บุปผาร่ายรัก -บทที่4. จุดเริ่มต้น

โดย  เพลงมีนา

บุปผาร่ายรัก

บทที่4. จุดเริ่มต้น

สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์หวาดกลัวที่สุดก็คือโคจรพลังผิดพลาดจนลมปราณแตกซ่าน ชั่วพริบตานั้นคนตระกูลเจียงรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆดำไม่มีผิด

ไม่มีใครสงสัยผลการตรวจของซางซิน แต่ถึงแม้ตระกูลเจียงจะเสนอค่ารักษาให้ก้อนใหญ่ นางก็ได้แต่บอกให้พักรักษาตัวอยู่เงียบๆ เพื่อรักษาชีวิตของเจียงชิงหลิวเอาไว้เท่านั้น

คำตอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเจียงต้องการ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ตระกูลซึ่งยืนหยัดอยู่ในยุทธภพมานับร้อยปีจะอบรมผู้สืบทอดขึ้นมาสักคน หากเจียงชิงหลิวสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด รักษาชีวิตของเขาเอาไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?

เจียงอิ่นเทียนซึ่งเป็นผู้นำตระกูลรีบเรียกทุกคนไปที่ศาลประจำตระกูลเพื่อปรึกษาหารือเรื่องผู้สืบทอดรุ่นต่อไปอย่างเร่งด่วน ตอนที่เจียงชิงหลิวตื่นขึ้นมาจึงไม่มีใครอยู่ข้างกายสักคน เขารู้สึกเพียงแค่ว่าเส้นชีพจรทั่วร่างร้อนรุ่มราวกับถูกไฟเผา แม้กระทั่งหายใจก็ยังลำบาก

“ชุยเสวียะ ชุยเสวียะ” เขาส่งเสียงเรียกสองคำ เด็กรับใช้ของเขาก็รีบวิ่งเข้ามา “ประมุข ท่านตื่นแล้ว!”

เขารีบร้อนจะไปตามซางซิน แต่เจียงชิงหลิวกลับห้ามเอาไว้

“คนอื่นๆ เล่า?”

ชุยเสวียะมีอายุแค่สิบสองสิบสามปี เป็นวัยที่ยังไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด “ท่านประมุขหมดสติไปหลายวัน ผู้นำตระกูลร้อนใจมาก ตอนนี้ท่านกำลังปรึกษากับเหล่าผู้อาวุโสเรื่องผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปอยู่ขอรับ”

เจียงชิงหลิวไอติดๆ กันหลายครั้ง “ฮูหยินเล่า?”

ชุยเสวียะค่อยนึกขึ้นได้ว่าควรรินน้ำให้เขา “ไท่ฮูหยิน กับฮูหยินกำลังสวดมนต์ขอพรให้ท่านประมุขอยู่ที่หอพระขอรับ”

เจียงชิงหลิวแอบลองรวบรวมพลังดู ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงจุดชี่ไห่ราวกับถูกลิ่มตอกเข้าที่หัวใจ หัวใจของชายหนุ่มเย็นวูบ เขาพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด “หมอที่มาตรวจอาการข้าใช่แม่นางซางซินแห่งหุบเขาเทียนเซียงหรือไม่?”

ชุยเสวียะพยักหน้า “เจ้าหุบเขาซางจากไปหลายวันแล้ว นางพูดเสียจนกลายเป็นเรื่องร้ายแรง เล่นเอาฮูหยินตกใจร้องไห้เลยขอรับ”

เจียงชิงหลิวถาม “ร้ายแรงแค่ไหน?”

ชุยเสวียะตอบ “นางบอกว่าวรยุทธ์ของท่านไม่มีทางฟื้นคืนมาได้อีก แต่หากรักษาตัวดีๆ ก็ยังสามารถรักษาชีวิตของท่านเอาไว้ได้”

เจียงชิงหลิวยิ้มขื่น “ร้ายแรงจริงๆ”

เขาเอนกายลงนอนบนเตียง ชุยเสวียะรีบป้อนน้ำให้ “ท่านประมุขพักก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเชิญเจ้าหุบเขาซาง”

เจียงชิงหลิวโบกมือห้ามเอาไว้ “เจ้าหุบเขาซางมีวิชาการแพทย์ล้ำเลิศ ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ออกมาแล้ว ทุกอย่างย่อมเป็นเรื่องจริง อย่าทำให้นางลำบากใจอีกเลย”

ชุยเสวียะร้อนใจขึ้นมา “แต่ท่านประมุข...”

เจียงชิงหลิวชูนิ้วขึ้นเป็นสัญญาณบอกไม่ให้อีกฝ่ายพูดให้มากความ “เจ้าออกไปก่อน ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก”

ชุยเสวียะก้าวออกไปทั้งที่ไม่ค่อยสบายใจนัก เจียงชิงหลิวนอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาฝึกพลังเทพฉานเซี่ยงถึงขั้นที่เก้าแล้ว นี่เป็นความสำเร็จที่เจียงเส้าซางผู้เป็นปู่และเจียงหลิงเหอผู้เป็นบิดายังไม่เคยทำได้ แต่ก็เหมือนอย่างที่ป๋อเหย่จิ่งสิงเคยกล่าวไว้ เส้นชีพจรของเขาไม่อาจทนรับแรงกระแทกจากกำลังภายในที่ดุดันเช่นนี้มาได้ตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ

หากเขาสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมดไปจริงๆ จะเป็นอย่างไร?

นี่เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบเจ็ดปีที่เขาคิดถึงปัญหานี้

ชื่อของตระกูลเจียงแห่งหมู่บ้านเฉินปี้เหมือนฟ้าร้องกรอกหู แม้จะไม่ใช่คนในยุทธภพก็ต้องเคยได้ยินมาก่อน สองร้อยปีมานี้ ตระกูลเจียงมีฐานะมั่นคงมากในยุทธภพ ประมุขยุทธภพซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตามากถึงหกคนที่มาจากตระกูลเจียง เจียงชิงหลิวเองก็เหมือนกับผู้สืบทอดรุ่นก่อนๆ ของตระกูลที่ก่อนอายุครบสิบห้าปีจะต้องเก็บตัวฝึกวิชา ไม่ย่างเท้าเข้าไปในยุทธภพเด็ดขาด

ในงานชุมนุมยุทธภพหลังจากเขาอายุครบสิบห้าปี เจียงชิงหลิวเอาชนะศิษย์เอกของสำนักต่างๆ ทั้งหัวซาน ง้อไบ๊ บู๊ตึ๊ง ฯลฯ ได้ติดต่อกันถึงเจ็ดสำนัก ส่งผลให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังในชั่วข้ามคืน

สุดท้าย เขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงหลิงเหอผู้ดำรงตำแหน่งประมุขยุทธภพในตอนนั้น เสื้อผ้าสีขาวแบบชาวยุทธ์พลิ้วไสวไปตามสายลม ทั้งที่มีอายุแค่สิบห้าปี แต่แววตาของเขากลับมุ่งมั่นมาก สายตาที่เขามองเจียงหลิงเหอไม่เหมือนกับมองผู้เป็นบิดา แต่เหมือนกำลังมองรูปสลักและขุนเขาที่ตัวเองจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้

นับแต่ปีนั้นมา เขาก็เริ่มออกท่องยุทธภพอย่างเต็มตัว เพียงแค่ปีเดียว เขาก็สร้างชื่อเสียงได้สำเร็จ ปีถัดมา ปรมาจารย์ด้านการหลอมกระบี่ชางฉินจื่อหลอมกระบี่ให้เขาเล่มหนึ่ง ชื่อว่าจั่นเย่ ปีที่สาม เขากลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของสำนักฝ่ายธรรมะ และเป็นต้นแบบของผู้ผดุงคุณธรรมที่ทำให้ชาวอธรรมทั้งหลายต้องหวาดหวั่นแม้เพียงได้ยินชื่อ

ภายหลัง เจียงชิงหลิวมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินไม่ต่างจากผู้สืบทอดตระกูลเจียงทุกรุ่นที่ผ่านมา เมื่ออายุยี่สิบปี เขาช่วยเจียงหลิงเหอผู้เป็นบิดาจัดการภารกิจต่างๆ ในยุทธภพ อายุยี่สิบสามปีสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งประมุขยุทธภพในงานชุมนุมชาวยุทธ์เมื่ออายุยี่สิบห้าปี

เขาอายุยี่สิบเจ็ดปี แต่กลับมีความสำเร็จเทียบเท่าผู้คนมากมายที่ต้องใช้เวลาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ เขากลับนอนอยู่บนเตียง โดยมีเด็กรับใช้อายุสิบสองสิบสามปีอยู่ข้างกายเท่านั้น

เขาเลิกผ้าห่มบางที่คลุมร่างออก โจรเฒ่านั้นหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้จริงๆ บางทีอีกฝ่ายอาจจะมีหนทางรักษาอาการบาดเจ็บภายในของเขาได้ก็เป็นได้ ชุยเสวียะซึ่งอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ด้านในก็รีบเข้ามา พอเห็นผู้เป็นนายกำลังหย่อนเท้าลงบนพื้น เขาก็รีบมาช่วยประคองเอาไว้พลางกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ท่านประมุข ท่านหมอซางบอกว่าท่านจะเคลื่อนไหวไม่ได้...”

เจียงชิงหลิวโบกมือตัดบท ตอนนั้นเขาเลือกเด็กคนนี้เอาไว้รับใช้ข้างกายก็เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอายุยังน้อย และไม่เข้าใจสถานการณ์ในตระกูลเจียงนัก

“อย่าพูดมาก” ชายหนุ่มตรงไปที่คุกใต้ดินโดยมีชุยเสวียะช่วยประคอง ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังเป็นประมุขอยู่ แม้ว่าเหล่าองครักษ์เห็นเขาแล้วจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดขวาง จนกระทั่งไปถึงนอกห้องขัง เขาถึงได้สั่งให้คนอื่นๆ ถอยออกไป ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในเพียงลำพัง

ป๋อเหย่จิ่งสิงยังคงมีสภาพเหมือนเมื่อหลายวันก่อน พอเห็นอาการของเขา อีกฝ่ายก็ไม่ประหลาดใจสักนิด “ไม่ฟังคำพูดของคนแก่ แค่กๆ”

เจียงชิงหลิวไม่พูดอะไรให้มากความ “เจ้ามีหนทางช่วยข้าจริงหรือ?”

รอยยิ้มของป๋อเหย่จิ่งสิงเต็มไปด้วยอันตราย “แน่นอน แต่พวกเจ้าขังข้ามาสามสิบปี คงไม่คิดจะให้ข้าช่วยเหลือเปล่าๆ หรอกนะ?”

เจียงชิงหลิวไม่แปลกใจ “เจ้าอยากได้อะไร? แค่กๆ” เขาใช้มือยันกับเสากลมเอาไว้พลางไอออกมาติดๆ กันหลายครั้ง “อิสรภาพ?”

“ฮ่าๆ” ป๋อเหย่จิ่งสิงหัวเราะเสียงดังก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ตระกูลเจียงของเจ้ากล้าปล่อยข้างั้นรึ? อย่าว่าแต่ปล่อยเลย เจ้ากล้าปลดพันธนาการบนแขนของข้าสักข้างหรือเปล่าเล่า?”

คนผู้นี้บ้าระห่ำจริงๆ! เจียงชิงหลิวแค่นเสียงเย็น “ป๋อเหย่จิ่งสิง อย่าลืมสิว่าเจ้ากับตระกูลเจียงมีความแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า! หากข้าเอาเรื่องที่เจ้าเป็นหญิงไปบอกผู้นำตระกูล ดูซิว่าเจ้าจะโอหังไปได้ถึงเมื่อไหร่!”

ป๋อเหย่จิ่งสิงหยุดหัวเราะทันที เจียงชิงหลิวขยับเข้าไปใกล้เขาพลางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ตกลงเจ้าเป็นชายหรือหญิงกันแน่?”

สายตาของเขาเลื่อนไปที่หว่างขาของป๋อเหย่จิ่งสิง อีกฝ่ายก็แค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะเป็นห่วงตัวเองก่อน”

เจียงชิงหลิวกระแอมเบาๆ “บอกเงื่อนไขของเจ้ามา”

ป๋อเหย่จิ่งสิงเอ่ยว่า “ข้าต้องการเวลาหนึ่งปีเพื่อค้นหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นกันแน่ ส่วนคัมภีร์เบญจดาราที่เจ้าต้องการ หากข้ารู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดเมื่อไหร่ จะมอบให้เจ้าเอง”

เจียงชิงหลิวลังเล “ข้าจะเชื่อได้อย่างไร?”

ป๋อเหย่จิ่งสิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นนัก “เจ้าเชื่อหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ที่นี่มาหลายสิบปีจนเคยชินแล้ว”

เจียงชิงหลิวกล่าวเสียงหนัก “เจ้าบอกข้ามาว่าอยากรู้เรื่องอะไร ข้าจะช่วยสืบให้”

ป๋อเหย่จิ่งสิงหัวเราะ “ไม่ได้”

เจียงชิงหลิวย้อนถาม “ทำไม?”

ป๋อเหย่จิ่งสิง “ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”

เจียงชิงหลิวไม่รู้จะพูดอะไรอีก พวกเขาทั้งสองต่างไม่เชื่อใจกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน แต่ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ “ข้าจะให้คนปรุงยาสะกดกำลังภายในของเจ้า หากเจ้ายอมก็ตกลงตามนี้ แต่หากเจ้าไม่ยอมก็แล้วกันไปเถิด”

ป๋อเหย่จิ่งสิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลียริมฝีปากแห้งผากแล้วกล่าวว่า “ตกลง”

เย็นวันนั้น หลังจากการประชุมเพื่อกำหนดผู้สืบทอดรุ่นถัดไปจบสิ้นลง เจียงอิ่นเทียนผู้นำตระกูลเจียงก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจ ป๋อเหย่จิ่งสิงหนีไปแล้ว

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว