พื้นพิภพที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก อันเป็นที่อยู่อาศัยของภพมนุษย์
พวกเขาบูชาเทพทุกองค์ สักการะฟ้าดินมาอย่างยาวนาน แม้จะมีจิตใจยึดเหนี่ยวในสิ่งเดียวกัน ปฏิบัติตามจารีตประเพณีแบบเดียวกันเสมอมา แต่ทว่ากลับชอบแข่งขันแย่งชิงกันเองอย่างโหดร้ายมาโดยตลอด
รัชศกผู่เฮ่าปีที่เจ็ดเดือนสิบวันที่ห้าคืนเดือนเพ็ญ
ภายในหุบเขาไค่กู่ ใจกลางมีพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาล ลักษณะเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
อันเป็นสมรภูมิรบที่กำลังปะทุดุเดือดร้อนระอุชวนเลือดลมพลุ่งพล่านในยามนี้ รอบด้านมีแต่ซากศพคนตาย รอบทิศเต็มไปด้วยเศษร่างที่กระจัดกระจายของเนื้อหนังมนุษย์นับร้อย
อาณาบริเวณแปดทิศมียอดหญ้าที่ควรเขียวขจีชุ่มโชกไปด้วยธารโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไหลเป็นทางจนเจิ่งนองพื้นดิน โชยกลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ชวนสะอิดสะเอียดเหลือจะกล่าว
กลิ่นสาบสางชวนคลื่นเหียนเหล่านี้กำลังลอยวนในอากาศ อยู่รอบกายแกร่งทรงพลังของบุรุษผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเกราะสีดำสนิท
เรือนกายหนาแน่นกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา เผยให้เห็นเลือดสีแดงสดไหลทะลัก ตามแนวชุดเกราะที่ปริแตก ตามรอยแยกนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์มากมายหลายสาย
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยดวงตาคมกล้าที่สาดประกายความอำมหิตอันน่าครั่นคร้ามออกมา รอบด้านแผ่กลิ่นอายสังหารอันดุดันกดข่มผู้คนออกมาอย่างเข้มข้นไม่มีผ่อนปรน
ชายผู้นี้อยู่ในท่วงท่าคุกเข่าหนึ่งข้างกับพื้นพสุธา มือหนึ่งถือฝักดาบที่ทำด้วยเหล็กไหลหนาหนักยันเอาไว้เพื่อทรงตัวมิให้ล้มลงต่อหน้าทหารอาจอาชาของฝ่ายตรงข้าม
มืออีกข้างกำด้ามดาบสีเงินยวงประกายทองคำสลักมังกรดำพร้อมสังหารโหดอย่างต่อเนื่องปราศจากความเหนื่อยล้า
ดาบบางเฉียบคมกริบแต่แข็งแกร่งไร้รอยบิ่นแม้จะฟาดฟันกับเหล่าศัตรูที่สวมเกราะเหล็กมาแล้วมากมายหลายชั่วยามอาบไล้ไปด้วยหยาดหยดของเลือดสีแดงฉานไหลเยิ้ม
รอบด้านทั้งสี่ทิศแปดทางรายล้อมไปด้วยซากศพของทหารเดนตายที่ชายผู้นี้ฆ่าตายไปแล้วหลายร้อยคน แต่ยังไม่หมดเสียที
ไม่ไกลจากตัวของเขายังคงมีทหารอีกหลายร้อยคนจนเต็มพื้นที่
พวกมันเหล่านั้นโอบล้อมเป็นวงกลมต่างพากันชูดาบกระชับหอกพร้อมพุ่งตัวเข้ามาสังหารเขาตลอดเวลา
ชายหนุ่มหนึ่งเดียวกลางสมรภูมิรบผู้นี้คือเจี้ยนอ๋อง
เขาคืออ๋องนักรบ ฉายามังกรดำแห่งต้าซ่ง ผู้นำแห่งสันติสงบสุขด้วยสงคราม
นามว่า เฉินเหอไท่
ความทมิฬดำทะมึนของเขาแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ข่มขวัญเหล่าศัตรูให้รู้สึกตกประหม่าหวาดหวั่นสั่นสะพรึงเสียดลึกถึงกระดูก
ถึงแม้เนื้อหนังของเขาจะเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดเจ็บสาหัส และเลือดในกายที่พลุ่งพล่านสาดกระเซ็นออกมาจนสัญญาณชีพของเขาแทบมอดม้วยอยู่รอมร่อ แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ไม่มีทางล้มลงง่ายๆ
แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่มีทางยอมศิโรราบให้แก่เหล่าจอมทัพแห่งแคว้นเดียวกันที่ยืนตระหง่านรายล้อมรอบตัวเขา ไม่ว่ากรณีใด
ความโฉดชั่วโหดเหี้ยมยิ่งแผ่กำจายความเข้มข้นไม่มีลดทอนผ่อนปรนแม้เสี้ยวเวลา ความน่าเกรงขามอันทรงพลังน่าครั่นคร้ามยิ่งนานยิ่งฉายชัด
บนใบหน้าเปื้อนเลือดมีสองตาแดงก่ำที่นิ่งสงบไร้ริ้วโทสะ แต่กลับปราศจากความเมตตาปรานีใดๆ ให้เห็น มีเพียงความเหี้ยมเกรียมแผ่กำซ่านไปทั่วทุกอณู เฉินเหอไท่จ้องนิ่งที่เหล่าศัตรูไม่ไหวติง
แม่ทัพใหญ่ของขบวนทหารม้าประกาศเสียงกร้าวดังกึกก้องเป็นสัญญาณเปิดศึกอย่างต่อเนื่อง
“เหล่าพี่น้องทั้งหลาย เบื้องหน้าเราคือกบฏเฉินเหอไท่! จงจับตายสถานเดียว นำหัวของมันไปเสียบประจานหน้าประตูเมืองต้าซ่งถวายแด่องค์จักรพรรดิเฉิน!”
ฉับพลันนั้นฟ้าสลัวรางที่มีแสงจันทรานวลเนียนสาดส่องลงมา ราวกับมีเมฆดำทะมึนของห่าฝนกระหน่ำโครมดั่งฟ้ารั่วครอบคลุมเหนือศีรษะของเฉินเหอไท่ เมื่อเหล่าอาชาไนยต่างพากันควบตะบึงยกดาบขึ้นเหนือหัวพุ่งตัว
ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอคราหนึ่ง ถ่มโลหิตในปากออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง รอรับการปะทะอย่างยินดี ไร้ท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
บนกองศพหลายร้อยประหนึ่งภูเขาลูกเล็ก กีบม้าศึกหลายร้อยตัวเริ่มขยับเมื่อถูกเจ้าของรองเท้าหนังหนาหนักตะปบสีข้าง
เหล่าทหารบนหลังม้ากระชับอาวุธในมือพร้อมพุ่งทะยานไปทางเจี้ยนอ๋อง หมายเผด็จศึกอันน่าพรั่นพรึงที่กินเวลาข้ามวันข้ามคืนนี้ให้จงได้
ไม่มีการต่อสู้แบบยุติธรรมหนึ่งต่อหนึ่ง หากแต่เป็นการสังหารโหดแบบต่ำช้าที่เรียกว่าหมาหมู่รุมกินโต๊ะ
เสียงครืนครืนของม้าศึกที่ควบตะบึงอย่างพร้อมเพรียง ผสานเสียงกับการขู่คำรามของทหารหลายร้อยดังกึกก้องไปทั่วธรณี ยังมีเสียงโลหะกระทบกันหมายข่มขวัญยามประจัญบาน
ทว่าการณ์กลับพลิกผัน หมาหมู่พวกนั้นที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าและกำลังรุมทึ้งอีกฝ่ายอย่างเมามัน กลับกลายเป็นฝ่ายถูกสังหารหมู่อย่างโหดร้ายไปเสียได้
เฉินเหอไท่หาใช่จะถูกรุมกินโต๊ะโดยง่าย มิเช่นนั้นอ๋องนักรบ ฉายามังกรดำแห่งต้าซ่งคงมิใช่เขาผู้นี้
หนึ่งดาบสะบั้นหัวศัตรูได้นับสิบ หนึ่งกระบวนท่าสังหารคว้านหัวใจเหล่าศัตรูได้หลายชีวิต การต่อสู้อันบ้าระห่ำจึงดำเนินต่อไปอย่างบ้าคลั่ง
ในขณะนั้นสิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อจู่ๆ กลางสมรภูมิรบที่มีแต่บุรุษในชุดเกราะสีทะมึนเต็มพื้นที่ กลับมีอิสตรีในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์นางหนึ่งหล่นตุบลงมา คล้ายกับถูกเหวี่ยงมาจากฟากฟ้า นางกระเด็นกระดอนอยู่หลายตลบแล้วหยุดนิ่งอยู่แทบเท้าของเฉินเหอไท่ การปะทะศาสตราวุธจึงหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ แต่กระนั้นการฟาดฟันก็ยังคงเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หาได้ใส่ใจชีวิตของสตรีนางนี้ไม่
หญิงสาวผู้ไม่รู้ว่าหล่นมาจากไหน ลุกขึ้นนั่งแล้วลืมตามองรอบตัวอย่างสับสน
ทันใดนั้นพลันมีเงาดาบสะท้อนแสงจันทร์พุ่งฉับมาที่ลำคอนาง ดวงเนตรสีเขียวมรกตของนางเบิกกว้าง
ชั่วจังหวะที่ตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน นางทำได้เพียงตกใจ ทันใดนั้นพลันมีดาบเล่มหนึ่งตวัดเงาวิบวับนั้นออกไปในพริบตา ศีรษะงามๆ ของสาวน้อยปริศนาจึงได้อยู่ตำแหน่งเดิม
เฉินเหอไท่ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้คือใครและมาโผล่ข้างกายเขาได้อย่างไร หากแต่เสี้ยวเวลานั้นดาบกระบี่ล้วนไร้ตา และเขาก็คงช่วยนางได้เพียงครั้งเดียว
การต่อสู้จึงดำเนินต่อไป ไม่มีใครสนใจสตรีผู้มาใหม่
เสียงเคร้งคร้างดังลั่นจนเสียดแทงแก้วหู สตรีปริศนาจึงได้สติคืนมา
ชั่วลมหายใจเดียว ยังไม่ทันพริบตา ทั่วพสุธาพลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงดังครืนครืนดังไปทั่วบริเวณ ตามด้วยเสียงเปรียะเปรียะราวอัสนีบาตฟาดจากฟากฟ้า
ต้นไม้ไกลลิบพากันหักโค่นประหนึ่งถูกน้ำป่าไหลหลากชะล้างทุกสิ่งที่กีดขวาง
แผ่นดินเบื้องล่างที่ดังครืนครืนพากันเคลื่อนตัวคล้ายของเหลวชนิดหนึ่งที่มีขนาดมหึมา มวลมหาศาลของธุลีดินพากันเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นเกลียวคลื่น ประหนึ่งดินแข็งๆ กลายเป็นสายน้ำไหลวนได้กระนั้น
เสียงเหล่านี้ดังมากจนกลบเสียงฮึกเหิมของเหล่าทหารหลายร้อย กลบกระทั่งเสียงอาวุธกระทบกันและเสียงเกือกม้าย่ำพื้นดินเพื่อรุมระห่ำมาทางเฉินเหอไท่
ทุกผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนที่ปลายเท้า ลำตัวของพวกเขาล้วนสั่นไหว ต่อมายังสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้
ทหารทุกคนพากันชะงักนิ่งตะลึงลาน ทันใดนั้นแผ่นดินรอบด้านของพวกมันพลันปริแตกแล้วแยกออกจากกัน
“อะ...อะไร?”
ทหารหลายคนเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่
“อ๊าก!”
เริ่มมีเสียงร้องโหยหวนชวนผวา เมื่อจู่ๆ พื้นธรณีใต้ฝ่าเท้าของพวกมันเคลื่อนที่แยกตัวออกจนเป็นวงกว้าง แล้วดูดกลืนทั้งม้าทั้งร่างของทหารทุกคนให้ตกลงไป ไม่ใช่แค่ทีละคน แต่พวกมันตกลงไปทีเดียวทั้งหมด ซากศพกองเท่าภูเขาขนาดย่อมล้วนตกตามกันไปราวกับห้วงมหาสมุทรดูดกลืนทุกสรรพสิ่งไม่ต่างจากวังน้ำวน
“ย๊า!”
พวกทหารแหกปากผสานเสียงกันทันตาจนดังระงมกึกก้องไปทั่วน่านฟ้า เมื่อจู่ๆ พวกมันก็ถูกพื้นพสุธาทั้งผืนกลืนกินจนร่วงหล่นลงไปยังใต้พิภพ
พื้นดินแยกตัวออกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ดำลึกกว้างขวางกินพื้นที่ไกลมาก ทหารหลายร้อยคนก็คล้ายถูกสูบลงไปในนั้นจนสิ้น
พวกมันทำได้เพียงร่ำร้องโหยหวนไม่เป็นภาษา สองมือแหวกว่ายอากาศอย่างน่าเวทนา นรกกำลังกลืนกินพวกมันอย่างไร้ปรานี
เหตุการณ์ระทึกขวัญและเสียงชวนสะพรึงเหล่านั้นเกิดขึ้นอยู่ชั่วอึดใจ ไม่นานก็สิ้นเสียงไป
หุบเขาไค่กู่กลับมาเงียบสงัดเพิ่มความวังเวง เมื่อสิ้นเสียงของพื้นดินแยกตัวและเสียงร้องร่ำของคนนับร้อย
แผ่นดินที่ปริแตกแยกตัวออกเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม หากแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือผู้คนทั้งหลายล้วนหายไป คงเหลือเพียงเฉินเหอไท่ยืนมองภาพสยดสยองเกินคาดฝันอย่างอึ้งงัน
และสตรีอีกคนที่ยืนมองภาพเบื้องหน้าอย่างเย็นชา
สตรีนางนี้คือเซียนเซียน ธิดาของมหาเทพปีศาจแห่งขุมนรกอเวจี
หญิงสาวหนีการแต่งงานโดยการแปลงร่างเป็นมนุษย์ที่มีใบหน้าเรียวเล็ก นัยน์ตาดำขลับ แต่งกายสีขาวพิสุทธิ์ ปกปิดตัวตนที่มีดวงตาสีเขียวมรกต เส้นผมสีทองอร่ามและลำตัวสีแดงปานเปลวเพลิง ก่อนจะผลึกพลังของตนเองเอาไว้แล้วตกลงมาอย่างไร้ทิศทางบนพื้นดินแห่งนี้ แต่ทว่าเมื่อตกลงมากลับมีคมดาบยาวยื่นพุ่งเข้าใส่หมายบั่นคอนางอย่างไม่น่าให้อภัย นางจึงจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังจัดการคนเหล่านั้นไปจนสิ้น
ชั่วจังหวะที่เฉินเหอไท่เริ่มได้สติก็หันหน้ามองหญิงปริศนาข้างกาย เซียนเซียนเองก็ผินใบหน้าเข้าหาเขาแล้วสบตาหาได้หวั่นเกรง
ในภาวะตะลึงงัน ทั้งสองสบตากันนิ่งนาน ดวงเนตรคู่งามทั้งสองสบประสาน ต่างจารจำอีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
รอบด้านเงียบสงัด พื้นดินโล่งกว้างปราศจากผู้คนกระทั่งซากศพ ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องเข่นฆ่าของทหารมากมาย และไม่เคยเกิดเรื่องสะเทือนขวัญใดๆ
ทว่าพริบตาต่อมา สตรีปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันอันตรธานหายไป คงเหลือไว้เพียงชายหนุ่มร่างใหญ่ยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ที่เดิมอย่างเดียวดาย...
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว