ถ้อยคำของเย่เฉิงหนานทำให้กู้นั่วฉู่ตะลึงงัน พยายามแยกแยะว่าลู่จือเหยากับลู่จือฉิงเป็นใครอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกู้นั่วฉู่ก็ได้สติขึ้นมาทันที
“เป็นไปไม่ได้!” กู้นั่วฉู่มองเย่เฉิงหนานด้วยความแน่วแน่ “ท่านนึกว่าข้าหาขอทานตามท้องถนนมาให้หรือไร? คนของสำนักกระเรียนเหินไม่มีวันทำเรื่องผิดพลาดทำนองนี้แน่!”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าทำหรือไม่ทำ กู้นั่วฉู่ ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ ข้าจ่ายเงินไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น หากเรื่องนี้เจ้าไม่มอบคำอธิบายให้ข้าอย่างชัดเจน ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่!”
เย่เฉิงหนานกล่าวว่าจารุนแรงด้วยโทสะจนทำให้กู้นั่วฉู่หวาดกลัวเล็กน้อย อย่างไรเสียตัวตนและสถานะของเย่เฉิงหนานก็ตั้งอยู่ตรงนั้น ชาวบ้านไม่สู้กับขุนนาง หรือต่อให้ต้องการก็ไม่มีวันเอาชนะได้อยู่ดี นี่คือเรื่องที่พ่อค้าเช่นกู้นั่วฉู่กระจ่างแจ้งแก่ใจ เขาขมวดคิ้วมุ่นมองเย่เฉิงหนานซึ่งพอกล่าวจบแล้วก็หมุนกายจากไป ทำให้ไม่มีอารมณ์จะกลับไปนอน สวมเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วเดินออกมาจากห้อง
ถึงแม้มือสังหารจากสำนักกระเรียนเหินบุกรุกจวนอัครมหาเสนาบดียามวิกาลเพื่อลอบสังหารจะมิใช่เรื่องที่ทุกคนต่างล่วงรู้กันถ้วนหน้าก็ตาม ทว่ายามรุ่งสางของวันต่อมาก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้เรื่องนี้อยู่ดี ตัวอย่างเช่น หลินอี้เสียงและหลินอี้เฉิน เป็นต้น
หลินอี้เฉินนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ กำลังจ้องมองสระน้ำอย่างใจลอย แววตาเรียบเฉยเผยความสบายอารมณ์อย่างชัดเจน เมื่อฟังข่าวที่หลินอี้เสียงนำกลับมารายงาน ดวงตาก็กระจ่างวูบเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ลู่หย่วนเจิงผิดใจกับผู้ใด?”
“ดูเหมือนว่ามือสังหารผู้นั้นมิได้พุ่งเป้าไปที่ลู่หย่วนเจิง” หลินอี้เสียงมองหลินอี้เฉินด้วยสีหน้าหนักอึ้งพร้อมตอบกลับไปว่า “ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคือลู่จือฉิงบุตรีคนรองของลู่หย่วนเจิง ได้ยินว่าเสียโฉมโดยสิ้นเชิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ลู่จือฉิง?” หลินอี้เฉินผินหน้าสบตากับหลินอี้เสียง “รู้ตัวคนทำหรือไม่?”
“ยังไม่แน่ชัด ได้ยินว่ามือสังหารนั่นถูกหลานรั่วหลินนำตัวจากไปและฆ่าตัวตายระหว่างทาง หลินอี้หนานยังส่งหมอหลวงไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีเพื่อรักษาลู่จือฉิงโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นหลินอี้เฉินได้ยินชื่อหลินอี้หนานก็เปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา มองหลินอี้เสียงโดยแฝงความนัยลึกซึ้ง เอ่ยเสียงเบาขึ้นมาว่า “น้องชายของเจ้าคนนี้ ดูเหมือนว่าหมู่นี้จะสนิทสนมกับจวนอัครมหาเสนาบดีนะ”
หลินอี้เสียงฟังความนัยของหลินอี้เฉินออกจึงผงกศีรษะ ตอบโดยแสดงท่าทีเห็นด้วยเสียงต่ำกลับไปว่า “เรื่องนี้กระหม่อมจะพยายามสืบให้แน่ชัดโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นยังยืนอยู่ตรงนี้ทำไม” หลินอี้เฉินหันกลับไปอีกครา สายตาลอยล่องไปยังสถานที่อันไกลโพ้น
หลินอี้เสียงออกจากวังหลวงและมุ่งตรงไปยังจวนของหลินอี้หนาน ขณะที่เขาพบตัวหลินอี้หนาน ดูเหมือนว่าหลินอี้หนานกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่ใดสักแห่ง
“นี่จะไปที่ใดกันหรือ?” หลินอี้เสียงมองสำรวจการแต่งกายของหลินอี้หนานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เอ่ยถามพลางกล่าวหัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่าช่วงนี้สุขภาพของเจ้าจะดีขึ้นไม่น้อยเลยนะ?”
“อากาศดีเลยอยากออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องสุขภาพของข้าล้วนต้องพึ่งพาเจี่ยนอวี้หางผู้นั้นแล้วล่ะ” หลินอี้หนานเดินไปข้างหน้าพลางสนทนาเสียงต่ำกับหลินอี้เสียงที่อยู่ทางด้านข้าง “ไยวันนี้มีเวลามาหาข้าถึงที่นี่ได้ล่ะ?”
หลินอี้เสียงไร้เรื่องร้อนใจย่อมไม่ไปวัดเสมอมา หลินอี้หนานไม่ได้ตั้งความหวังว่าพี่ชายของเขาคนนี้จะมาเพื่อเยี่ยมเยียนเขาโดยเฉพาะ
“ข้ามาถามเรื่องจวนอัครมหาเสนาบดีจากเจ้า”
หลินอี้เสียงถามอย่างตรงไปตรงมา ทำให้หลินอี้หนานยิ้มแย้มเล็กน้อย “ข่าวนี้ช่างแพร่เร็วเสียจริง”
“เจ้ารู้เรื่องนี้เป็นคนแรกได้อย่างไร?” หลินอี้เสียงเห็นหลินอี้หนานยิ้มแย้มก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย หลายปีที่ผ่านมาหลินอี้หนานไปมาอิสระตามลำพังมาตลอด น้อยครั้งนักที่จะเห็นเขาไปมาหาสู่ด้วยความสนิทสนมกับขุนนางใหญ่คนใด ต่อให้เป็นเหล่าขุนนางเฒ่าที่ให้การสนับสนุนเขาเสมอมาพวกนั้น จำนวนครั้งที่หลินอี้หนานไปเยือนจวนของพวกเขาก็นับได้โดยใช้มือเพียงสองข้าง ดังนั้นเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ช่วงนี้หลินอี้หนานไปเยือนจวนอัครมหาเสนาบดีติดต่อกันถึงสองครา ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วจริง ๆ
“แค่บังเอิญเท่านั้นเอง เมื่อคืนหลานรั่วหลินไปลาดตระเวนละแวกจวนอัครมหาเสนาบดี นางได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจึงบุกเข้าไป” หลินอี้หนานเดินไปได้สักพักหนึ่ง เมื่อเดินถึงภูเขาจำลองก็พิงกาย หรี่ตาทั้งสองข้างพร้อมเงยศีรษะมองดูดวงตะวันเจิดจ้าบนท้องฟ้า จากนั้นจึงกล่าวกับหลินอี้เสียงว่า “ข้าส่งนางไปเอง”
“เพราะเหตุใด? เกิดเรื่องอะไรที่จวนอัครมหาเสนาบดีอย่างนั้นหรือ?”
หลินอี้เสียงอดรนทนไม่ไหว ต้องการสืบหาข้อมูลอะไรบางอย่างจากปากของหลินอี้หนาน หลินอี้หนานไม่อาจกลั้นหัวเราะได้ “หากข้าจำไม่ผิด ท่านน่าจะเป็นคนของรัชทายาท ท่านคิดว่าถามข้าแล้ว ข้าจะตอบท่านอย่างนั้นหรือ?”
ถ้อยคำของหลินอี้หนานทำให้หลินอี้เสียงสีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าหลินอี้หนานไม่ต้องการสร้างความลำบากใจแก่เขาเช่นกัน “เพียงแต่ช่างเถอะ ท่านตั้งใจมาโดยเฉพาะ ข้าไม่อาจปล่อยท่านกลับไปทั้งอย่างนี้ได้เช่นกัน” หลินอี้หนานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวต่อไปว่า “หลายวันก่อนลู่หย่วนเจิงมาหาข้า ไม่รู้เขาไปได้ยินเรื่องมหาโจรบุปผาฉู่จื่อเชียนเข้าเมืองหลวงแล้วมาจากที่ใด เนื่องจากห่วงความปลอดภัยของบุตรีทั้งสองคน จึงมาหาหลานรั่วหลินเพื่อสอบถามความจริง คุณหนูทั้งสองของตระกูลลู่หาใช่คนธรรมดาทั่วไปไม่ หากถูกฉู่จื่อเชียนผู้นั้นกระทำย่ำยีจริงคงไม่ดีแน่ ข้าจึงสั่งให้หลานรั่วหลินไปที่นั่น”
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยสนใจเรื่องของผู้อื่น” หลินอี้เสียงยังไม่ค่อยพอใจคำตอบที่หลินอี้หนานมอบให้
“คราวนี้ไม่เหมือนกัน” หลินอี้หนานยิ้มบางพลางสบตาหลินอี้เสียง “ไม่รู้ว่าลู่จือเหยาผู้นั้นจะมาเป็นคนของข้าเมื่อใด แล้วข้าจะไม่สนใจไยดีได้อย่างไรเล่า”
“เจ้าจะอภิเษกสมรสกับลู่จือเหยา?!”
“จะตกใจเช่นนี้ทำไมกันเล่า?” สีหน้าประหลาดใจของหลินอี้เสียงทำให้หลินอี้หนานนึกสนุกอยู่บ้าง “พวกท่านอยากให้ข้าอภิเษกสมรสกับนางมิใช่หรือ? ทำไม นึกเสียใจภายหลังอย่างนั้นหรือ?”
หลินอี้หนานไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ เล่ห์เหลี่ยมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลินอี้เฉินกับหลินอี้เสียงใช้นั้น เขากระจ่างแจ้งแก่ใจดีทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ต้องการพูดออกมาก็เท่านั้นเอง พวกเขาอยากให้เขาแต่งงานกับลู่จือเหยาผู้นั้น เขาก็จะแต่ง ทว่าหากพวกเขาอยากให้ตนตายด้วยการใช้ “ดาวกาลกิณี” เช่นลู่จือเหยาผู้นี้จริง นั่นเกรงว่าคงทำให้ให้พวกเขาผิดหวังเสียแล้ว
“เจ้าคงไม่ได้ถูกใจผู้หญิงคนนั้นจริงหรอกนะ?” หลินอี้เสียงกล่าวประโยคนี้ออกมาหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำให้หลินอี้หนานอดหัวเราะไม่ได้
“ก็แค่เด็กสาวที่ไร้มารดาเท่านั้น พวกเราต่างเหมือนกัน” หลินอี้หนานสายตาหม่นหมอง เรือนผมยาวพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้าเปี่ยมด้วยความโศกาอาดูรและอ้างว้างเดียวดาย “มือสังหารคนเมื่อคืนพุ่งเป้าไปที่ลู่จือเหยา ไม่รู้เพราะเหตุใด ลู่จือฉิงกับเย่เหลียนหรงต่างอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยพอดี ข้าคิดว่ามือสังหารผู้นั้นอาจจำคนผิด หรือบางทีอาจต้องการสังหารคนที่อยู่ภายในห้องทั้งหมดก็เป็นได้ สรุปแล้วต้องมีเหตุผลบางประการที่ทำให้มันลนลาน และจำเป็นต้องลงมือเมื่อคืนให้จงได้”
“ผู้ใดจะจ่ายเงินจ้างมือสังหารจำนวนมหาศาลเพื่อไปสังหารนางโดยเฉพาะ?” หลินอี้เสียงไม่ค่อยเชื่อหลินอี้หนานสักเท่าใดนัก เนื่องจากเขาคิดว่าลู่จือเหยามิได้มีค่าถึงเพียงนั้น
“เรื่องนี้ก็พูดยากแล้ว” หลินอี้หนานพูดกับหลินอี้เสียงโดยแฝงความนับ “บางทีอาจมีใครบางคนภายในจวนอัครมหาเสนาบดีที่กลัวว่าหากนางได้เป็นพระชายาอ๋องแปดแล้วจะส่งผลคุกคามถึงตนจริง ๆ ก็ได้ อย่างไรเสียผู้ที่เสนอให้ลู่จือเหยาแต่งงานกับข้ามิใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ หากว่ากันถึงที่สุด ข้ากลับคิดว่าในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านกับรัชทายาทต้องเป็นผู้รับผิดชอบถึงจะถูก ภายหน้าเกรงว่าลู่จือฉิงผู้นั้นคงไม่มีหน้าพบปะผู้คน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องออกเรือนแล้วล่ะนะ”
แม้ก่อนหน้านี้หลินอี้เฉินคิดรับลู่จือฉิงเป็นพระชายารัชทายาท แต่หลังจากเกิดเรื่องเช่นนี้ หลินอี้หนานไม่คิดว่าหลินอี้เฉินจะทำเช่นนั้นอีก ซึ่งหลินอี้เสียงก็คิดเช่นเดียวกัน
หลินอี้เสียงสนทนากับหลินอี้หนานอีกสักครู่ก็จากไป ทันทีที่หลินอี้เสียงย่างออกจากประตูใหญ่ หลิงอี้ก็ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าหลินอี้หนานในบัดดล
“นายท่าน ข้ามีเรื่องไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่งขอรับ” หลิงอี้มองใบหน้าด้านข้างของหลินอี้หนาน ครั้นหลินอี้หนานแสดงความหมายให้เขาถามได้ หลิงอี้จึงเอ่ยถามเสียงต่ำขึ้นมาว่า “ไยท่านต้องช่วยองค์ชายเจ็ดด้วยขอรับ?”
แม้ว่าองค์ชายเจ็ดยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามหลินอี้หนานเสมอมา แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ต่อให้หลินอี้หนานไม่เคยออกโรงช่วยเขา แต่ก็ไม่เคยสร้างความลำบากแก่เขาเช่นกัน
หลินอี้หนานมองหลิงอี้อย่างเงียบงัน สุดท้ายก็เผบรอยยิ้มพลางส่ายศีรษะ ไม่คิดจะตอบคำถามของเขา “ยากนักที่อากาศจะดี ออกไปเดินกับข้าเถอะ”
ยามปกติหากหลินอี้หนานบอกว่าเดินเล่นจะต้องเป็นภายในจวนเท่านั้น แต่ครั้งนี้เขากลับมุ่งตรงไปยังจวนอัครมหาเสนาบดี
การมาเยือนของหลินอี้หนานทำให้คนของจวนอัครมหาเสนาบดีจำต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อลู่จือเหยาอีกครา และทำให้เย่เหลียนหรงเคียดแค้นลู่จือเหยาจนต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่งกว่าเดิม
หลินอี้หนานปรายตามองลู่จือเหยาซึ่งกำลังก้มหน้าด้วยท่าทีอ่อนน้อม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยหลังจากนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ สตรีผู้นี้ดูคล้ายอ่อนแอ คิดไม่ถึงว่ายามลงมือขึ้นมากลับไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
“คุณหนูรองฟื้นแล้วหรือ?” หลินอี้หนานผินหน้ามองลู่หย่วนเจิงพร้อมเอ่ยปากถาม
“ฟื้นแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องขอรับ” เมื่อนึกถึงลู่จือฉิง ลู่หย่วนเจิงถอนหายใจอย่างแรงคราหนึ่ง
“ช่วงนี้ให้เจี่ยนอวี้หางพักอยู่ที่จวนของท่านก็แล้วกัน หากมีเรื่องอันใดจะได้ดูแลกันได้” หลินอี้หนานเดินวนรอบห้องลู่จือเหยารอบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินมาที่ลานเรือน ครั้นเห็นลู่หย่วนเจิงที่มีสีหน้าอิดโรยมากเป็นพิเศษจึงกระแอมสองคราแล้วเอ่ยว่า “หลานรั่วหลินจะส่งคนมาคุ้มครองความปลอดภัยของพวกท่านอยู่ละแวกจวนเช่นกัน”
“ครั้งนี้รบกวนองค์ชายแปดแล้วจริง ๆ ข้า...”
“ท่านอัครมหาเสนาบดีกล่าวอะไรกันเล่า” หลินอี้หนานพูดตัดบทลู่หย่วนเจิง ไม่ต้องการฟังคำพูดตามมารยาทที่ได้ยินจนเบื่อเหล่านี้ “นอกจากนี้ข้ามิได้ช่วยท่านเปล่า ๆ เสียหน่อย”
หลินอี้หนานมองสีหน้าย่ำแย่ของลู่หย่วนเจิงก็ยิ้มอย่างเงียบ ๆ เขาปรายตามองไปทางลู่จือเหยา ผงกศีรษะให้นางและพูดขึ้นมาว่า “มานี่ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
ลู่จือเหยาเดินมาถึงข้างกายหลินอี้หนานอย่างว่าง่ายและเดินตามเขาไป เมื่อทั้งสองเดินมาถึงสถานที่ปลอดคน ลู่จือเหยาถึงเปล่งเสียงถาม “องค์ชายแปดมีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ?”
“รัชทายาททรงทราบเรื่องนี้เช่นกัน ช่วงนี้อาจเสด็จมาที่จวน”
ลู่จือเหยาฟังถ้อยคำของหลินอี้หนาน พยายามคาดเดานัยยะที่แฝงอยู่ในวาจา นางหลุบตาครุ่นคิด และถามขึ้นมาว่า “องค์ชายแปดกำลังเตือนข้าว่าทำสิ่งใดต้องรู้จักควบคุมให้เหมาะสม อย่าเป็นตัวถ่วงท่านเด็ดขาดใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ ขอองค์ชายแปดโปรดวางใจได้เจ้าค่ะ”
“เจ้ากลับรู้จักคิดอ่านแทนผู้อื่นเสียจริงนะ” หลินอี้หนานหัวเราะ รอยยิ้มจากใจจริงอันหาได้ยากยิ่งทำให้ลู่จือเหยาแสบดวงตาเล็กน้อย “ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าคนของสำนักกระเรียนเหินจบชีวิต ฝ่ายนั้นไม่มีวันยอมเลิกราแต่โดยดีโดยที่ไม่ยอมสืบอะไรเลยแน่”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว