ภายในหอคอยเทพอสูรหงสาเพลิง ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านเฉกเช่นหอคอยแห่งอื่น ๆ ทำให้ ซุน ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าผู้ใดจะได้รับผลกระทบ ระเบิดความเร็วของ จื่อซีอี้ ห้อทะยานขึ้นไปตั้งแต่ชั้นแรกสุด
ขณะที่ผ่านบ่อน้ำกลางหมู่บ้าน ซุน ยังชำเลืองมองน้อย ๆ ก็พบว่าบ่อน้ำที่นี่ก็มีน้ำเต็มปริ่มอยู่เช่นนั้น ดังนั้นเรื่องของประตูลับไปยังชั้นใต้ดินหอคอย คาดว่าคงมีในหอคอยทุกแห่ง หากแต่มันยังมิใช่สิ่งที่ ซุน จะต้องรีบให้ความสนใจในเวลานี้ เขาดิ่งตรงไปยังชั้นที่สองทันที...
ไม่กี่ชั่วยามผ่านไป ก็แตะย่างเข้าสู่ชั้นที่หนึ่งร้อย... ตลอดเส้นทางมานี้ จื่อซีอี้ เอาแต่บ่นไม่ขาดปาก ย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าตนจะไปส่ง ซุน แค่ชั้นที่ 113 เท่านั้น และจะต้องยอมให้ตนกลับไปแอบซ่อนตัวอยู่ในหยกม่วงตามเดิม อีกทั้งร้องขอให้ ซุน เก็บซ่อนหยกม่วงในแหวนมิติอีกอย่างน้อยห้าชั้น นั่นจึงทำให้มันพอจะไว้วางใจได้ว่าตนเองจะปลอดภัย
ซุน ได้แต่รับปากปัดรำคาญไปด้วยความสังเวชใจ
และแล้วก็เดินทางมาถึงขั้นที่ 113... จื่อซีอี้ หายตัววับไปทันทีอย่างรวดเร็วหนีกลับเข้าไปในหยกม่วงโดยไม่แม้แต่จะรอให้ ซุน เอ่ยคำใด... ชายหนุ่มกวาดตามองออกไปยังห้องสีขาวกว้าง ๆ ของด่านทดสอบจิตใจ
ความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเขาในเวลา หาได้มีความหวั่นเกรงต่อสิ่งที่จะปรากฏ แต่มากเกินไปกว่าความต้องการจะรับรู้ถึงเหตุผลที่ตนต้องมาอยู่ตรงนี้ ต้องมาอยู่ที่นี่... เขาเดินตามเส้นทางของภาพนิมิตมายาทั้งเก้าอย่างที่ แมวขาว และ กุ่ยเยี่ยซา ได้แนะนำ
และ ราชันย์หงสาเพลิง ก็คือภาพนิมิตมายาที่ห้า
ไม่นานนักบรรยากาศของโถงชั้นนี้ก็แปรเปลี่ยนไป ดวงตาเปลวเพลิงขนาดใหญ่คู่หนึ่ง ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า... ดวงตานั้นจ้องมองมายัง ซุน โดยที่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น คล้ายกำลังกวาดมองห้วงความทรงจำที่กำลังถูกเปิดเผยภายในชั้นนี้
เสียง หึหึ ของสตรีดังออกมาสั้น ๆ
“ผู้เยาว์ พร้อมแล้วสำหรับด่านทดสอบจิตใจ... ขอราชันย์หงสาเพลิงเปิดเส้นทางไปต่อให้กับผู้เยาว์ด้วย...” น้ำเสียงของชายหนุ่มแน่นหนักมั่งคง
“ด่านทดสอบหาใช่สิ่งจำเป็น... เด็กน้อยผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของ เทพหู่ และความหวังสุดท้ายของ เล้งซาน เรานั้นเฝ้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว ด้วยอายุขัยเจ็ดล้านปีของเรา กาลเวลาหมื่นปีสำหรับเราก่อนหน้านี้ช่างแสนสั้นยิ่งนัก... แต่ช่วงที่เราเฝ้ารอเจ้านั้นช่างรู้สึกว่าเป็นหนึ่งหมื่นปีที่ยาวนานเสียเหลือเกิน...”
สิ้นเสียงของ ราชันย์หงสาเพลิง ดวงตาเปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็สลายหายไป ประตูแสงสู่ชั้นบนสุดของหอคอยก็ถูกเปิดขึ้น... ซุน สูดลมหายใจลึกยาวอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปด้วยจิตใจที่สั่นไหวตื่นเต้น...
เบื้องหน้าของเขา มองเห็นวิหคเพลิงขนาดมหึมาที่ขยายปีกราวกับจะครอบคลุมฟ้าดิน เรือนกายทั้งหมดล้วนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกโชนร้อนระอุ การยืนอยู่ตรงนี้ ซุน สัมผัสได้น่าอันตรายยิ่งกว่าปากปล่องภูเขาไฟที่ถ้ำมังกรสถิตเป็นสิบเป็นร้อยเท่า จนชายหนุ่มเผยใบหน้าที่เจ็บปวด และกริ่งเกรงว่าร่างกายของเขาจะมอดไหม้ไปเสียก่อน...
วิหคเพลิงเห็นเช่นนั้น จึงสลายเรือนกันน่ากริ่งเกรง เปลี่ยนรูปโฉมเป็นร่างกึ่งมนุษย์ กลายเป็นสตรีผมสีแดงผู้หนึ่ง ความอรชรของนางมาพร้อมกับอาภรณ์สีแดงที่เต็มไปด้วยขนของวิหคเพลิงปกคลุมประดับไว้
นางมีความงดงามเลิศล้ำแห่งบรรพกาล ที่มิอาจหาผู้ใดเปรียบได้ แผ่ล้นไปด้วยความสูงศักดิ์ที่มากยิ่งกว่า ราชันย์มังกรทมิฬ เสียอีก ราวกับว่าตัวนางมีความพิเศษบางอย่างที่ไม่อาจแตะต้องหรือสามารถนึกฝัน...
ภาพนี้ตรงกับภาพนิมิตมายาภาพที่ห้าของ ซุน ที่สลักไว้ในห้วงสำนึก
นัยน์ตาสีแดงของนางที่ทอดมองต่ำ เมื่อนางทิ้งร่างลงนั่ง ความว่างเปล่าก็พลันก่อตัวกลายเป็นบัลลังก์เปลวเพลิงมาร่องรับสะโพกที่ผายอวบอิ่มของนางทันที... อากัปกิริยาที่แสดงออกมา เผยความสูงล้ำมิอาจหาที่เปรียบ มากพอจะทำให้นางถูกเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า
แม้มนุษย์ทุกคนจะเข้าใจว่านางคือราชันย์หงสาเพลิง ที่ปกครองทวีปหงสาเพลิงแห่งนี้มาตั้งแต่ยุคบรรพกาลเมื่อหลายหมื่นปีก่อน... หากแต่ในความจริงแล้ว นี่คือตัวตนของผู้ที่มีอายุขัยเป็นอนันต์ ตลอดเจ็ดล้านปีที่ผ่านมาทุกสรรพชีวิตล้วนดับสูญไปจนนับไม่ถ้วน มีแค่นางที่งดงามเป็นนิรันดร์เพียงหนึ่งเดียว...
ตัวตนแท้จริงของนางก็คือ เทพจี(ระกา) คือสิ่งมีชีวิตในยุคแรกเริ่ม หนึ่งเทพนักษัตรทั้ง 12 ที่ เทพเทวะ เป็นผู้สร้างขึ้นมา ทั้งยังเป็นเทพนักษัตรตนสุดท้ายที่ยังไม่ดับสูญสู่นิพพาน... ซุน ยังจดจำนางได้จากความทรงจำแห่งสายลมสวรรค์ของ พยัคฆ์วาตะ ว่านางก็เป็นอีกคนที่เข้าร่วมสงครามแห่งดวงดาวเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เป็นผู้ครอบครอบเศษเสี้ยวจิตวิญญาณอนันต์เฉกเช่นเดียวกับ กุ่ยเยี่ยซา...
ซุน ประสานมือเคารพเฉกเช่นผู้เยาว์คนหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยอัดแน่นที่มีในใจ... “ท่านกล่าวว่าเฝ้ารอข้ามาเนิ่นนาน... บอกได้หรือไม่ว่าท่านกำลังเฝ้ารอข้าเพราะอะไร”
ราชันย์หงสาเพลิงพอได้ยินเช่นนั้น นางก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เราเฝ้ารอเจ้าด้วยเหตุผลอะไรนั้น คงไม่สำคัญไปกว่าเหตุผลที่เจ้าขึ้นมาหาเรามิใช่หรือ?! เส้นทางที่พร่าเลือนไม่ชัดเจนของเจ้า คล้ายต้องการเปลวเพลิงของเราเป็นผู้ส่องสว่างนำทาง ถูกต้องหรือไม่?”
ซุน ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ “เป็นดั่งที่ท่านว่ามา... แม้พอจะมองเห็นเส้นทางเดิน หากแต่ข้านั้นมิได้มีแรงจูงใจพอที่จะก้าวเดินออกไปจริง ๆ ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะเลือกด้วยซ้ำ ถึงข้าจะได้ยินความยิ่งใหญ่เรื่อยมาเกี่ยวกับ เล้งซาน ทำให้มีความเลื่อมใสศรัทธาอยู่ไม่น้อย
แต่นั่นก็มิได้แปลว่าข้าจะยินยอมให้ เล้งซาน มากำหนดชีวิตและชะตากรรมของข้าได้ตามอำเภอใจ มันดูไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเลยสักนิดเดียว ข้าไม่ได้อยากที่จะต่อสู้กับทุกสิ่งที่ประดังเข้ามาอย่างไร้จุดยืน
ในทุก ๆ ครั้งจิตใจข้าล้วนไม่ยินยอม จึงต้องอาศัยความบ้าคลั่งจากสัญชาตญาณเข้ามาช่วยเหลือ... ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงเป็นข้า ทำไมถึงเจาะจงที่ข้า ทำไมต้องมอบหน้าที่ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวข้าในอดีต หยิบยื่นให้กับข้าโดยที่มิอาจปฏิเสธมันได้
ก่อนหน้าหน้าข้าไม่เคยเชื่อถือในชะตากรรม ไม่เคยเชื่อถือในคำทำนาย ข้าเชื่อมั่นเพียงปัจจุบัน และสิทธิ์ในการก้าวเดินของตนเอง... แต่ทุกสิ่งอย่างในหลายปีที่ผ่าน มันทำให้ข้านั้นสับสน แม้จะพยายามสวมจิตใจที่มุ่งมั่น หากแต่มันก็เป็นเพียงการเก็บซ่อนความไม่ยินยอมภายในใจ...”
ทุกคำที่ ซุน เอ่ยออกมานั้น สามารถมองเห็นดวงตาที่เศร้าสลดของเขาได้อย่างชัดเจน... ใครเล่าจะอยากถูกบีบบังคับ ใครเล่าจะอยากถูกกำหนดเส้นทางเดิน ใครเล่าจะอยากถูกลิดรอนอิสรภาพของตนเอง นั่นคือสิ่งที่ ซุน คิดมาเสมอ...
ราชันย์หงสาเพลิง พอได้ยินกลับเผยรอยยิ้มออกมา... “เจ้ากล่าวผิดแล้ว ไม่ได้มีใครกำหนดเส้นอะไรของเจ้าทั้งนั้น ในทุกอย่างและทุกการกระทำ เจ้าเป็นผู้เลือกเอง... เจ้ามองเห็น เล้งซาน ยืนอยู่ตรงนั้นงั้นหรือยามที่เจ้าลงมือสังหารผู้คน? เจ้ามองเห็น เล้งซาน ยืนอยู่ตรงนั้นงั้นหรือในยามที่เจ้าตัดสินใจ?
คำตอบคือไม่เลย...
เจ้าเลือกมันด้วยสัญชาตญาณของเจ้าเองทั้งสิ้น!! สิ่งที่ เล้งซาน เกลียดชังที่สุด ก็คือการถูกควบคุมชะตากรรม การถูกกำหนดและชี้นำจากบุคคลอื่น ตลอดช่วงชีวิตเขาเลือกที่จะปฏิเสธและต่อต้านสิ่งเหล่านั้นเสมอมา... ฉะนั้นต่อให้ เล้งซาน มีพลังที่จะสามารถทำได้ แต่เขาก็จะไม่มีทางไปกำหนดชะตากรรมของผู้อื่นโดยเด็ดขาด นอกเหนือจากชะตากรรมของตนเอง...”
ซุน ยืนนิ่งค้างไป “ขะ...ข้าไม่เข้าใจ?! ในเมื่อ เล้งซาน เกลียดชังการถูกควบคุมและกำหนดชะตากรรม แล้วทำไมถึงยังทำเช่นนั้นกับข้า...”
นางหัวเราะออกมา... “นี่เจ้ายังไม่เข้าใจอีกงั้นหรือ?! เช่นนั้นเราจะขอเล่าย้อนถึงเหตุผลที่ผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด และมีชีวิตอนันต์อย่าง เทพเทวะ ตัดสินใจที่จะยอมดับทำลายชีวิตของตนเองให้เจ้าได้ฟัง...
สิบล้านปีก่อน... บนสุริยะ 5 ดวงดาว แห่งราศีกรกฎ มีอารยธรรมและวิทยาการที่ยิ่งใหญ่กว่าในปัจจุบันอย่างที่มิอาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ หากแต่เมื่อมาถึงวันแห่งชะตากรรม วันที่บัลลังก์แห่งสุริยะได้ปรากฏออกมา ความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเหล่านั้นกลับต้องล่มสลาย เปลวเพลิงแห่งสงครามช่วงชิงลุกโหมมอดไหม้ไปทั้งสุริยะ การต่อสู้ครั้งนั้นรุนแรงจนดาวเคราะห์พังทลายไปดวงหนึ่ง จึงหลงเหลือเพียงแค่ สุริยะ 4 ดวงดาวในปัจจุบัน
สงครามในครั้งนั้น เทพเทวะ คือผู้ชนะที่อยู่บนจุดสูงสุด แต่ชัยชนะของเขา ก็แลกมาด้วยการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเพียงหนึ่งเดียวบนสุริยะที่กว้างใหญ่แห่งนี้... เขาบรรลุชนชั้นลมปราณสีรุ้งอาณาจักรอนันต์ จนทำให้ชีวิตและวิญญาณไม่อาจดับสูญ อยู่เหนือขอบเขตแห่งกาลเวลา สามารถควบคุมได้ในทุกสรรพสิ่ง
บัลลังก์แห่งสุริยะราศีกรกฎที่เขาครอบครอง ก็มีพลังอำนาจมากพอให้เขาสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตใด ๆ ขึ้นมาก็ได้ อีกทั้งยังสามารถกำหนดชะตากรรมของทุกชีวิต ภายใต้การถือกำเนิดขึ้นจากพลังที่อยู่ในกำมือเขา
เทพเทวะ ยังไม่พึงพอใจกับอำนาจที่ได้รับ เพราะในตอนนั้น ก็ยังมีผู้ที่อยู่สูงเหนือขึ้นกว่าเขาอีกผู้หนึ่งนั่นก็คือ ‘เจ้าจักรราศี’ ผู้ปกครองสุริยะราศีทั้ง 12 หมู่ดาว สุริยะราศีกรกฎเป็นเพียงแค่หนึ่งใน 12 สุริยะหมู่ดาวเท่านั้น ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับ เทพเทวะ ที่ปกครองสุริยะต่าง ๆ อีกถึง 11 คน...”
ซุน ที่ได้ยินมาถึงตรงนี้ มันทำให้เจ้านึกถึง อาเมนดูเอล ที่มักจะกล่าวอยู่เสมอว่าตนนั้นมาจาก สุริยะราศีมีน แต่เพราะพ่ายแพ้ในศึกชิงบัลลังก์แห่งสุริยะราศีมีน ทำให้เขาต้องตาย ถูกทำลายกายหยาบ แม้แต่ดวงวิญญาณก็ยังถูกคำสาป แต่เขาก็ยังโชคดีที่หลบหนีออกมาได้ด้วยมหาเวทย์อาคมลับ ทำให้รอดพ้นจากการดับสูญของดวงวิญญาณ
สิ่งที่ราชันย์หงสาเพลิงกำลังเอ่ยถึง คงเป็นเรื่องราวของสุริยะราศีกรกฎแห่งนี้... แม้ ซุน จะยังไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องยังไงกับตนเอง แต่ก็ยังรับฟังอย่างใจจดใจจ่อด้วยความสงบ...
“เทพเทวะ ปรารถนาที่จะอยู่เหนือผู้ใด จึงเข้าร่วมศึกชิงตำแหน่ง ‘เจ้าจักรราศี’ ต่อสู้เพื่อช่วงชิงตำแหน่งกับผู้ครองครองบัลลังก์จากสุริยะราศีอื่น ๆ ทว่าสุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้... เขานั้นหอบหิ้วความเจ็บแค้นใจ กลับมายังมาตุภูมิของตน
ตำแหน่ง เจ้าจักรราศี จะมีการผลัดเปลี่ยนในทุก ๆ 10 ล้านปี... เทพเทวะ พ่ายแพ้ครั้งนั้นเข้าก็ยังไม่ยินยอม หมายมั่นที่จะลงชิงชัยในศึกครั้งหน้าอีกครั้งให้จงได้...
แต่ เทพเทวะ ก็รู้ตัวดีว่าความแข็งแกร่งของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่สามารถที่จะแข็งแกร่งไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว... นั่นจึงทำให้เขาเริ่มที่จะวางแผนเพื่อ ‘จุติใหม่’ โดยอาศัยวิธีคำนวนการตกฝากชะตากรรมของผู้ยิ่งใหญ่ และอาศัยสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดมาเพื่อถือกำเนิด...
หลายล้านปีต่อมาเขาจึงทำการสร้างเทพนักษัตรทั้ง 12 มาเป็นสิ่งมีชีวิตยุคแรกเริ่มของสุริยะ 4 ดวงดาวแห่งนี้... โดยใช้ร่างกายและจิตวิญญาณของตนเอง ผสมผสานกับพลังจากบัลลังก์สุริยะราศีกรกฎ จากนั้นก็ทยอยสร้างสิ่งมีชีวิตในแต่ละเผ่าขึ้นมา จากรากฐานความทรงจำดั้งเดิมก่อนที่อารยธรรมจะล่มสลาย... โดยในครั้งนี้ทุกสรรพชีวิตที่เกิดมานั้น มิได้ล่วงรู้เลยว่า เทพเทวะ ได้แอบทำการกำหนดชะตากรรมของทุกชีวิตเอาไว้แล้ว...
ต่อมาภายหลัง เทพเทวะ ถูกสังหารโดย เทพหลง(มะโรง) เทพนักษัตรที่แข็งแกร่งที่สุด... หากแต่แท้จริงแล้ว นั่นกลับเป็นหนึ่งในแผนการเพื่อจุติใหม่ของ เทพเทวะ เขานำพาตนเองเข้าไปในวัฏสงสารแห่งห้วงวิญญาณ ก่อนจะกลับมาจุติใหม่อีกครั้งในสายเลือดของ เล้งซาน... เพื่อให้ได้รับพลังจากทั้งสายเลือด และชะตากรรมที่แข็งแกร่งมากยิ่งกว่าชาติภพที่แล้ว...”
“!!!!!!!!!” ซุน ได้ยินมาถึงตรงนี้ ก็มากพอจะทำให้เอาเขาอึ้งงันไป “จุติใหม่งั้นหรือ?! เรื่องแบบนั้นทำได้จริง ๆ งั้นหรือ!!”
“ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานอันแรงกล้าอย่างที่จินตนาการไม่ออก และจะต้องบรรลุพลังในขอบเขตที่เกินกว่าสามัญสำนึกเท่านั้นจึงจะสร้างโอกาสอันน้อยนิด ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริง...” ราชันย์หงสากล่าวทั้งรอยยิ้ม
ซุน ขมวดคิ้วฉับทันที... “เช่นนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของข้า?!”
“เกี่ยวสิ!! เพราะนั่นแหละ คือเหตุผลและคำตอบทั้งหมดที่เจ้ากำลังตามหา...” นางสวมกอดอก ทั้งยังเพ่งมองมายัง ซุน ด้วยสายตาที่ล้ำลึก
ซุน ขมวดคิ้วเป็นปม เขายังไม่เข้าใจความหมายของนาง แม้จะพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อย ๆ เบิกโพลงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดของนางก่อนหน้านี้
‘เล้งซาน จะไม่มีทางไปกำหนดชะตากรรมของผู้อื่นโดยเด็ดขาด... นอกเหนือจากชะตากรรมของตนเอง’
ซุน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นทันที หันมองไปยังนางด้วยดวงตาที่สั่นไหวไปมา แม้แต่จิตใจของเขายังถูกเขย่าคลอนอย่างรุนแรง “ระ...หรือว่า?!”
นางยิ้มออกมา... “ถูกต้อง! เล้งซาน เป็นศัตรูแห่งชะตากรรมเพียงหนึ่งเดียวของ เทพเทวะ... เล้งซาน จึงเลือกใช้วิธีการเช่นเดียวกับ เทพเทวะ ดับสลายชีวิตของตนเอง ยินยอมที่เสียสละทุกสิ่งเพื่อที่จะกลับมาจุติใหม่ ยับยั้งภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดจาก เทพเทวะ อีกครั้ง...
ซึ่งการจุติใหม่นั้น... ก็คือเจ้า!!”
......................................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว