พลิกชะตาชันสูตรรัก (นิยายแปลจีน) by ตำหนักไร้ต์รัก-ตอนที่ 11 เจ้ายังแกร่งไม่พอ (2)

โดย  ตำหนักไร้ต์รัก

พลิกชะตาชันสูตรรัก (นิยายแปลจีน) by ตำหนักไร้ต์รัก

ตอนที่ 11 เจ้ายังแกร่งไม่พอ (2)

บทที่ 21 เสิ่นมู่เหยี่ย: ฉันจะบำเพ็ญเซียน


ระหว่างทางที่นั่งรถมา เสิ่นมู่เหยี่ยเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้า สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา


เสิ่นจืออินได้แต่คิดในใจ...


แย่แล้ว ไอ้เด็กนี่คงไม่โดนหลอกจนเสียสติไปแล้วหรอกนะ


ถึงจะไม่เสียสติ แต่ก็กลายเป็นเหมือนลูกหมาไปแล้ว


ยกตัวอย่างตอนลงจากรถ


“คุณย่าครับ ผมอุ้มเอง”


ก่อนหน้านี้ ถ้าให้เขาเรียกเด็กสามขวบว่าคุณย่า เขาไม่มีทางยอมเรียกเด็ดขาด แต่ตอนนี้...เขากลับเรียกได้อย่างเป็นธรรมชาติ


เสิ่นมู่เหยี่ยอุ้มเสิ่นจืออินมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น


เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ...


เสิ่นมู่เหยี่ยรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กไปที่ห้องครัวเพื่อรินนมอุ่น ๆ ออกมาให้เธอ แล้วยังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย


พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตาค้าง


เกิดอะไรขึ้น? คุณชายของเขาที่ปกติทำเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ ถูกผีเข้าสิงเหรอ?


เสิ่นจืออินกลับรู้สึกเฉย ๆ และออกคำสั่งเขาอย่างองอาจผ่าเผย


“คุณย่า นอกจากปราบผีแล้ว คุณย่ายังทำอะไรได้อีก? บินบนดาบแบบนักพรตในทีวีได้ไหม?”


เขาจ้องมองเสิ่นจืออินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง


ต้องยอมรับว่าเด็กผู้ชายทุกคนตอนเด็ก ๆ ต่างก็มีความฝันอยากเป็นจอมยุทธ์ การเหาะเหินเดินอากาศด้วยดาบนับเป็นสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันมากที่สุด แม้แต่ในฝันก็ยังฝันถึงการเหาะเหินเดินอากาศ


มันทั้งเท่ ทั้งดูดีมีสไตล์ น่าตื่นเต้นกว่าการแข่งรถซะอีก


ว่ากันตามจริง พวกนักพรตในโลกนี้อาจจะไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะงานหลักของพวกเขาคือการปราบผีและวาดยันต์ แต่เสิ่นจืออินนั้นเก่งจริง ๆ


ในชีวิตที่แล้วของเธอ ในทวีปที่เธอจากมา ผู้ฝึกตนทุกคนต้องเรียนรู้การเหาะเหินเดินอากาศด้วยดาบเมื่อบรรลุขั้นสร้างรากฐาน


แต่ไม่ใช่ตอนนี้


“การเหาะเหินเดินอากาศมีอยู่จริง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้”


เสิ่นมู่เหยี่ยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มผู้หยิ่งยโสในตอนนี้ดูเหมือนสุนัขตัวโตที่จ้องมองเธอด้วยความกระตือรือร้น


“งั้นดูสิว่าผมเรียนได้ไหม?”


ส่วนเรื่องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผีเขายังเห็นมาแล้ว เพื่อความฝันที่จะเหาะเหินด้วยดาบ เขาต้องเชื่อให้ได้


เสิ่นจืออินมองเขาสองครั้ง “ยื่นมือออกมาสิ ฉันขอดูก่อน”


เสิ่นมู่เหยี่ยรีบยื่นมือออกไปทันที


เสิ่นจืออินจับมือเขา ใช้พลังวิญญาณตรวจสอบภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เธอถึงกับประหลาดใจเมื่อพบว่าเด็กคนนี้มีจิตวิญญาณจริง ๆ


ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นจิตวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์เสียด้วย ถ้าอยู่ในทวีปอูเหิงละก็ นี่คงเป็นต้นกล้าชั้นดีที่สำนักต่าง ๆ ต้องแย่งชิงกันอย่างแน่นอน


รู้ไหมว่าในทวีปอูเหิง ในหมื่นคนอาจจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีจิตวิญญาณ และส่วนใหญ่เป็นจิตวิญญาณธาตุผสม จิตวิญญาณธาตุบริสุทธิ์นั้น ในแสนคนอาจมีเพียงคนเดียว


นึกไม่ถึงเลยว่า คนแรกที่เธอได้เจอในโลกนี้จะเป็นคนที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ซะได้


น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่มีศิลาทดสอบจิตวิญญาณ เลยตรวจสอบระดับของจิตวิญญาณเขาไม่ได้


ยิ่งไปกว่านั้น พลังวิญญาณในโลกนี้ทั้งเบาบางและปะปนกันไปหมด แม้ว่าเขาจะมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ การดูดซับพลังวิญญาณก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี


“เป็นยังไงบ้าง?” เสิ่นมู่เหยี่ยมองเสิ่นจืออินด้วยแววตาที่ทั้งคาดหวังและกังวล


เสิ่นจืออินเอื้อมแขนป้อม ๆ ไปตบบนแขนของเขาเบา ๆ “เธอโชคดีมากเลยนะที่มีคุณสมบัติในการฝึกฝน”


“จริงเหรอ!” เสิ่นมู่เหยี่ยตื่นเต้นจนเกือบกระโดด


เสิ่นจืออินแกว่งขาเล็ก ๆ ไปมาพลางพูดอย่างเชื่องช้าว่า “แต่ถ้าอยากฝึกฝน เธอต้องปูพื้นฐานให้แน่นก่อน ยิ่งไปกว่านั้น พลังวิญญาณในโลกนี้เบาบางมาก ถึงแม้เธอจะฝึกฝน ความเร็วในการพัฒนาก็ช้ามากอยู่ดี”


“ผมไม่กลัว ผมอยากฝึกวิชาครับ คุณย่า ช่วยสอนผมเถอะ”


ในฐานะลูกชายคนเล็กของตระกูลเสิ่น การจะได้อะไรมาครอบครองนั้นช่างง่ายดายสำหรับเสิ่นมู่เหยี่ย การเรียนก็เป็นเรื่องไม่สำคัญสำหรับเขา


เพราะเขามีพี่ชายที่เก่งกาจถึงสามคน คอยประคับประคองดูแลเขา ไม่ว่าต่อไปเขาจะทำอะไรก็ตาม


แต่ในบรรดาคนตระกูลเสิ่น เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เคยได้เห็นหน้าแม่ และไม่เคยได้รับความรักจากแม่เลย


ถึงแม้คนอื่น ๆ ในตระกูลเสิ่นจะคอยดูแลเอาใจใส่เขา แต่ทุกคนก็ต่างยุ่งกับเรื่องของตัวเอง ความรักที่มอบให้เขาจึงมีจำกัด สิ่งที่ได้รับมามากที่สุดคือการชดเชยด้วยวัตถุ


สภาพแวดล้อมเช่นนี้หล่อหลอมให้เสิ่นมู่เหยี่ยเป็นคนชอบแสวงหาความตื่นเต้น ชอบท้าทาย ไม่ชอบอยู่ในกรอบ


เขาชอบการแข่งรถ ชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมทุกรูปแบบที่ทำให้ได้เสี่ยงชีวิต ถึงแม้ตระกูลเสิ่นจะสั่งห้ามไม่ให้เขาข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่เขาก็ยังแอบไปเล่น ไปเสี่ยงอยู่ดี


เพราะหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้ชีวิตของเขามีสีสันและแตกต่าง ชีวิตของเขาก็คงจืดชืด ไร้รสชาติ เหมือนน้ำนิ่ง


บังเอิญที่เสิ่นมู่เหยี่ยเป็นคนดื้อรั้น เขาไม่ชอบใช้ชีวิตแบบนั้น


การปรากฏตัวของคุณย่าตัวน้อยคนนี้ ทำให้เสิ่นมู่เหยี่ยมีทางเลือกใหม่ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่เขาก็ยังอยากลอง


เสิ่นจืออินไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแย่อะไร เด็กดีมีแววจะสอนก็สอนไป


เพียงแต่...เธอไม่เคยมีศิษย์มาก่อนนี่สิ


หรือจะลองสอนสิ่งที่ควรสอนให้เขาไปก่อน แล้วปล่อยให้เขาพัฒนาตัวเองไปตามธรรมชาติ?


ตกลง งั้นทำแบบนั้นก็แล้วกัน


“รอก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันจะเอาตำราวิชาตัวเบา วิชายุทธ และพื้นฐานต่าง ๆ มาให้”


เสิ่นมู่เหยี่ยกำหมัดร้อง ‘เย้’ แววตาที่เขามองเสิ่นจืออินไม่ใช่แววตาที่มองเด็กน้อยอีกต่อไป แต่เป็นแววตาที่มองปู่ย่าตายายของเขา!


ฟ้ามืดแล้ว เสิ่นจืออินไม่ได้ไปหาต้ามี แต่กลับห้องของเธอ


เฮ้อ...ตำราวิชาตัวเบาและวิชายุทธที่จะให้เสิ่นมู่เหยี่ย เธอยังต้องเขียนออกมาเอง น่าเบื่อจัง


หลังจากเขียนอักษรไปได้บรรทัดเดียว เธอก็โยนพู่กันลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว


เสิ่นจืออินหยิบยาเม็ดหนึ่งเข้าปาก นั่งแกว่งเท้า ใบหน้าเล็ก ๆ ขมวดคิ้ว เธอคิดว่าตัวเองคงตอบตกลงเร็วเกินไป


เห็นได้ชัดว่าเป็นของเสิ่นมู่เหยี่ย ทำไมเธอต้องมาลำบากด้วยนะ


ที่สำคัญกว่านั้น เสิ่นมู่เหยี่ยอ่านลายมือของเธอไม่ออกสักตัว!


หลังจากหาข้ออ้างที่น่าเชื่อถือได้แล้ว เสิ่นจืออินก็รีบวิ่งเตาะแตะไปหาเสิ่นมู่เหยี่ย


“หลานชายจ๋า รีบออกมาเร็ว!”


เสิ่นมู่เหยี่ยกำลังคุยโวกับเพื่อนสนิทอยู่ว่า คุณย่าของเขาเป็นเซียน จากนั้นเพื่อน ๆ ก็ถามเขาอย่างสุภาพว่า เขาไปเจออะไรมาหรือเปล่า หรือว่าช่วงนี้จิตใจไม่ค่อยดี


หึ…พวกมนุษย์ธรรมดาไม่มีทางเข้าใจโลกของเขาหรอก!


ทันใดนั้น คุณย่าตัวน้อยก็มาเคาะประตู เขาจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที


หลังจากนั้น…ก็เริ่มต้นชีวิตที่แสนทรหดในการคัดลายมือ


พูดให้ถูกก็คือ เสิ่นจืออินนั่งข้าง ๆ กอดขวดนม ดื่มนมเป็นลิตร ๆ ปากก็พึมพำเกี่ยวกับเนื้อหาที่ต้องจด ส่วนเสิ่นมู่เหยี่ยหยิบปากกามาเขียนอย่างบ้าคลั่ง


ในนั้นมีหลายคำที่ไม่คุ้นเคย เขาเขียนไม่เป็น


เสิ่นมู่เหยี่ยใช้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยจดอะไรจริงจังขนาดนี้มาก่อน แม้แต่จดหมายสำนึกผิดก็มีคนอื่นเขียนให้ตลอด


คุณย่าสุดที่รักไม่รักเขาแล้ว ทำไมมันเยอะขนาดนี้ เขาจะต้องเขียนถึงเมื่อไหร่กัน


ถึงแม้จะน่าสงสาร แต่เขาไม่ยอมแพ้ คำที่ไม่คุ้นเคยก็ใช้มือถือค้นหาแล้วเขียนต่อ


การเขียนครั้งนี้ ด้วยพลังจากยันต์ของเสิ่นจืออิน ทำให้เขาเขียนตั้งแต่กลางคืนยันเช้า


นี่ก็เพิ่งจะเขียนความรู้พื้นฐานของการบ่มเพาะพลังเบื้องต้นเสร็จ เสิ่นมู่เหยี่ยรู้สึกว่ามือของเขาใกล้จะหักแล้ว


“เอาล่ะ เธอไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วฉันจะมาอธิบายเนื้อหาให้ฟัง”


เสิ่นจืออินโยนยาเม็ดให้เขาหนึ่งเม็ด


“อันนี้คือ ยาหรงชุน ใช้ฟื้นฟูพลังงานที่ร่างกายใช้ไป”


เสิ่นมู่เหยี่ยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ก่อนหน้าหายไปหมด


เขาหยิบยาเม็ดกลมเกลี้ยงราวกับไข่มุกขึ้นมาพิจารณาดูอย่างละเอียด แต่ก็ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจกลืนลงคอไป


ผลลัพธ์ของยานั้นเห็นผลทันตาสำหรับคนธรรมดาอย่างเขา ร่างกายของเสิ่นมู่เหยี่ยที่เหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอนมาทั้งคืนกลับฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวากว่าเดิม


“คุณย่าครับ ตอนนี้ผมรู้สึกสดชื่นมากจนไม่อยากพักเลยครับ” เขารู้สึกตื่นตัวกว่าที่เขานอนหลับเสียอีก


เขาอยากเรียนรู้เดี๋ยวนี้เลย!


เสิ่นจืออินได้แต่คิดในใจว่า นี่มันจะขะมักเขม้นกว่าเธอในชาติที่แล้วอีกนะ


“ไม่เอา ตอนนี้ฉันอยากจะพักผ่อน แล้วค่อยสอนหลังกินข้าวเสร็จ นายดูเองไปก่อนก็ได้”


เธอยังเด็กอยู่เลย รังแกเด็กแบบนี้มันบาปนะ


เสิ่นจืออินพูดปฏิเสธเสียงงุ้งงิ้ง แล้วไล่หลานชายที่กระตือรือร้นอยากเรียนรู้ออกไป


เสิ่นมู่เหยี่ยมองประตูที่ถูกปิดลง มือลูบจมูกเบา ๆ แต่ความกระตือรือร้นของเขากลับไม่ลดลงเลย


ดูเองก็ได้


เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า เสิ่นจืออินได้กลิ่นหอมลอยมา ก็รีบลงไปชั้นล่างเป็นคนแรก


รอจนเสิ่นจืออินกินจนอิ่มแปล้แล้ว ก็ยังไม่เห็นคุณชายของบ้านลงมากินข้าว


รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อบ้านเกือบจะหายไป


เรื่องอื่นจะเอาแต่ใจยังไงก็ได้ แต่เรื่องไม่กินข้าวเช้านี่ไม่ได้


ดังนั้นเขาจึงไปเชิญด้วยตัวเอง


ประตูห้องของเสิ่นมู่เหยี่ยไม่ได้ปิด พ่อบ้านเห็นคุณชายน้อยจอมดื้อกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับสมุดบันทึก ปากก็พึมพำอะไรบางอย่าง ดูตั้งใจมาก ทำเอาพ่อบ้านถึงกับตกใจ


เขาฝันไปรึเปล่า คุณชายไม่ได้เล่นเกม แต่เหมือนกับ...กำลังเรียนอยู่?


พ่อบ้านถึงกับสงสัยว่าตาตัวเองฝาดไปแล้ว คุณชายจะเรียนหนังสือเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ!


ด้วยความไม่แน่ใจ เขาจึงปิดประตูลงด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ แล้วเปิดออกอีกครั้ง


ภาพที่เห็นยังคงเหมือนเดิม พ่อบ้านถึงกับช็อก


“คุณชาย?”


แย่แล้ว คุณชายของเขาต้องมีปัญหาอะไรแน่ ๆ!


เสิ่นมู่เหยี่ยหันมามองเขา “อย่ามารบกวนผมเรียนหนังสือ”


เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาลุกขึ้นยืนทันที “คุณย่าตัวน้อยอยู่ไหน?”


พ่อบ้านถึงกับสูดหายใจเฮือกใหญ่ “คุณชาย เป็นอะไรไปครับ? หรือว่าโดนอะไรกระตุ้นมาจากโรงเรียน?”


เรียกนายหญิงว่า คุณย่าตัวน้อย งั้นเหรอ!


“ช่างเถอะ งั้นผมไปหาคุณย่าตัวน้อยเองก็ได้” เสิ่นมู่เหยี่ยกล่าว


วันนี้เขาจะต้องเริ่มฝึกเซียนให้ได้!


ส่วนเสิ่นจืออินน่ะเหรอ ฝึกเซียนน่ะไม่มีหรอก มีแต่ฝึกคน!


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ บรรพบุรุษน้อยตระกูลเสิ่นก็เดินมาพร้อมกับขวดนมที่สะพายอยู่บนไหล่ เธอนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ในสวนเล็ก ๆ และกินแตงโมอย่างสบายอารมณ์


“ตั้งใจหน่อยสิ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยนะ ขาเธอสั่นไปหมดแล้ว...”


เสิ่นจืออินทำเสียงจิ๊จ๊ะพร้อมกับส่ายหัวไปมา


เสิ่นมู่เหยี่ยผู้กำลังฝึกยืนม้านึกในใจ...


‘ถ้ามีความสามารถก็วางแตงโมลงก่อนสิ!’


เขาไม่กลัวความลำบาก แต่ใครจะทนได้ล่ะ เวลาที่เรากำลังลำบากแท้ ๆ ยังมีคนกินแตงโมอย่างสบายใจ แถมยังมาคอยจิกกัดเราอีก


เสิ่นจืออินพูดว่า “เธออายุขนาดนี้เพิ่งเริ่มฝึก คงสายไปหน่อย คนทั่วไปเขาเริ่มฝึกกันตั้งแต่อายุห้าขวบ”


หลังจากกินแตงโมเสร็จ เสิ่นจืออินก็เริ่มอธิบายข้อกำหนดเบื้องต้นของการบ่มเพาะพลังอย่างเชื่องช้า


“สิ่งสำคัญคือต้องสร้างรากฐานให้ดี”


“นายหญิง เชิญไปดูต้ามีหน่อยเถอะค่ะ ดูเหมือนมันกำลังตามหานายหญิง”


เสิ่นมู่เหยี่ยตัวสั่นเทา เหงื่อท่วมตัว ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ต้ามีคืออะไร?”


เสิ่นจืออินมองด้วยสายตาใสซื่อและบริสุทธิ์ “สัตว์เลี้ยงของฉันไง ฉันเคยบอกเธอไปแล้ว เธอลืมแล้วเหรอ?”



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว