21.เพลิงริษยา ดราม่ารุ่นลูก (ปัณณธร+กาสะลอง)-อิมเมจตัวละคร

โดย  Kwanchanida Fonz

21.เพลิงริษยา ดราม่ารุ่นลูก (ปัณณธร+กาสะลอง)

อิมเมจตัวละคร

“นกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ สาวงามแสนดีเอย เจ้าเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม”


“ผักซิ่งในแม่น้ำมีขนาดใหญ่เล็กปะปนกัน สาวเจ้าสาละวันเด็ดผักซิ่ง เดี๋ยวด้านซ้าย เดี๋ยวด้านขวา สาวงามแสนดีเอย ข้าตามเกี้ยวเจ้าทั้งยามตื่นและยามหลับ”


“......”


ยามเฉิน[1] ตะวันแดงฉายแสงสีทอง พร้อมกับหมอกเลื่อนลอยเริ่มจางหายไป


ภายในลานบ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเสี่ยวฉือ มีเสียงอ่านหนังสือดังแว่วออกมา


ชาวเมืองที่กำลังง่วนอยู่กับงานทุกหนทุกแห่งในเมืองเสี่ยวฉือ เมื่อได้ยินเสียงอ่านหนังสือด้วยเสียงอันไพเราะ ต่างก็พากันหันไปทางทิศตะวันออกพร้อมรอยยิ้มชื่นใจ


“......”


ห้าปีก่อน


มีชายหนุ่มผู้หนึ่งได้มายังเมืองเสี่ยวฉือ แม้เขาจะอายุยังน้อยแต่กลับเป็นชายหนุ่มรูปงามและเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ


หลังจากชายหนุ่มผู้นี้ได้มาที่เมืองเสี่ยวฉือ นับจากนั้นเขาก็ลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด


ไม่นาน เขาก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกของเมืองเสี่ยวฉือขึ้นมา หวังให้เด็กเล็กจะได้เล่าเรียนอ่านเขียน ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยจะได้เรียนพิณ หมากล้อม พู่กันและวาดภาพ


ค่าเล่าเรียนนั้นมิมีการกำหนดอย่างชัดเจน หากผู้ใดที่พอมีเงินก็แค่จ่ายเดือนละ 2 ตำลึงก็เพียงพอ ส่วนผู้ใดที่มิมีก็ขอแค่ไข่ไก่มิกี่ฟองก็เพียงพอแล้ว หรือจะเป็นสิ่งของอย่างอื่นล้วนได้ทั้งสิ้น


บางครอบครัวที่กำลังลำบาก ชายหนุ่มที่เข้ากับทุกคนได้ง่ายผู้นี้ก็ยังคอยสมทบทุนช่วยเหลืออีกต่างหาก


เพียงระยะเวลาแค่ 5 ปี ชายหนุ่มผู้นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมากในเมืองเสี่ยวฉือ


และเนื่องด้วยเขามีแซ่ว่า ‘เย่’ ชายหนุ่มผู้นี้จึงถูกทุกคนเรียกขานว่า ‘ท่านเย่’


“ท่านเย่ ขออภัยด้วย ข้าขอขัดจังหวะท่านสักครู่”


ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังสอนเด็ก ๆ เจ็ดแปดคนท่องบทกวีกวานจวีในคัมภีร์กวีซือจิงอยู่นั้น ได้มีสตรีร่างท้วมใบหน้าคร้ามแดดคนหนึ่งเดินมาที่หน้าประตู


เย่ฉางชิงหันไปพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยถาม “ท่านป้าจาง มีอะไรเชิญท่านพูดมาได้เลย”


“วันนี้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมาที่เมืองเสี่ยวฉือของพวกเราเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์ ข้าอยากให้เจ้าลูกหมาของข้าไปทดสอบดู ฉะนั้นก็เลย...”


สตรีผู้นั้นมองเย่ฉางชิงด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจ


เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นฉายแววบางอย่างที่มิอาจคาดเดาได้ขึ้นมา ก่อนจะยิ้มออกมาน้อย ๆ และเอ่ยว่า “ขอเพียงได้เป็นศิษย์ของของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ความสำเร็จในอนาคตก็มิอาจประเมินค่าได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ”


“เจ้าลูกหมา กลับบ้านไปกับแม่เถอะ”


สตรีผู้นั้นพยักหน้าอย่างนอบน้อมให้กับเย่ฉางชิง หลังจากนั้นก็หันไปกวักมือเรียกลูกชายของตนที่ยืนน้ำมูกไหลอยู่


“ท่านเย่ ข้านำไข่ไก่มาให้ท่านด้วย วางเอาไว้ที่นอกประตู ตอนจะกลับท่านอย่าลืมเอากลับไปด้วยนะเจ้าคะ”


เมื่อพูดจบ สตรีผู้นั้นก็พาลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบรีบจากไปทันที


หลังจากสตรีผู้นั้นจากไปแล้ว ก็ได้มีชาวบ้านอีกสามสี่คนในเมืองเสี่ยวฉือเดินเข้ามา


เย่ฉางชิงมองดูชาวบ้านกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะยังคงมีรอยยิ้มสุภาพประดับเอาไว้ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหดหู่


เพราะดูท่าโรงเรียนแห่งนี้คงใกล้จะได้ปิดตัวลงเสียแล้ว…


“ท่านเย่ เจ้าเสือของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน...”


“ท่านเย่ เจ้าก้อนหินของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน...”


“ท่านเย่ เจ้าหมาน้อยคนรองของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน...”


“......”


ชั่วเพลามิถึงหนึ่งก้านธูป โรงเรียนที่กว้างใหญ่ก็เหลือเพียงเย่ฉางชิงแต่เพียงผู้เดียว


เย่ฉางชิงนั่งลงบนธรณีประตู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆอันไกลโพ้น มองทิวเขาที่มีนกบินฉวัดเฉวียนไปมาก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ


ความจริงแล้ว เขาเป็นผู้ที่ทะลุมิติและได้มายังโลกแห่งนี้เมื่อห้าปีก่อน


ที่นี่เป็นโลกบำเพ็ญเพียรที่ มนุษย์ ปีศาจ และอสูรอยู่ร่วมกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกตนจนแข็งแกร่งจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีพลังผลักภูเขาพลิกทะเล กล่าวได้ว่าคนผู้นั้นจะมีสุดยอดพลังเหนือธรรมชาติ


ตอนที่เขามายังโลกนี้เป็นครั้งแรก เย่ฉางชิงในตอนนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น คิดว่าตนเองจะสามารถใช้ดัชนีทองคำ[2] ได้ เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ และก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวิถีเซียนได้อย่างรวดเร็ว และเฝ้ามองดูเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย


แต่สิ่งที่เขาคิดมิถึงก็คือ…


เมื่อห้าปีก่อนตอนที่เข้ารับการประเมินเป็นศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้น เขากลับถูกตรวจพบว่าตัวของเขามิมีรากวิญญาณเลยแม้แต่น้อย


บนโลกใบนี้รากวิญญาณมีอยู่หลายประเภท ปกติจะแบ่งตามคุณภาพสูง ต่ำ และการประเมินขั้นแรกสำหรับการรับลูกศิษย์ของทุกสำนักก็คือการตรวจสอบคุณภาพของรากวิญญาณ


สำหรับเย่ฉางชิงนั้นยังมิต้องพูดถึงเรื่องรากวิญญาณว่าสูงหรือต่ำ เพราะเขานั้นมิมีแม้กระทั่งรากวิญญาณเสียด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเขาถูกกำหนดให้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาบนโลกนี้เท่านั้น


ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เวลาได้ผันผ่านไปถึงห้าปีเต็ม ๆ แล้ว แต่ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังมิมีวี่แววของดัชนีทองคำแต่อย่างใด


บางครั้งเขาก็อดที่จะสงสัยมิได้ว่า ผู้แต่งที่ไร้สมองของเรื่องนี้ลืมเขียนเรื่องดัชนีทองคำให้เขาไปแล้วหรือไร ?


แต่ว่าการอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้มานานถึงห้าปี ก็ทำให้เขาคิดอะไรได้หลายอย่าง


ในโลกที่ปีศาจออกอาละวาดเช่นนี้ ภายนอกนั้นจึงเต็มไปด้วยอันตราย และการที่มิได้ออกฝึกตนความจริงแล้วก็ดีเหมือนกันในเรื่องของความปลอดภัย


ณ โลกนี้ที่เขาทะลุมิติมา มิมีแสงสียามค่ำคืน มิมีความวุ่นวายของเมืองหลวง ทุกวันคอยพร่ำสอนให้คนอ่านเขียน มีเวลาว่างก็วาดภาพทิวทัศน์ เขียนอักษร ดื่มน้ำชา และนั่งดีดพิณอย่างสบายใจ


ในความคิดของเขา การฝึกจิตใจและการปฏิบัติตัวเช่นนี้ก็ถือว่ามิเลวเลย


นอกจากนี้ เพื่อให้ชีวิตได้อยู่อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น เขาจึงได้เปิดร้านขายของชำขึ้นในเมืองเสี่ยวฉืออีกด้วย


เดิมทีเขาวางแผนที่จะขายหนังสือและภาพวาดของตนเอง แต่คนในเมืองเสี่ยวฉือล้วนเป็นคนหยาบกระด้างหาได้ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้ไม่ ดังนั้นการเปิดร้านเช่นนี้จึงมิเหมาะกับที่นี่เท่าใดนัก


สุดท้ายเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นร้านขายของชำแทน โดยปกติก็จะขายพวกของป่าต่าง ๆ และหากเป็นช่วงเทศกาลเขาก็จะรับวาดรูปเทพผู้พิทักษ์ประตู และเขียนกลอนคู่สำหรับติดประตูด้วย


ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ร้านขายของชำแห่งนี้ก็พอทำให้ชีวิตของเย่ฉางชิงนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น


และบัดนี้ เด็กนักเรียนได้จากไปหมดแล้ว เย่ฉางชิงจึงทำได้เพียงปิดประตูโรงเรียน ก่อนเตรียมตัวกลับไปเปิดร้านขายของชำต่อ


หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป เย่ฉางชิงก็ได้มาถึงร้านขายของชำของเขา ก่อนจะทำความสะอาดหน้าประตูอย่างลวก ๆ จากนั้นจึงวิ่งไปที่ลานด้านในเพื่อหยิบม้วนภาพวาดทิวทัศน์สองภาพมาแขวนในร้าน


เนื่องจากวันนี้มีคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมารับสมัครลูกศิษย์ คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างมีภูมิหลังที่แตกต่างกันไป ไม่แน่ว่าหนึ่งในศิษย์เหล่านั้นอาจมีคนมาจากครอบครัวนักปราชญ์ หรือเป็นผู้ที่ชื่นชอบพู่กันและภาพวาดก็เป็นได้


แน่นอนว่าเย่ฉางชิง มั่นใจในผลงานของตนเองมากทีเดียว


สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองก็เกิดในตระกูลนักปราชญ์


และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะหลังจากที่เขามาถึงที่โลกนี้ ก็ได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นมีความเข้าใจในเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กัน และภาพวาดได้อย่างรวดเร็ว


เขามั่นใจว่าหากมีคนนำผลงานเหล่านี้ของเขาชิ้นใดชิ้นหนึ่งติดมือกลับไป มูลค่าในตลาดจะต้องมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงอย่างแน่นอน


“หรือว่าการที่ข้ามีฝีมือวาดภาพ สิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้คือดัชนีทองคำของข้างั้นหรือ?”


เย่ฉางชิงที่นอนอยู่บนเก้าอี้หวายและกำลังชื่นชมภาพไท่เสวียนฉางชิงตรงหน้า จู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเองไปหนึ่งฉาด ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน


“แต่... แต่ความสามารถเช่นนี้จะนับว่าเป็นดัชนีทองคำได้เยี่ยงไร?”


“เหลวไหลเสียจริง!”


“นี่คือโลกบำเพ็ญเพียรที่เต็มไปด้วยปีศาจคอยอาละวาด เต็มไปด้วยอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่เมืองเสี่ยวฉือซึ่งอยู่ติดกับแดนสวรรค์ก็มักจะเกิดภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง ความสามารถเล็กน้อยเหล่านี้เมื่ออยู่ที่นี่ถือว่าไร้ประโยชน์สิ้นดี!”


“ฟิ่ว!”


“ฟิ่ว!”


“ฟิ่ว!”


เวลานี้ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือกำลังมีลำแสงบางอย่างพาดผ่าน เสียงที่ทะลุผ่านอากาศรุนแรงจนแสบแก้วหู


เย่ฉางชิงลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะรีบไปที่ประตู เขามองดูท่าทางสง่างามของเหล่าคนที่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้า พวกเขาเหล่านั้นเหาะเหินอยู่บนอากาศอย่างองอาจ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา


“หากวันหนึ่งข้าสามารถขี่บนกระบี่เช่นนั้นได้ และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของข้า นั่นต้องเป็นความฝันที่ดีอย่างแน่นอน!”


“แต่ช่างน่าเสียดายนักที่ฟ้ามิสร้างข้าเย่ฉางชิงขึ้นมาให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียร กระบี่เล่มนี้คงถูกลิขิตให้โดดเดี่ยวยาวนานราวกับค่ำคืนในฤดูเหมันต์...”



[1] ยามเฉิน(辰时)คือเวลา 07.00 น. – 09.00 น.


[2] ดัชนีทองคำ เป็นคำที่เอาไว้ล้อเลียนไอเท็มโกงหรือสูตรโกงที่พวกพระเอกในนิยายมักจะมีกัน

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว