ยอดพธูซ่อนคม (นิยายแปลจีน) by ตำหนักไร้ต์รัก-ตอนที่ 6 อู่เย่ว์เอาคืน (2)

โดย  ตำหนักไร้ต์รัก

ยอดพธูซ่อนคม (นิยายแปลจีน) by ตำหนักไร้ต์รัก

ตอนที่ 6 อู่เย่ว์เอาคืน (2)

‘ตาเฒ่าสองคนนี้ทำแบบนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ’


‘หรือว่าพวกเขามีปัญหากับใบชานี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’


‘แต่ใบชานี้ ข้าเย่ฉางชิงเป็นคนปลูกเองกับมือ รสชาติดีอย่าบอกใครเชียว’


เย่ฉางชิงเห็นท่าทางแปลก ๆ ของนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอก็อดนึกสงสัยขึ้นมามิได้


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้คำตอบ


‘ตาเฒ่าสองคนนี้มีฐานะมิธรรมดา ชาที่ดื่มปกติย่อมต้องเป็นชาชั้นดี’


‘แต่ชานี่ข้าแค่ไปเด็ดมาจากต้นชาป่าที่ปลูกเอาไว้ส่ง ๆ ’


‘อีกทั้งข้าก็มิชอบใบชาที่ถูกอบ แต่ชอบชาที่ชงจากใบชาสดที่เด็ดมาจากต้นเสียมากกว่า’


‘คงเป็นเพราะเหตุผลนี้ตาเฒ่าทั้งสองถึงได้มีท่าทางเยี่ยงนี่สินะ’


‘ใช่แล้ว ! ’


‘ต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้เป็นแน่ ! ’


คิดได้ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงได้เอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนทั้งสองจะมิชอบดื่มชา...”


‘มิชอบ ? ’


‘นี่เป็นชาที่ต้มจากใบรู้แจ้งเชียวนะ ! ’


‘นับแต่โบราณมามีเพียงยอดคนเช่นท่านเท่านั้นที่จะใจกว้างเช่นนี้’


‘ผู้น้อยเช่นพวกเขาสองคน มีสิทธิ์อันใดที่จะเอ่ยคำว่ามิชอบกัน’


‘นอกจากนี้การได้ดื่มชาจากใบรู้แจ้งยังถือเป็นวาสนาใหญ่ในชีวิตเชียวนะ ! ’


เย่ฉางชิงเอ่ยยังมิทันจบ นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอก็รีบโบกมือปฏิเสธทันทีหลังจากหายตกใจ


นี่เป็นวาสนาที่ผู้อาวุโสเย่มอบให้พวกเขา แล้วพวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน ?


“ท่านเย่เข้าใจผิดแล้ว ใบรู้แจ้ง... มิใช่ ใบชานี่แค่ได้กลิ่นข้าก็อยากลองลิ้มรสชาติที่วิเศษของชานี่ดูเสียแล้ว” นักพรตฉางเสวียนเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มกระจ่างชัด


ผู้อาวุโสเย่เอ่ยเองว่าใบรู้แจ้งนี่เป็นใบชา เขาเข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตามอยู่แล้ว


หลิวฉางเหอที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


‘หรือว่าสองเฒ่านี่จะมิเคยดื่มชาชนิดนี้กันนะ ? ’


เย่ฉางชิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา พลันเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”


เอ่ยจบ เย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ รินชา


ขั้นแรกนั้นเขาเทน้ำร้อนลงในกาน้ำชาอย่างชำนาญ ใช้น้ำแรกล้างถ้วยที่ใช้ดื่มชาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรินทิ้ง หลังจากนั้นก็เทน้ำใส่ในกาอีกครั้ง...


นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอที่เห็นภาพนี้รู้สึกปวดใจมิน้อย


นี่เป็นชาที่ชงจากใบแจ้งรู้เชียวนะ แม้จะบอกว่าเป็นน้ำแรก แต่ก็เทียบเคียงกับยาวิเศษชั้นยอด


ทว่าผู้อาวุโสเย่กลับรินทิ้งโดยมิลังเลเลยแม้แต่น้อย


‘อู้ฟู่ ! ’


‘ช่างอู้ฟู่อย่างแท้จริง ! ’


‘ทั่วทั้งใต้หล้าเกรงว่าคงมีเพียงผู้อาวุโสเย่ที่ใจกว้างถึงเพียงนี้ ! ’


เย่ฉางชิงรินชาใส่ถ้วยสองใบ ก่อนจะยื่นมาตรงหน้านักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอ


“ทั้งสองท่าน ตอนนี้ลองดื่มดูได้เลยขอรับ” เย่ฉางชิงเอ่ยเชิญด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน


นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอสบตากัน พลันพยักหน้าให้กับเย่ฉางชิงพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงยื่นมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น


ทั้งคู่ค่อย ๆ ละเลียดชา หลังจากเป่าไล่ความร้อนเบา ๆ


แต่ในขณะที่น้ำชาไหลลงสู่ท้องนั้น พลังทั่วทั้งร่างกายรวมถึงเส้นลมปราณสุดยอดทั้งแปดก็เกิดการหมุนเวียนขึ้นมา


ขณะเดียวกันขนทั่วสรรพางค์กายก็ลุกชัน ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจปลอดโปร่ง รู้สึกบางเบาราวกับขนนกก็มิปาน


‘ความรู้สึกเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! ’


‘เป็นชาจากใบแจ้งรู้จริง ๆ ด้วย ! ’


ตอนนี้ทั้งนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอต่างก็รับรู้ได้ถึงวิถี และหลักการบำเพ็ญเพียรที่อยู่ภายในร่างกายตนเอง


หากตอนนี้มิได้อยู่ต่อหน้าเย่ฉางชิงแล้วล่ะก็ ผู้บำเพ็ญตบะขั้นสูงทั้งสองคงจะเริ่มขั้นตอนของการบรรลุไปแล้ว


เย่ฉางชิงเห็นนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอมีท่าทางเคลิบเคลิ้มหลังจากดื่มชาไปหนึ่งอึก ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นอดที่จะเกิดความฉงนขึ้นมามิได้


‘แค่ชาถ้วยเดียวถึงกับดื่มด่ำเพียงนี้เชียวหรือ ? ’


เวลานี้เย่ฉางชิงชักจะเริ่มหมดความอดทนต่อตาเฒ่าทั้งสองแล้ว เขาจึงเลือกหันไปบอกกับลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซินพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าสองคนอย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย มานั่งดื่มชาตรงนี้เถิด”


เมื่อถูกเย่ฉางชิงเอ่ยเรียก ในที่สุดลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซินก็สามารถดึงจิตวิญญาณออกมาจากภาพวาดได้สำเร็จ


สีหน้าของพวกนางสองคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หลังจากสบตากันอยู่ครู่หนึ่งจึงได้หมุนตัวเดินมาอย่างเชื่อฟัง


“ท่านเซียน ภาพไท่เสวียนฉางชิงที่ข้าวาดขึ้นใหม่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” เย่ฉางชิงรินชาอีกสองถ้วย ก่อนจะส่งให้ลู่อู๋ซวงและเยี่ยนปิงซิน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น


แน่นอนว่าเขาต้องการถามความเห็นของลู่อู๋ซวงนั่นเอง


ส่วนเยี่ยนปิงซินหลังจากได้อยู่ร่วมกันมาหลายวัน ทำให้เขาได้เข้าใจสำนวนสวยใสแต่ไร้สมองได้อย่างถ่องแท้


นอกจากกวาดพื้นแล้ว สตรีที่ทำราวกับว่ารู้ไปซะทุกอย่างผู้นี้ กลับทำอะไรมิเป็นทั้งยังสอนมิจำอีกด้วย


ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงตัดสินว่าสติปัญญาของนางนั้นช่างแตกต่างจากหน้าตาจริง ๆ


หากคนในครอบครัวมิคอยระวังเอาไว้ให้ดี หากถูกคนจับตัวไปขาย ดีไม่ดี นางอาจไปช่วยเขานับเงินค่าขายตัวเองก็เป็นได้


“เห็นภูเขามิใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ”


ขณะที่ลู่อู๋ซวงยกชาขึ้นจิบและกำลังครุ่นคิดว่าควรจะวิจารณ์ภาพวาดอย่างไรนั้น เยี่ยนปิงซินก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน


“ท่านเย่ ข้าพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ ? ” เยี่ยนปิงซินเอ่ยถามเย่ฉางชิงด้วยดวงตาเป็นประกาย


เย่ฉางชิงหลังจากได้ยินก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม หลังจากเก็บอาการประหลาดใจเอาไว้ได้แล้ว


เขาเพิ่งจะตัดสินนางว่าสติปัญญากับหน้าตาช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้น แต่บัดนี้นางกลับเอ่ยคำวิจารณ์ที่เฉียบแหลมออกมาได้ อย่างที่เขาคาดมิถึง


และคำวิจารณ์ที่เอ่ยออกมานั้นถูกต้องยิ่งนัก


ไม่ว่าจะเป็นอักษรพู่กันหรือภาพวาด ความจริงแล้วล้วนเกิดจากการจัดวาง ก่อนจะทำให้เกิดเป็นมุมมองทางศิลปะที่ลึกซึ้งนั่นเอง


เห็นภูเขามิใช่ภูเขา เห็นแม่น้ำมิใช่แม่น้ำ


ประโยคนี้กล่าวได้ถูกต้องแล้ว


“ดูท่าช่วงที่ผ่านมาความรู้ด้านอักษรและภาพวาดของคุณหนูเยี่ยนจะมีพัฒนาการขึ้นมิน้อย” เย่ฉางชิงเอ่ยชม


เยี่ยนปิงซินยิ้มพรายออกมา “โชคดีที่ได้ท่านเย่คอยให้คำแนะนำด้วยเจ้าค่ะ”


ลู่อู๋ซวงเหลือบมองเยี่ยนปิงซินด้วยความเสียใจที่ถูกชิงตอบคำถามไปเสียก่อน จึงเอ่ยถามเย่ฉางชิงด้วยความระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสเย่ ท่านเคยไปเขาไท่เสวียนหรือไม่เจ้าคะ ? ”


“เขาไท่เสวียนหรือ ? ”


เยี่ยนปิงซินได้ยินดังนั้นก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมามิได้ หลังจากมองสำรวจลู่อู๋ซวงอีกครั้งจึงพูดกับตัวเองในใจว่า ‘ที่แท้ก็เป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธืไท่เสวียนนี่เอง’


เย่ฉางชิงได้ยินคำถามนี้ก็รู้สึกปวดใจ


ในตอนนั้นหลังจากเขาถูกตรวจสอบว่าไร้รากวิญญาณก็รู้สึกมิพอใจอย่างยิ่ง จึงได้เสี่ยงไปสำรวจรอบ ๆ เขาไท่เสวียน หลังจากกลับมาได้มินานก็ได้ลงมือวาดภาพไท่เสวียนฉางชิงขึ้น


ดังนั้นจะว่าไปแล้วภาพไท่เสวียนฉางชิงจึงถือเป็นที่พึ่งพิง และเป็นการปล่อยวางสำหรับเขาด้วย


เดิมทีวันนี้ได้พบลู่อู๋ซวง เย่ฉางชิงก็ตั้งใจว่าจะลองเลียบเคียงถามลู่อู๋ซวงเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรเสียหน่อย


อย่างเช่นว่า


ท่านเซียน ในโลกนี้คนที่มิมีรากวิญญาณสามารถบำเพ็ญเพียรได้หรือไม่ ?


ท่านเซียน ท่านมีวิธีบำเพ็ญเพียรได้โดยมิมีรากวิญญาณหรือไม่ ?


ท่านเซียน มีวิธีกำเนิดรากวิญญาณจากภายในร่างกายหรือไม่ ?


ท่านเซียน ท่านจะยอมบำเพ็ญเพียรกับคนที่มิมีรากวิญญาณได้หรือไม่ ?


“.........”


แต่ว่าเวลานี้ลู่อู๋ซวงกลับเอาแต่เรียกเขาว่าผู้อาวุโสเย่ จนเขามิรู้ว่าควรจะเริ่มเอ่ยคำถามเช่นไรกับนางดี


เย่ฉางชิงจึงตอบกลับไปว่า “เมื่อห้าปีก่อนตอนที่ข้าเดินทางผ่านเขาไท่เสวียน ข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างจนเกิดแรงบันดาลใจ จึงได้วาดภาพไท่เสวียนฉางชิงภาพนี้ขึ้น”


“เป็นเช่นนี้นี่เอง ! ”


ลู่อู๋ซวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แววตามีประกายความเสียใจพาดผ่าน


หากได้รู้จักผู้อาวุโสเย่เร็วกว่านี้คงจะดีมิน้อย !



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว