ยอดหญิงเยี่ยมยุทธ

บทที่ ๑๐ เหตุพิสดารอุบัติในวังหลวง

ตอนที่ 12 หมั่นโถวมีพิษ


หัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าครอบครัวของฉาจื่ออันกลับเข้าไปนอนแล้ว เหลือเพียงคนเหล่านี้ที่เขาย่อมรู้ดีว่าเป็นอย่างไร เขาจะทนอยู่ให้หนวกหูทำไม ว่าแล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปทันที


เมื่อสะใภ้รองเห็นหลี่ฉางออกไปแล้ว ก็รีบเดินไปด้านหน้าพลางดึงแขนเสื้อแม่สามี จากนั้นนางก็กระซิบข้างหูหญิงชราว่า “ท่านแม่ ท่านดูกระจกนั้นสิ มีราคาไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าเจ้าสามยังมีของล้ำค่าอะไรซ่อนอยู่อีก พวกเราไม่ควรฉีกหน้านางเช่นนี้ แม้เจ้าสามจะเรียนอย่างหนักและไม่ได้เป็นขุนนาง พวกเราต้องได้ของบางอย่างมาก่อน นอกจากครอบครัวของเจ้าสามแล้ว ทุกคนก็มิได้กินของคาวมาสักระยะหนึ่งแล้ว"


ประโยคครึ่งหลังคือใจความสำคัญ เนื่องจากช่วงนี้มักจะมีกลิ่นหอมของเนื้อโชยออกมาจากลานบ้านของฉาจื่ออัน เช่นนี้แล้วนางจะกลืนกากเหล้าและผักดองลงไปได้อย่างไร อีกทั้งสะใภ้สามยังจงใจแบ่งเนื้อไปให้คนนอก ไม่ให้คนในครอบครัว เช่นนี้ก็ยิ่งน่าโมโหนัก


ฉาซื่อกลอกตาไปมา ก่อนจะปล่อยวางเรื่องหางานให้ฉาจื่ออัน นางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หญิงต่ำช้าคนนั้น ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องจัดการนางให้ได้!”


สะใภ้รองมีท่าทางพึงพอใจ เพราะกระจกบานนั้นนางจองไว้แล้ว!


พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นออกมาจากเขา ภายในลานบ้านก็จุดตะเกียงน้ำมันเสียแล้ว และยังมีสองร่างยุ่งอยู่ภายในครัว


ฉาจื่ออันคอยช่วยเหลือและเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไปด้วย “วันนี้ตื่นเร็วไปครึ่งชั่วยาม ต้องขายได้เงินเยอะแน่ และถือโอกาสนำเงินห้าร้อยตำลึงไปคืนคุณชายรองแห่งตระกูลอวี๋เร็ว ๆ ข้าคิดเพียงว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ"


คืนเงืน? ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการแล้วหรือ? หลิงซานฉิงบ่นในใจ หรือหนอนหนังสือคนนี้จะโง่จริง ๆ


นางชำเลืองมองเขาแล้วกล่าวว่า “อวี๋ซิ่งเหวินไม่ได้ขาดเงินห้าร้อยตำลึง เขาไม่ยอมรับภาพวาดนั้นไปต่อหน้าผู้คนมากมาย นั่นก็หมายความว่าแม้แต่เงินเขาก็ไม่ต้องการ แล้วจะคืนเงินทำไมอีก?”


น้ำเสียงของนางเฉียบขาดยิ่งนัก


ฉาจื่ออันถูกนางตะคอกใส่ พลางบ่นพึมพำอะไรไม่รู้ออกมาเสียงเบา “ไม่ได้ เขาจะเอาหรือไม่เอาก็เรื่องของเขา พวกเราจะคืนเงินหรือไม่คืนก็เป็นเรื่องของเรา แต่จะไม่คืนเลยก็ไม่ได้” จู่ ๆ น้ำเสียงก็เบาลงไปมาก “ใครจะไปรู้ว่าจากนี้ไปเขาอาจจะนำเรื่องนี้มาทำร้ายเจ้าอีกก็ได้"


คนซื่อบื้อนี่...หลิงซานฉิงชะงักไป ในก้นบึ้งสุดหัวใจพลันก่อเกิดกระแสไออุ่นขึ้นมา “วันนี้ขายหมั่นโถวสักเล็กน้อยก็พอแล้ว กลับมาช่วยข้าในครัว” จากนั้นพวกเขาก็เพิ่มความเร็วขึ้น


ฉาจื่ออันรู้ฝีมือของนางจึงรีบเร่งทำตามขึ้นมา


ทั้งสองรีบมาที่แผงขายของ วันนี้ไม่มีคนมาต่อแถวหน้าแผงยาวเหยียดเหมือนวันก่อน ผู้คนมากหน้าหลายตายังหลบเลี่ยงและชี้ไปมา จู่ ๆ วันนี้กลับเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านไปเบา ๆ


ฉาจื่ออันวางหมั่นโถวลง ชำเลืองมองนางและแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้พวกเราออกมาเช้า ผู้คนมากมายคงยังไม่หิวกัน”


หลิงซานฉิงมุมปากกระตุก “เจ้าคนซื่อบื้อนี่ชอบหลอกตัวเองสินะ นี่มันเวลาไหนแล้ว ข้าว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ” เมื่อเทียบกับการปลอบโดยการหลอกตัวเองและคนอื่นแล้ว นางกลับชอบที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงโดยตรง


เหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงฟังไม่ออกว่าเขากำลังปลอบนางอยู่? ครั้นฉาจื่ออันชี้ให้นางดูบางสิ่งรอบตัว นางก็มีปฏิกิริยากลับมาโดยไม่รู้ตัว “ผู้คนชี้ไปมาและกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ?” เมื่อวานยังดี ๆ อยู่ เหตุใดวันนี้ถึงถอยห่างออกไปแบบนั้น?


หลิงซานฉิงเขย่งปลายเท้ามองออกไปไกล พลางพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ “รอดูเถิด ละครดี ๆ จะตามมาทีหลัง” สัญชาตญาณที่ออกมาจากนางซึ่งเป็นผู้หญิง ทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องในวันนี้ย่อมไม่ธรรมดา


จู่ ๆ ก็ไม่มีลูกค้ามาซื้อหมั่นโถวเลย หรือคนเหล่านั้นนัดหมายกันว่าจะไม่มาซื้อหมั่นโถวในวันนี้? ครั้นมองดูอีกครั้งก็เห็นกลุ่มทหารเดินเข้ามาทางนี้


ครั้นรู้ตัวอีกที ทหารก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าทหารโบกมือพลางสั่งออกมาว่า “เก็บของเหล่านี้ไปให้หมด และนำหมั่นโถวไปทิ้งในแม่น้ำ อย่าให้สัตว์เลี้ยงกินเด็ดขาด” น้ำเสียงนั้นดังขึ้นจนสุด ราวกับกลัวว่าจะมีใครไม่ได้ยิน


ของของนางจะเอาไปก็เอาไปได้เลยรึ? หลิงซานฉิงยืนปกป้องอยู่ด้านหน้าแผงขาย ดวงหน้าเผยความเย็นชาออกมาพร้อมแววตาที่วาวโรจน์ “ใครกล้าขยับก็ลองดู? มาแย่งบนถนนตอนกลางวันแสก ๆ ยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ไหม? ท่านกินหมั่นโถวแล้วเอากลับไปก็ได้ ท่านควรจะเคารพต่อสามัญชน มาแย่งแบบนี้นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านคงสูญเสียมารยาทไปแล้วใช่ไหม?”


"สะใภ้สามของตระกูลฉาไม่ใช่คนที่จะไปยั่วได้ง่าย ๆ” เสียงไม่ทราบที่มาดังขึ้น


"ยั่วไม่ได้แล้วอย่างไร? เรื่องในวันนี้ ก็ยังต้องถูกทางการตรวจสอบอยู่ดีไม่ใช่รึ?"


“ผู้ใดยังจะกล้ากินหมั่นโถวของครอบครัวนางอีก ไม่กลัว…”


ผู้ที่เป็นหัวหน้ามองสำรวจนางขึ้นลงรอบหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ช่างเป็นคนช่างพูดจริง ๆ แต่ฝีปากของเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” เขายืดตัวขึ้น “เมื่อตอนเช้าตรู่ได้รับรายงานว่า มีคนกินหมั่นโถวของเจ้าและได้รับพิษเข้าไป ยามนี้คนยังหมดสติอยู่ แล้วเหตุใดพวกเจ้ายังคิดที่จะขายหมั่นโถวไปทำร้ายคนอื่น ๆ อีก?”


กินหมั่นโถวและได้รับพิษ? หมดสติ? ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาน่ะสิ! หมั่นโถวของนางทำเสร็จแล้วนางก็ลองกินทันที และนางเป็นคนนึ่งเองทั้งหมด มีพิษรึ? คงมีคนอยากเล่นงานเราสินะ!


“ท่านเจ้าหน้าที่ ท่านได้ยินคำพูดนี้มาจากผู้ใดกัน ยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับพวกเราสิ หมั่นโถวของพวกเรามีพิษรึ? แล้วเหตุใดคนข้างกายของคนได้รับพิษที่รายงานเรื่องนี้ถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ หรือข้าจะประเมินเขาสูงไป?” นางเท้าเอวมือหนึ่ง สีหน้าแฝงไปด้วยความเดือดดาล คนที่ไม่เสียเปรียบจะต้องไม่มาเข้าร่วมด้วยแน่นอน


ในกลุ่มฝูงชนมีคนยิ้มเยาะออกมา ประเมินคนผู้นั้นสูงไป? คำพูดนี้ช่างทำให้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียจริง


“หึ หญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งไม่เพียงนึ่งหมั่นโถวมีพิษออกมา แต่ยังปากร้ายด้วย คนผู้นั้นหมดสติอยู่ แล้วจะมาเผชิญหน้ากับเจ้าได้อย่างไร?” เขาเริ่มเอือมระอา “จะพูดสิ่งใดก็ไร้ประโยชน์ มีหลักฐานชัดเจนเช่นนี้ พวกเจ้าไปกับข้าเถิด”


ท่าทางของขุนนางชั้นผู้น้อยคนนี้ช่างหยิ่งยโสนัก พูดอยู่นั่นว่ามีคนกินหมั่นโถวบ้านนางและได้รับพิษ หากบอกว่าไม่มีผู้ใดบงการแล้วใครจะเชื่อกัน


ทว่าพวกทหารเหล่านั้นมีจำนวนคนมาก และดูเหมือนว่าหากไม่บรรลุจุดประสงค์ก็จะไม่ยอมปล่อยไป


หลิงซานฉิงคิดแผนรับมืออย่างรวดเร็ว ไม่นึกเลยว่าในตอนที่นางไม่ได้พูดอะไรนั้นฉาจื่ออันก็ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวเพื่อขวางอยู่ตรงหน้านาง ก่อนจะเริ่มแสดงความรู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร “มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง หมั่นโถวเหล่านี้ข้าเป็นคนนึ่งเอง ข้าจะไปกับพวกเจ้า เอ็ดตะโรกับผู้หญิงคนหนึ่ง มิใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ”


ยามนี้ยังไม่มีคำอธิบายเรื่องนี้เลยก็จะไปกับพวกเขาแล้ว และยังไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เจ้าคนซื่อบื้อนี่ลุกขึ้นมาเช่นนี้ มันจะไม่เป็นการทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังต้องสมหวังหรอกรึ


หลิงซานฉิงแอบโกรธแต่สีหน้ากลับเรียบนิ่ง ก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายกลับมา “หากเจ้าไปกับพวกเขา พวกเราก็จะกลายเป็นคนกระทำผิดจริง ๆ สิ…”


คราวนี้ฉาจื่ออันแสดงความเด็ดเดี่ยวออกมา เขายิ้มมุมปากที่เจือไปด้วยความขมขื่น “การเล่นงานใคร ย่อมมีเหตุผลหรือหาข้ออ้างได้เสมอ คงต้องรบกวนเจ้าดูแลเจี่ยนเจี่ยนไประยะหนึ่งก่อน ไม่ต้องห่วง ความยุติธรรมอยู่ในใจคน”


“เจ้าคนซื่อบื้อนี่…” เวลานี้นางทนไม่ไหวแล้ว ปลายจมูกนางแดงเรื่อไปด้วยความโกรธ บอกว่าความยุติธรรมอยู่ในใจคน แล้วคนที่ตายจากการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นมีน้อยเสียที่ไหน


“ฉาจื่ออันแห่งตระกูลฉากลับรู้ว่าภรรยาตัวเองเจ็บปวด คุกสถานที่แห่งนั้นมิใช่สิ่งที่คนควรอยู่ ได้ยินว่าครึ่งค่อนคืนจะมีหนูผ่านตัวเราไป ดังนั้นจึงต้องมีความกล้าหาญอย่างมากที่จะทนอยู่ได้”


“เรื่องนี้ยังไม่ถูกตัดสิน ข้าถือว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่เหมือนคนไม่ดีอะไร เหตุใดถึงทำให้คนเจ็บป่วยได้ล่ะ”


หัวหน้าทหารแคะหูอยู่ครู่หนึ่งพลางมองฉาจื่ออันด้วยแววตานึกสนุก ก่อนที่สุดท้ายจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ “ยังเข้าใจปกป้องเมีย ช่างเป็นลูกผู้ชายจริง ๆ ยึดมั่นในความเป็นธรรมไปก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ พาตัวไป!” เขาโบกมือสั่ง ทหารสองคนก็ก้าวมาด้านหน้าเพื่อคุมตัวฉาจื่ออันออกไป


ฉาจื่ออันหันไปมองหลิงซานฉิง แววตาเขาวูบไหว ทั้งปลอบโยนทั้งฝากฝังปะปนกันไป เขาสะบัดดิ้นจากการจับกุมของทหารแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเดินตามพวกเจ้าไปเอง” เขาก้าวเดินไปอย่างองอาจ ราวกับสถานที่ที่จะไปนั้นไม่ใช่คุก แต่เป็นสนามสอบหรือสนามประลองเท่านั้น


หลิงซานฉิงกำมือแน่น มองตามฉาจื่ออันที่ถูกนำตัวไป แผ่นหลังของอีกฝ่ายยืดตรงอย่างลูกผู้ชาย


และนางก็ยังไม่ทราบว่า เพราะเรื่องนี้ ทำให้ทางบ้านวุ่นวายกันไปหมด

  

ครั้นสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองรู้เรื่องนี้เข้า เมื่อปรึกษากันเสร็จก็มาหาฉาซื่อพร้อมกัน ฉาซื่อกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ภายในห้อง เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาก็มิได้สนใจอะไร ทั้งสองจึงเหลือบมองหน้ากัน สะใภ้ใหญ่มีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “ท่านแม่ ยังกังวลเรื่องของเจ้าสามอยู่อีกรึ? ครอบครัวของเจ้าสามก่อเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ ยังมิรู้ว่าทางหน่วยราชการจะมาตรวจสอบที่บ้านหรือไม่ หากไม่มาก็ดีไป แต่หากมาตรวจสอบ แล้วจากนี้ไปพวกเราจะเชิดหน้าต่อหน้าเพื่อนบ้านได้อย่างไร?"


แม้จะบอกว่าฉาซื่อมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ทว่าก็ไม่ใช่คนวุ่นวายอะไร ครั้นได้ฟังคำพูดเช่นนี้นางก็ขุ่นเคือง “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร? คนผู้นั้นคือลูกชายข้า คือลูกชายที่มีอนาคตของข้า!”


คำพูดนี้ได้เตือนสติพวกนางทั้งสองคน แม้ว่าฉาจื่ออันจะถูกจับเข้าคุกอย่างไม่เป็นธรรมในยามนี้ แต่นั่นคือความหวังเดียวของตระกูลฉา แล้วใครจะทิ้งความหวังไปได้?


ครั้นสะใภ้รองฟังสิ่งที่แม่สามีสื่อออกมา นางก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที “ท่านแม่ น้องสะใภ้สามไม่มีปัญญาช่วยอาสามหรอก พวกเราหาทางอื่นเพื่อตัวเองกันเถิด”


แท้จริงแล้วทั้งสองคนได้ปรึกษากันเสร็จสิ้นแล้ว ยามนี้จึงไม่ให้โอกาสฉาซื่อได้ปฏิเสธ สะใภ้ใหญ่จึงรีบเอ่ยตามขึ้นทันที “ท่านแม่ ตัวข้าที่เป็นสะใภ้มิควรเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับท่าน ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะมิพูดก็ไม่ได้ หมางจื่อกับหู่จื่อเติบโตขึ้นทุกวัน ลูกหลานทั้งสองคนคือความหวังของบ้านในยามนี้ นี่เป็นเพราะครอบครัวเจ้าสามก่อเรื่องขึ้น ทำให้อนาคตของพวกลูก ๆ ไม่ราบรื่น พวกเขาอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีที่ใดให้ร้องไห้ ไม่สู้ถือโอกาสในตอนที่เรื่องนี้ยังไม่พัวพันมาถึงพวกเรา แล้วตัดความสัมพันธ์กับนางให้ชัดเจน หญิงต่ำช้าผู้นั้นก็เป็นแค่ตัวสร้างปัญหา ตระกูลฉาของพวกเราถูกนางก่อกวนจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว"


ตระกูลฉานั้นยากจน แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกัน และไม่สำคัญว่าจะจนไปด้วยกันหรือไม่ ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน หลิงซานฉิงหาเงินโดยการขายหมั่นโถว ฝีมือเก่งกาจ ทำอาหารดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่ได้ขับเคลื่อนคนในหมู่บ้านก็เป็นเป็นไร ทว่าแม้แต่ครอบครัวของตัวเองกลับไม่นึกถึง ตระกูลฉาถูกคนอื่นชี้นิ้วใส่ คนทั่วไปคงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก


จะให้หลิงซานฉิงมาเปลี่ยนชีวิตอันดีงามของพวกเขาไปด้วยไม่ได้ นางอยู่ที่บ้านก็จะมีแต่จะสร้างปัญหาเท่านั้น ไม่สู้ถือโอกาสนี้แยกกันอยู่เสีย เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับปัญหาด้วย


แม้จะเอ่ยเช่นนี้แต่สุดท้ายก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก ฉาซื่อขมวดคิ้วแน่น พลางคิดอย่างรอบคอบ "พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?"


สะใภ้รองจึงรีบเงยหน้ามองแม่สามี “ท่านแม่ เพื่อไม่ให้ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับน้องสะใภ้สาม วิธีที่ดีที่สุดคือพวกเราต้องไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันกับนาง ด้วยเหตุนี้ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถพาลใส่พวกเราได้ หมางจื่อกับหู่จื่อก็เป็นหลานแท้ ๆ ของท่านเช่นกัน ถือว่าเห็นแก่พวกเขา พวกเรามิอาจนั่งงอมืองอเท้าได้!”


ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน? ครอบครัวของพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าเรื่องเล็ก ๆ ในยามนี้จะมาถึงขั้นนี้ได้ ฉาซื่อนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ!


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว