สายธารน่านนที

เราเลิกกันเถอะ

แคว้นหนานเปิดศึกกับแคว้นอู่ด้วยหวังขยายอาณาเขตและหลงตนว่ากองทัพของตนยิ่งใหญ่เกรียงไกร จากการที่เคยเป็นพันธมิตรกับแคว้นอู่ ได้ทำการค้าขายแลกเปลี่ยนม้าและสมุนไพรหายากกับผ้าไหมและใบชาชั้นดีของแคว้นอู่ ในยุคขององค์ชายใหญ่หลิงเจิง กลับคิดกำเริบเสิบสาน ยกทัพหนึ่งแสนมาโจมตีแคว้นอู่ แต่ด้วยกองกำลังอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างแท้จริงของแคว้นอู่ที่เต็มไปด้วยทหารหาญพร้อมพลีชีพภายใต้การนำทัพของขุยอ๋องหลิวอี้หลง ใช้เวลาทำศึกนานหนึ่งปีก็สามารถยึดครองแคว้นหนานได้สำเร็จ

จากแคว้นใหญ่กลายเป็นเขตปกครองในกำมือของขุยอ๋อง ที่ฮ่องเต้แห่งต้าอู่พระราชทานให้แก่พระโอรสที่ตนชิงชังเนื่องจากพระมารดาคบชู้กับราชองครักษ์ผู้หนึ่งตามรับสั่งของไทฮองไทเฮา เพราะทุกวันนี้ไทฮองไทเฮายังไม่เชื่อว่าพระมารดาของเหลนที่ตนรักสุดใจจะคบชู้สู้ชายภายใต้อาณาเขตวังหลวง ฮ่องเต้ต้าอู่เห็นแก่พระพักตร์เสด็จย่า จึงยอมยกแคว้นหนานให้ขุยอ๋องปกครองเพื่อหมายส่งไปให้พ้นหูพ้นตา

แต่ขณะเดียวกัน...ฮ่องเต้ต้าอู่ก็ได้พระราชทานสมรสให้ขุยอ๋องกับกงจู่ของแคว้นหนานผู้หนึ่ง ทั้งที่ฮ่องเต้ต้าอู่ทราบดีว่าพระโอรสองค์นี้หมายปองมี่เหยาเชี่ยนจู่ บุตรีของเติ้งอิ๋นโหว ผู้เป็นกุนซือของขุยอ๋อง และเป็นแม่ทัพร่วมรบกับกองกำลังอวิ๋นหลินของขุยอ๋อง

ฮ่องเต้ต้าอู่มองการณ์ไกล หากให้ขุยอ๋องแต่งงานกับมี่เหยาเชี่ยนจู่ก็จะมีกองกำลังของเติ้งอิ๋นโหวหนุนหลัง มีอำนาจมากล้น สามารถโค่นล้มบัลลังก์ของพระองค์ได้ เพราะยามนี้องค์รัชทายาทยังมีวัยเพียงแปดชันษาเท่านั้น ยังไม่พร้อมออกว่าราชการร่วมกับพระองค์

นึกไม่ถึงว่าเมื่ออาณาจักรหนานล่มสลาย ฮ่องเต้กับฮองเฮาสิ้นพระชนม์ จะเหลือเพียงองค์หญิงสองพี่น้อง นางหนึ่งอายุสิบห้าหนาว อีกนางหนึ่งอายุแปดหนาว ส่วนองค์ชายใหญ่หลิงเจิงนั้นหลบหนีไปได้

แต่ทว่า...กงจู่ทั้งสองของแคว้นหนานก็หายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน!


ภายในตลาดตะวันตกของเขตปกครองหนานเจียงคึกคักด้วยเสียงร้องเรียกลูกค้าของเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่วางตั้งสินค้าบนแผงลอยเรียงรายอยู่สองฟากทาง ผู้คนเดินผ่านไปมาสวนทางกันจนแทบไหล่จะชนกัน ไม่ว่าจะเด็ก สตรี คนหนุ่มสาวหรือเฒ่าชรา ล้วนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างหนาตา หลังจากแคว้นหนานหรือจะเรียกใหม่ว่าเขตปกครองหนานเจียงได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งภายใต้การปกครองของขุยอ๋องในหนึ่งปีมานี้ ซึ่งนับได้ว่ารวดเร็วยิ่งนักหากเทียบกับแว่นแคว้นหรือเมืองอื่นๆที่พ่ายแพ้สงครามตามประวัติศาสตร์ของต้าอู่

บุรุษสามนายในชุดอาภรณ์หรูหราเดินถือพัดสองนาย อีกนายมือกุมด้ามกระบี่ไม่คลายเดินทอดน่องเคียงข้างกันด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

ก่อนบุรุษในอาภรณ์สีครามปักลายนกกระเรียนจะพูดกับบุรุษในอาภรณ์สีขาวปักลายเมฆมงคลซึ่งเดินอยู่ตรงกลางว่า

“หนานเจียงของเราเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหลวง หากฝ่าบาทได้มาทอดพระเนตรคงโกรธจัดจนอกระเบิดตายเป็นแน่” มี่ผิง บุตรชายคนโตของเติ้งอิ๋นโหวพูดกลั้วหัวเราะ แต่บุรุษที่ตนพูดด้วยยังคงตีหน้านิ่งขรึม มิตอบว่ากระไร

“นี่ท่ามี่เหยารู้ว่าท่านอ๋องออกมาเที่ยวตลาดโดยไม่ชวนนาง นางจะต้องงอแงไปหลายวันเป็นแน่”

ได้ยินชื่อของมี่เหยา มุมปากหยักสวยของบุรุษอาภรณ์ขาวก็ยกขึ้นเล็กน้อย ดูคล้ายพึงใจ ก่อนจะพูดออกมาว่า

“เอาแต่ใจมากก็ไม่ดีนัก เจ้าก็เตือนนางหน่อยแล้วกัน อาผิง ข้าไม่ค่อยอยากปวดหัวเพราะนางเท่าไหร่นัก”

“เอ๊...ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ หากมี่เหยามาได้ยิน คงไม่ยอมแต่งเข้าจวนท่านแน่”

สีหน้าของหลิวอี้หลงหรือบุรุษในอาภรณ์ขาวอึมครึมลง ก่อนจะพูดเสียงเบาลงเล็กน้อยว่า

“ข้าอยากแต่งนางมาเป็นชายาเอก รอจนกว่าราชโองการยกเลิกการแต่งงานกับกงจู่ผู้นั้นประกาศออกมาในต้นปีหน้า หลังจากตามหากงจู่ผู้นั้นไม่พบแล้วจริงๆ ข้าถึงจะฝืนคำสั่งของเสด็จพ่อได้ ตอนนี้จำต้องขอให้นางรอไปก่อน...ข้าหวังว่ามี่เหยาจะเข้าใจ ไม่เอาแต่ใจเกินควร”

“ท่านอ๋องไปตำหนินางเองเถอะ พี่ชายอย่างกระหม่อม นางเคยเชื่อฟังเสียที่ไหน”

หลิวอี้หลงเพียงยิ้มมุมปากบางๆแล้วเดินโบกพัดใส่อกไปตามท้องถนนเรื่อยๆเพื่อตรวจตราสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

“ไป...ไป๊...โรงหมอของข้าทำการค้าขาย ไม่ใช่โรงทานจะได้แจกจ่ายยาราคาแพงให้พวกเจ้าสองพี่น้องฟรีๆ”

เสียงตะโกนขับไล่ดังโหวกเหวก ทำให้หลิวอี้หลงขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะพยักเพยิดให้สหายอีกสองนายเดินแหวกม่านฝูงชนที่ยืนแออัดอยู่หน้าโรงหมอ

“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ท่านหมอ ข้าน้อยสัญญาว่าจะหาเงินมาจ่ายคืนค่ายาทั้งหมดภายในหนึ่งเดือน ยามนี้ขอท่านหมอจ่ายยาให้ข้าน้อยนำไปรักษาท่านแม่ที่ป่วยหนักก่อนเถิดเจ้าค่ะ” สตรีร่างเล็กแบบบางจนเข้าขั้นซูบผอมโขกศีรษะกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วนจนหน้าผากแตกยับเลือดไหลอาบหน้า ข้างกายนางเป็นเด็กหญิงตัวเล็กอีกคนที่โขกศีรษะตามพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเสียงดัง

“ไม่มีเงินก็ไม่มียา!” สิ้นคำ คนงานในโรงหมอที่ยืนอยู่ข้างท่านหมอก็ยกเท้าถีบยอดอกของสตรีผู้นั้น จนนางล้มหงายท้อง ศีรษะกระแทกพื้นจนได้ยินเสียงดังโป๊ก

“ท่านพี่!” เด็กหญิงตัวน้อยผวาเข้าไปประคองร่างของพี่สาวให้ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอีกครั้ง

สตรีร่างผ่ายผอมผู้นั้นยกมือกุมหัวด้วยความเจ็บและมึนหัวอยู่พักใหญ่ ขณะที่เด็กสาวตัวเล็กเปิดปากต่อว่าคนในโรงหมอยกใหญ่ว่า

“เป็นหมอประสาอะไรไม่มีจิตกุศล เห็นคนเจ็บคนป่วยแล้วไม่คิดทำการรักษาเพียงเพราะไม่มีเงินค่ายา ข้าว่าพวกเจ้าไม่ใช่หมอ แต่เป็นคนโลภในคราบนักบุญมากกว่า พี่สาวของข้ามาซื้อยาที่ร้านท่านไม่เคยติดเงินสักแดงเดียว แต่ยามนี้พวกเราล้วนใช้เงินหมดแล้ว เพียงขอติดค่ายาไว้ก่อน ท่านกลับไม่ยินยอม พวกท่านช่างใจคอคับแคบยิ่งนัก!”

เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยว่ากล่าวฉอดๆ บังเกิดเสียงร้องสนับสนุนดังอึ้งมี่ ชาวเมืองหนานเจียงเคยผ่านความลำเข็ญในช่วงสงครามเมื่อหนึ่งปีมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรับรู้ได้ถึงความทุกข์ยากของการไม่มีอาหาร น้ำ ไม่มียารักษาโรค ไม่มีบ้านเรือนให้อยู่ ดังนั้นความอยุติธรรมเช่นนี้จึงยิ่งกระตุ้นให้พวกเขาไม่พอใจ ยิ่งได้ยินน้ำเสียงของท่านหมอกับคนงานว่าติดสำเนียงต้าอู่ ยิ่งพาให้พวกเขาไม่พอใจมากยิ่งขึ้น

แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าบ้านเมืองของพวกเขากลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งเพราะคนสกุลหลิวแห่งราชวงศ์อู่ แต่กระนั้นในใจพวกเขาก็ยังเป็นคนของแคว้นหนานอยู่ดี

เมื่อท่านหมอกับคนงานเห็นสีหน้าบึ้งตึงของชาวบ้านก็เริ่มพากันระย่อ แต่กระนั้นก็ยังทำปากกล้า

“โรงหมอของเราทำการค้า ถ้าพวกเราแจกจ่ายยาฟรีๆให้พวกเจ้า จะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่มีคนป่วยรายอื่นๆมาร้องขอยาจากพวกข้าฟรีๆจนทำให้โรงหมอของข้าต้องสิ้นเนื้อประดาตัว พวกเจ้าก็เหมือนกัน...” ท่านหมอชี้นิ้วไปยังชาวบ้านทั้งหลายที่ยืนจับกุมซุบซิบนินทาพวกเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“หากเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องมาพึ่งยาในโรงหมอของข้าซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในหนานเจียง ข้าจดจำใบหน้าของพวกเจ้าได้ทั้งหมด หากพวกเจ้าหรือคนในครอบครัวเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา พวกข้าจะไม่แจกจ่ายยาให้พวกเจ้า เพราะพวกเจ้าร่วมหัวกับพวกนางมากดดันพวกข้า

จะเป็นการดีกว่าหากพวกเจ้าสงสารพวกนางก็มอบเงินของพวกเจ้าให้เป็นค่ายาของพวกนางมิดีกว่าหรือ เท่ากับพวกเจ้าได้ทำบุญทำทาน มิใช่ว่ามาต่อว่าบ่อนทำลายโรงหมอของพวกข้า”

ชาวบ้าน...พอได้ยินคำว่าจดจำใบหน้าได้ขึ้นใจและท่านหมอจะไม่จ่ายยาให้หากพวกเขากับคนในครอบครัวเกิดเจ็บป่วย ก็พากันรีบเดินหลบหลีกจากไป เพราะถึงอย่างไรมนุษย์ก็ล้วนรักตัวกลัวตาย ต้องหมายเอาตัวเองให้รอดก่อนอยู่แล้ว

มินาน...ฝูงชนที่มุงดูก็สลายไปจนหมด เหลือเพียงบุรุษทั้งสามที่ยืนมองอยู่ห่างออกไปราวสิบเชียะ กับดรุณีนางทั้งสองที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโรงหมอ

“ไม่มีใครกล้าสนับสนุนพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ายังไม่รีบไปจากหน้าโรงหมอของข้าอีก ถ้าอยากได้เงินมาจ่ายค่ายาเร็วๆก็ไปขายตัวที่หอโคมเขียวเสียสิ รับประกันเลยว่าเพียงหนึ่งชั่วยาม พวกเจ้าจะมีเงินมาจ่ายค่ายาให้กับข้าแน่ๆ ฮ่าๆๆ” เจ้าของโรงหมอหัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

“ได้โปรดเถิดท่านหมอ...ขอเวลาข้าน้อยแค่หนึ่งเดือน ข้าน้อยจะรีบหาเงินมาจ่ายค่ายาที่ติดท่านไว้จนหมด ขอเพียงวันนี้ท่านจ่ายยาให้กับข้าน้อยก่อน ท่านแม่ของข้าน้อยอาการหนักมาก จะเป็นหรือจะตายขึ้นอยู่กับยาจากท่านหมอแล้ว”

“ข้าบอกแล้วไม่มีเงินก็ไม่มียา อีกอย่างเรื่องตายถือเป็นเรื่องธรรมดา ตายไปเสียได้ก็หมดภาระไปหนึ่งมิใช่หรือ?”

สองดรุณีนางถึงกับสะอึกขณะมองสบตาเหยียดหยันของท่านหมอแห่งโรงหมอของหนานเจียง

“เป็นหมอ เหตุใดจึงพูดจาชั่วช้าเช่นนี้!” ดรุณีน้อยกรีดร้อง

นางลุกพรวดขึ้นยืนหมายจะเข้าไปผลักท่านหมอวัยกลางคนให้ล้มลงแต่กับถูกคนงานผลักจนล้มลงนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ต้องร้องครางออกมาด้วยความเจ็บ น้ำตาซึมไหลไม่หยุด

ตุ้บ!

ถุงเงินสีเขียวใบไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกโยนลงไปตรงหน้าคนเป็นหมอกับดรุณีน้อยทั้งสอง ทำให้พวกเขาต้องเหลียวไปมองเจ้าของเงิน

นั่นเป็นครั้งแรก...ที่หลิวอี้หลงได้พบหลิงเหมยฟาง สตรีที่งามล้ำเลิศผู้หนึ่งเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา

*********************************************************************

จะพยายามมาอัพเพิ่มเร็วๆนี้นะคะ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว