เข้าไปนั่งร้องไห้อยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง จนตอนนี้ก็ยังโง่อยู่ตรงนั้นโดยไม่คิดจะขยับไปไหน
กี่ชั่วโมงแล้วนะ
จากบ่ายสาม ตอนนี้ใกล้จะสามทุ่ม เกือบหกชั่วโมง
เด็กนั่นปัญญาอ่อนรึไงถึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง
“ทิชากรถูกคนตามฆ่า”
“หือ...” ธีธัชนึกถึงสาวน้อยคนสวย “เธอทะเล่อทะล่าไปขวางทางใครอีก”
นั่นสิ ถึงเด็กนั่นดูพยศพอตัว ราเมศมองออกว่า เธอไม่ได้เก่งกล้าสามารถขนาดจะเที่ยวไปเป็นศัตรูใครต่อใครได้
“อื้อ แค่ก ๆ”
ทิชากรลืมตาขึ้นพร้อมกับกระอักไอจนน้ำตาเล็ด ทำให้ต้องหลับตานิ่ง หากในสมองกลับมีภาพที่เธอถูกจับกดน้ำในบึงบัว พวกมันล็อกแขนเธอคนละข้าง กดหัวลงไปในน้ำ ความหมดอาลัยตายอยากในชีวิตทำให้เธอไม่ดิ้นรนด้วยซ้ำในตอนแรก พวกมันหัวเราะชอบใจยกใหญ่
“งานนี้แม่งโคตรง่าย รู้สึกว่าอีคนสวยนี่มันพร้อมยอมตายยังไงไม่รู้”
“มันจะเต็มใจหรือไม่ มันก็ต้องตาย พอมันตายเราจะได้ค่าจ้างก้อนใหญ่ ไม่ดีเหรอวะ”
“ดีสิลูกพี่ แต่อดเสียดายไม่ได้ว่ะ สวยแบบนี้ไม่น่ารีบตาย”
น้ำเข้าปากเข้าจมูกเธอเต็มไปหมด อากาศหายใจกำลังจะหมด เธอเริ่มดิ้น พวกมันก็ยิ่งกดแรง ในเสี้ยววินาทีที่จะขาดใจ เธอพลันสำนึกได้ว่า ทำไมเธอต้องตายแล้วปล่อยให้พวกมันเสวยสุขสำราญใจด้วย คำพูดของพวกมันบอกได้ว่ามีคนจ้างให้ทำ ใครบ้างที่อยากให้เธอตาย
ทิชากรเริ่มดิ้นรนเอาเป็นเอาตายจนสามารถโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำได้ แต่ก็แค่เวลาสั้น ๆ พวกมันแรงเยอะกว่า กดหัวเธอจมลึก กดตรึงไว้จนเธอสำลักลมหายใจ ก่อนที่สติเฮือกสุดท้ายจะหมด เธอได้เสียงใครเข้ามาขัดขวาง พวกมันถูกกระชากออกห่างตัวเธอ เสียงต่อยตีดังขึ้นตามมา เธอหมดสติลงตอนนั้น
สาวน้อยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าแสนคุ้นตาเพราะมันจำฝังใจ เธอทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ตอนที่ลุกนี่เองที่เธอรู้สึกว่าร่างกายโล่ง ๆ พอก้มมองก็หวีดร้อง กระตุกผ้าห่มคลุมมาถึงคอแทบไม่ทัน
ที่มันคุ้นเพราะเธอเคยถูกคนใจร้ายปู้ยี่ปู้ยำในห้องนี้ คฤหาสน์ของราเมศ
“กะ แก”
เจ้าของร่างสูงใหญ่ผู้ที่มีใบหน้าเย็นชาเป็นนิจก้าวเข้ามาในห้อง เธอลนลานถอยหนีจนติดหัวเตียง
“ว่าไงนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยหยัน ก้าวเท้ามาที่เตียง ตาคมหลุบมองริ้วรอยนิ้วบนแก้มขาว คว้าเสื้อคลุมสีเข้มตัวใหญ่โยนใส่หน้าแดงก่ำ
“อ๊ะ คุณ”
ทิชากรรีบเปลี่ยนคำเรียกเขาทันที กระตุกเสื้อออกจากหน้า ถามในสิ่งที่สงสัย
“คุณสั่งคนพวกนั้นฆ่าฉันงั้นสิ”
“ปัญญาอ่อน ถ้าจะฆ่า ฉันทำเองสนุกกว่ามั้ย”
“ละ... แล้วช่วยฉันทำไม”
“อยากตาย?” คิ้วเข้มเลิกขึ้น ท่าทียียวน หากแววตาเย็นชาไร้อารมณ์ “เสียใจด้วยนะ ถึงเธออยากจะตายมากขนาดไหน ถ้าฉันยังไม่อนุญาต เธอไม่มีสิทธิ์ตาย”
“ทำไม...”
สาวน้อยเสียงเบาหวิว
“ฉันคงอยากเลี้ยงเธอไว้ดูเล่นมั้ง เหมือนที่คนอื่น ๆ เขาเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว”
คำพูดถือดีนั่นทำให้ทิชากรเบ้ปาก โดยนิสัยแล้ว เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอเจ้าน้ำตานักหรอก แต่ก็ไม่ระรานใครก่อน
คิดแล้วให้คั่งแค้นในอก ตลอดมาเธออยู่ของเธอ แต่ผู้หญิงคนนั้นกับแม่ของหล่อนคอยหาเรื่องระรานมาตลอด
“ไม่กลัวจะตกเป็นทาสฉันเหรอคะ เหมือนที่คนอื่นเขาเป็นทาสหมาทาสแมว”
“ไร้สาระ ได้สติก็ปากดีอวดเก่งเลยนะ ยังไงช่วยเก่งตอนฉันกระแทกเธอด้วยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแค่นว่า “ลุก ใส่เสื้อผ้าซะ”
สาวน้อยเม้มปากนั่งนิ่ง ถึงในใจจะนึกกลัวแววตาเย็นจัดนั่นก็เถอะ
“หรือจะรอให้ฉันยัดไอ้นั่นเข้าไปกลางหว่างขาก่อน ถึงจะลุกได้”
“ป่าเถื่อน! คุณก็หันหลังไปสิ”
แม้จะเจ็บใจ เจ็บแค้นผู้ชายตรงหน้า ทิชากรยังไม่กล้ามากพอจะล้อเล่นกับความโกรธของปีศาจอย่างเขาหรอก
“ทำไมฉันต้องหัน ตัวเธอมีส่วนไหนที่ฉันไม่เคยเห็น”
สาวน้อยหน้าร้อนวาบ ร่างกายเหมือนจะร้อนไปทั่ว
“รึเธอจะออกไปทั้งอย่างนั้น”
ชายหนุ่มรวบแขนขึ้นกอดอกโดยไม่มีทีท่าว่าจะหันหน้าหนีไปทางไหน
ทิชากรเม้มปากแน่น ข่มความอับอาย สะบัดหน้าพลิกตัวหันหลัง สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่
ราเมศไม่ได้พาสาวน้อยไปไหนไกล ออกจากห้องนอนกว้างขวาง เขาเดินนำมาที่บาร์เครื่องดื่มซึ่งถูกจัดไว้มุมหนึ่งบนชั้นสอง ด้านหน้าบาร์ มีชุดโซฟานั่งเล่นชุดใหญ่หันหน้าเข้าหาทีวีขนาดเจ็ดสิบนิ้ว บนโต๊ะกระจกมีถ้วยและจานที่มีฝาปิดไว้อย่างดี
“นั่นมื้อเย็นเธอ”
ร่างสูงเลี้ยวเข้าบาร์เครื่องดื่ม ปล่อยให้คนตัวบางเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟา
ทิชากรเปิดฝาถ้วยออกดู ควันเบาบางลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนเรียกน้ำย่อยในกระเพาะ
“นี่มันเมนูพิเศษให้เชลยก่อนเชือดเหรอ”
ข้าวสวยและอาหารสามจานหน้าตาน่ากิน กลิ่นยังหอมยั่วยวน แอบเหลือบมองเจ้าที่นิดหนึ่ง ก่อนจ้วงข้าวเข้าปากแบบไม่คีฟลุคใด ๆ ถ้าต้องตายก็ขอกินให้อิ่มท้องก่อน
ข้างบาร์เครื่องดื่มมีนาฬิกาเรือนใหญ่ มันบอกเวลาเกือบหกทุ่มแล้ว มิน่าเธอหิวมาก
“ปกติแล้ว ฉันไม่ขุนใครก่อนเชือดหรอก มันสิ้นเปลือง”
มาเฟียหนุ่มหิ้วขวดวอดก้ามือหนึ่ง อีกมือถือแก้ว เดินมานั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม ทันได้เห็นอาการย่นจมูกของสาวน้อย เธอไม่พูดก้มหน้าก้มตากินข้าวท่าทางหิวโหย เขานั่งดื่มเงียบ ๆ
พักใหญ่ คนหิวจัดก็รวบช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ขอบคุณนะที่ช่วยฉัน”
“ไม่จำเป็น ของเล่นที่ฉันยังไม่เบื่อ ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะ”
“ไม่น่าแปลกอะไรนี่ ถ้าคนเลวอย่างคุณจะทำแบบนั้น”
แม้จะถูกเปรียบเป็นแค่สิ่งของ ฟังดูไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี ทิชากรเพียงแค่ยิ้มหยัน
หยันชีวิตพลิกผันของตนเอง ถูกกระทำย่ำยีอย่างสิ้นค่า ยังถูกคนที่เธอเคารพรักในฐานะพ่อปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จะมีอะไรเจ็บไปมากกว่านี้อีก
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว