาของนางนั้นเด่นล้ำมากนัก'

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว