ฟ้า (อ้อน) ดาว ( Yuri 18+)-ตอนที่ 16 คนธรรมดาที่แสนพิเศษ

โดย  Comfort99

ฟ้า (อ้อน) ดาว ( Yuri 18+)

ตอนที่ 16 คนธรรมดาที่แสนพิเศษ

หลังจากรอให้หลิวเจี้ยนฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ คนทั้งหมดก็ได้พากันแห่กลับไปที่เมืองนพบุรี ซึ่งสองพี่น้องราชวงศ์หนานเองก็ได้ตามกลับมาด้วยเพราะเมืองนพบุรีคือหนึ่งในสองเมืองใหญ่ที่มีเมืองบริวารติดกับชายแดนแคว้นหงสาเพลิงนิรันดร์

เมื่อถึงเมือง หลิวเจี้ยนก็ได้ล่ำลาสหายของมันทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยแยกตัวกลับออกมาก่อน ส่วนซุนโหวหวังนั้นยังต้องอยู่กับสองพี่น้องราชสกุลหนานสักพักเพราะต้องคอยจัดเตรียมพวกของที่จะใช้ส่งเป็นค่าสินไหมให้แก่แคว้นหงสาเพลิงนิรันดร์อีกพักใหญ่ ๆ

ที่หลิวเจี้ยนต้องรีบกลับก่อนเพราะท่านย่าของมันหรือหลิวเล่าฮูหยินเป็นห่วงมันมาก มันจึงต้องรีบกลับไปหาท่านเพื่อยืนยันว่ามันนั้นยังปลอดภัยดีที่จวนเจ้าเมือง และยังต้องไปรับตัวหลินซินกลับมาด้วย เพราะตอนก่อนออกเดินทางไปทำภารกิจ หลิวเจี้ยนได้สั่งให้สตรีสาวผู้สวมโซ่ตรวนไปคอยดูแลปรนนิบัติคนผู้เป็นย่าของมันจนกว่ามันจะกลับ

ซึ่งคนที่เฝ้ารอการกลับมาของมันอยู่นั้น เมื่อได้เห็นหน้าหลานในไส้ อารมณ์ของหลิวเล่าฮูหยินก็ได้แสดงออกมาหลากหลาย ทั้งโกรธ เป็นห่วง หรือแม้แต่ตื้นตัน ก็แสดงออกมาในคราเดียวทำให้หลิวเจี้ยนลำบากพอสมควร


“หยกสื่อสารก็มี..ยันต์สื่อสารก็พบไว้ อย่างน้อย ๆ เจ้าก็ควรติดต่อกลับมาหาย่าบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ย่าต้องรู้จากคนอื่น..หลานเข้าใจหรือไม่?” หลิวเล่าฮูหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนเป็นห่วงคลุกเคล้าผสมกับความโกรธน้อย ๆ ที่ยังคงค้างเติ่งอยู่ สายตาเบี่ยงออกจากร่างของคนเป็นหลานด้วยความงอนง้อ “ยกเว้นแต่เจ้าจะไม่เห็นยายแก่คนนี้อยู่ในสายตาของเจ้าแล้ว”


“พูดไปนั่น! ข้ายังคงคิดและระลึกถึงท่านอยู่เสมอท่านย่า..” มือซ้ายขวาของหลิวเจี้ยนนวดบีบแขนของคนเป็นย่าอย่างเอาอกเอาใจ “จริง ๆ แล้วเจี้ยนเจี้ยนเอ๋อร์ก็อยากจะติดต่อมาหาท่านใจแทบขาด แต่เผอิญเส้นปราณของข้าเกิดได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถใช้พลังปราณได้..”


“หลานบาดเจ็บรึ? ไหน..บาดเจ็บตรงไหนขอย่าดูเจ้าก่อน.. ใครก็ได้ไปตามหมอมาตรวจอาการของหลานข้าเร็ว!” คนเป็นย่าตวัดสายตามองหลานชายของนางด้วยความตกใจ สายตาของนางกวาดมองสองมือต่างจับลูบคลำไปทั่วตัวอย่างเป็นห่วง


“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วท่านย่า..และข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้น.. แต่ที่ข้าบาดเจ็บ เพราะข้าได้ประสบพบเจอกับสิ่งที่จะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมา” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมรวบมือจับไปที่สองมือของผู้เป็นย่า


คำกล่าวของหลิวเจี้ยนทำให้หลิวเล่าฮูหยินรู้สึกสนใจ “แข็งแกร่งขึ้น? ย่าไม่เห็นหลานมีอะไรเปลี่ยนไปเลย ระดับพลังของเจ้าก็ยังเหมือน ๆ เคย ไหนบอกย่ามา ว่าเจ้าไปพบกับอะไรเข้า”


สายตาของหลิวเจี้ยนกวาดมองบรรดาสาวใช้ที่เจ้าเมืองซุนส่งมารับใช้ท่านย่าของมันรอบหนึ่ง คนเป็นย่าล้วนเข้าใจถึงความหมาย นางจึงได้โบกมือไล่สาวใช้พวกนั้นให้กลับออกไปจนหมด

ซึ่งพอคนในห้องนั้นหายไปจนหมดเหลือเพียงสองย่าหลาน หลิวเจี้ยนจึงถอนมือขวาออกจากคนเป็นย่าแล้วจึงยกชูขึ้นดันนิ้วชี้..นิ้วนางและนิ้วกลางออกมาพร้อมแสดงพลังปราณของมันออกมา โดยที่นิ้วชี้ของหลิวเจี้ยนเป็นพลังปราณสีฟ้าครามในขณะที่นิ้วนางของมันเป็นสีแดงชาดส่วนนิ้วกลางนั้นคือพลังปราณสีทองที่สุกสว่าง

พลังปราณกลอกตาและพลังปราณชาดนั้นดูปกติดีในนิ้วทั้งสองทว่าพลังปราณมาศกลับดูเจือจางและแผ่วค่อย ที่พลังปราณมาศของหลิวเจี้ยนนั้นดูไม่แข็งแรงมั่นคง ก็เนื่องด้วยการที่ตัวของผู้ใช้ยังไม่ถนัดคุ้นชินกับสิ่งที่ได้รับมา ระหว่างพักรักษาตัวก็ไม่ได้ฝึกตอนขากลับมาก็มีเซ่อหวงและเซ่อเตี้ยนสองในเจ็ดมงกุฎอยู่ด้วยหลิวเจี้ยนจึงไม่สะดวกจะฝึกปราณนี้


สายตาของคนเฒ่าคนชราเช่นหลิวเล่าฮูหยินปรากฏแววซับซ้อนสงสัย แม้นางจะไม่เคยเห็นปราณสีทองมาก่อนทว่านางนั้นรู้ว่าคนหนึ่งคนล้วนไม่อาจแสดงพลังปราณชาดและปราณครามออกมาได้พร้อมกันแน่ ๆ “เหตุใดหลานถึงมีปราณสองสายนี้ในร่าง? แล้วปราณสีทองนั่นคืออะไร? อัตลักษณ์ของหลานรึ? เป็นไปไม่ได้.. หลานยังฝึกไม่ถึงช่วงชั้นเข้าถึงเลย ไม่มีทางที่จะแสดงอัตลักษณ์ออกมาได้..”


“จะว่าอย่างไรดี.. จะบอกว่าเป็นอัตลักษณ์ของพลังสถิตของข้าก็ได้ เพียงแต่..” หลิวเจี้ยนกล่าวก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในสถานที่ลับในป่าทางตอนเหนือให้คนเป็นย่าฟัง

ยิ่งหลิวเจี้ยนเล่า คนเป็นย่ายิ่งรู้สึกกังวล ยิ่งหลิวเจี้ยนกล่าวถึงเรื่องสงครามสองรอบที่ตัวของมันต้องเผชิญ แววตาของคนผู้เป็นย่ายิ่งดูหม่นหมอง


“จำเป็นต้องเป็นหลานด้วยรึที่ต้องจัดการเรื่องทั้งหมดนั่น?” หลังจากฟังหลิวเจี้ยนกล่าวจบ หลิวเล่าฮูหยินจึงได้เอ่ยถามออกมา

การที่บุคคลสำคัญในอดีตเช่นดวงจิตผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาได้ฝากฝังเรื่องเช่นนี้ต่อหลานชายของนาง แน่นอนสงครามที่เกินขึ้นทั้งสองครั้งย่อมไม่ธรรมดา นางจึงอดคิดไม่ได้ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเช่นลูกชายของนางหรือไม่ ที่ถึงแม้จะรอดมาจากสงคราม แต่ความพยาบาทก็ได้ฝัง ความแค้นก็ยังยึดติด ติดตัวจนส่งถึงหลานชายของนางเมื่อสองปีก่อน

เอินซิงซิงผู้นี้ยังเหลือที่พอสำหรับความสูญเสียได้อีกหรือไม่..


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจท่านย่า แต่ถึงขั้นบรรพบุรุษหลายรุ่นก่อนของพวกเราเตรียมเรื่องเช่นนี้ไว้ให้พวกข้าทั้งห้าคน ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้..”

หลิวเจี้ยนกล่าวตามความเป็นจริงก่อนที่ตัวคนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นคนเป็นย่าดูหดหู่เป็นอย่างมาก หลิวเจี้ยนจึงคิดหาคำที่จะกล่าวปลอบใจนาง

“ท่านบรรพบุรุษเตรียมการไว้ให้ขนาดนี้ ข้าไม่เป็นอะไรแน่ท่านย่า อีกอย่าง.. ข้าเป็นถึงผู้สืบทอดปราณมาศและพลังสถิตราชันมังกรทองเลยผู้ก่อตั้งเลยนะท่านย่า ดูอย่างท่านผู้ก่อตั้งสำนักฯ สิ เขายังอยู่ได้จนแก่หง่อมขนาดนั้น ข้าเองก็คงจะอยู่ได้อายุยืนกว่าเขาแน่”


สายตาอันแก่เฒ่าของหลิวเล่าฮูหยินได้แต่มองไปที่หลานชายของนาง มือข้างขวายกขึ้นลูบใบหน้านั้นอย่างอ่อนโยนแผ่วเบา ประหนึ่งนางกลัวว่าสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่นางแตะสัมผัสอยู่นี้ หากแตะแรงเกินไปมันจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

“ตั้งแต่เด็กต้องจำพราก..จากไปต่างแดน โตมาได้ไม่เท่าไหร่ยังต้องหยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาแบกไว้บนบ่า.. ย่ารู้สึกสงสารเจ้าจริง ๆ เจี้ยนเจี้ยนเอ๋อร์ของย่า..”


“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกท่านย่า.. ข้ายังหนุ่มยังแน่น ต่อให้ใครเอาโลกมาให้ข้าแบก..ข้าก็แบกไหว..” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมยกมือขึ้นจับหลังฝ่ามือของคนผู้เป็นย่าที่แนบอยู่ข้างแก้มของมัน “ท่านอย่าได้เป็นห่วงเลย..”


“ห้ามเรื่องอื่นน่ะห้ามได้.. แต่ห้ามไม่ให้ย่าเป็นห่วงเจ้า..ย่าทำไม่ได้หรอก..” สายตาของคนผู้เป็นย่าจ้องมองไปที่หลิวเจี้ยน สายตานั้นแฝงความอบอุ่นดุจเดียวกับที่มารดาของมันที่ชอบมอง และด้วยสายตานั้น ก็ได้ทำให้หัวใจของหลิวเจี้ยนรู้สึกพองโต “ก็มีแต่ความเป็นห่วงนี่แหละที่ทำให้ย่ายังมีกำลังใจตื่นขึ้นมาเพื่อดูว่าเจ้ายังปลอดภัยดีหรือไม่.. เจี้ยนเจี้ยนเอ๋อร์ของย่า”


“แก่เก่ออะไรกัน.. แม่นางตรงหน้าข้าออกจะสาวถึงเพียงนี้ ไม่แน่หากที่ผ่านมาท่านไม่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตระกูล คงมีแม่สื่อตามมาส่งชื่อและรูปเหมือนของบุรุษให้ท่านได้เลือกรายวันเลยก็เป็นไปได้”


“หลานคนนี้ปากหวานแต่กับย่านี่แหละ..” หลิวเล่าฮูหยินยิ้มน้อย ๆ ตอนกล่าว ก่อนที่ต่อมาสายตาของคนเฒ่าคนแก่ที่แต่เดิมแฝงความอ่อนโยนเอาไว้กลับแปรเปลี่ยน “แต่จะว่าไป.. หากตอนนี้มีเหลนตัวน้อย ๆ วิ่งเต็มบ้านเต็มเรือน ย่าคงจะมีแรงอยู่ต่ออีกสักยี่สิบปี.. อย่างไรเจี้ยนเจี้ยนเอ๋อร์.. ที่เมืองมังกรธาราไม่มีสตรีบ้านใดถูกใจหลานบ้างเลยรึ?”


คำพูดของคนเป็นย่าพลันทำให้ภาพในหัวของคนนึกถึงสตรีนามว่าฮว่าผิงที่สวมตู้โตวสีแดง ในค่ำคืนนั้นหากไม่มีเรื่องเกิดขึ้นเสียก่อน ป่านนี้หลิวเจี้ยนคงกลายเป็นบุรุษเต็มตัวไปแล้ว


“หน้าเจ้าแดง.. อย่างไร.. แม่สาวนางนั้นเป็นลูกบ้านใด..เพียงเจ้าเอ่ยปากสินสอดและแม่สื่อจะเดินทางไปเยือนที่บ้านตระกูลนั้นในทันที” หลิวเล่าฮูหยินดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากในตอนที่กล่าว


“มะ..ไม่มีอะไรทั้งนั้นท่านย่า ข้าไปทำภารกิจนะ..ไม่มีเวลาไปมองสตรีบ้านไหนหรอก แถมได้พบกับดวงจิตของท่านผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาดวงเป็น ๆ ที่มาฝากฝังเรื่องพวกนั้นกับข้าอีก ข้าไม่กล้าคิดเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ท่านย่า”

หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมกับใช้มือนวดแขนท่านย่าของมันอย่างเอาอกเอาใจเพราะรู้ว่าย่าของมันนั้นคาดหวังที่จะให้ตนมีลูกมีหลานสืบสกุลต่อไปมากถึงเพียงไหน


“แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามหลานไม่ให้มีลูกมีเมียเสียหน่อย หรือต่อให้ห้าม.. หากย่าตายไป..ดวงวิญญาณของยายแก่คนนี้จะตามไปด่าถึงยมโลกเลยคอยดู”


“พูดเรื่องตายอีกแล้ว.. พอแล้ว..พอแล้วท่านย่า เอาเป็นถ้าหากข้าพบเจอคนที่ถูกใจจริง ๆ ข้าจะพานางมาพบท่านเป็นคนแรกเลยท่านย่า แถมเหลนให้ท่านอุ้มอีกคนเลยเอ้า!” หลิวเจี้ยนพยายามพูดกับย่าของมันอย่างใจเย็น ก่อนจะแลซ้ายมองขวาเพราะเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง “ว่าแต่หลินซินอยู่ที่ใดหรือท่านย่า เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนางเลย”


“นางพอรู้ว่าหลานจะกลับมาวันนี้ นางก็กลับไปทำความสะอาดเรือนของหลานที่สำนักตั้งแต่เช้ามืดแล้ว” น้ำเสียงเคืองโกรธของคนเป็นย่าพลันอ่อนลง สายตาของคนเฒ่าคนชราเองยังเหล่มองไปที่หลานชายตัวดีของนาง “หรือว่าถูกใจซินซินเอ๋อร์เข้าแล้ว? ถึงได้ถามหานาง?”


หลิวเจี้ยนกลอกตาวนอยู่รอบหนึ่งจึงเอ่ย “ไปกันใหญ่แล้วท่านย่า ข้าก็แค่ไม่เห็นนางจึงถามหาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นเลยจริง ๆ”

หลิวเจี้ยนไม่รู้จะพูดอย่างไรกับการจับคู่มั่วซั่วของย่าของมัน เจ้าคนคิ้วบางได้แต่คิดว่าหากยามใดที่มันมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วกริยาเช่นนี้ของหลิวเล่าฮูหยินคงซา ๆ ไปเอง


หลิวเจี้ยนนั่งพูดคุยกับหลิวเล่าฮูหยินอยู่อีกครู่หนึ่งจึงได้ลากลับมาหลังจากท่านอาหารเที่ยงกับท่านย่าของมันเสร็จ

พอกลับถึงเรือน เมื่อตอนที่หลิวเจี้ยนผลักประตูบ้านเปิดออก ข้างในนั้นนอกจากหลินซินแล้ว หลิวเจี้ยนก็ได้เห็นคน..คนหนึ่งที่หน้าตาไม่คุ้น

คนที่หลิวเจี้ยนเห็นนั้นเป็นบุรุษชายวัย 19-20 ปี หน้าตาของมันนั้นขาวผ่อง ผิวเนียนละเอียดคล้ายผิวของอิสตรี รูปปากนั้นแบนยาว เสื้อผ้าที่ใส่ก็ถูกตัดเย็บจากแพร่ไหมราคาแพง


“อ๊ะ..นายน้อย ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ!” หลินซินเมื่อเห็นนายน้อยของนางกลับมาก็ได้รีบเดินตรงเข้าหาก่อนถอนสายบัวทำความเคารพมัน


“นั่นใครน่ะ?” หลิวเจี้ยนแม้ไม่เคยเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรับแขกของห้อง แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกคุ้นหน้าแปลกอยู่หลายส่วนจึงได้เอ่ยถาม


“เขาผู้นี้ไม่ได้บอกอะไร เขาเพียงกล่าวว่าต้องการพบกับนายน้อย” หลินซินเหลียวมองชายคนนั้นแล้วจึงเอ่ยตอบ ทว่าในประโยคต่อมาก็ได้ป้องมือกล่าวด้วยเสียงเบากระซิบ “เห็นพี่ ๆ นักการบอกว่าเขามายืนรอนายน้อยตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว แต่ด้วยการที่เข้ามีป้ายรับรองว่าเป็นแขก หลินซินกลัวว่าหากให้ยืนรอข้างนอกจะไม่งาม จึงถือวิสาสะเชิญเขาเข้ามารอในบ้านเจ้าค่ะ..”


“หืม? มารอข้าตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว?” หลิวเจี้ยนพยายามค้น..พยายามคิด แต่กระนั้นก็นึกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือใคร มันจึงได้เดินเข้าไปหาแล้วจึงเอ่ย “ข้าหลิวเจี้ยน.. เจ้ามีธุระอะไรกับข้ารึ?”


ชายหน้าหยกปากยาวผู้นั้นแลส่งสายตามองมาทางหลิวเจี้ยนก่อนคราหนึ่ง ก่อนที่มันผู้นั้นจะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้รับแขกอย่างแช่มช้า

สายตาดุจใบมีดโกนไร้ไมตรีเหลือบแลมาที่หลิวเจี้ยน “เจ้าสินะ..หลิวเจี้ยน.. ที่ทำให้น้องชายของเราตงป๋ายซานต้องอับอายในนครหลวง..?”


หัวสมองของหลิวเจี้ยนแล่นเร็วดุจอาชาแข่ง ชื่อแรกที่หลิวเจี้ยนนึกออกคือ “หรือเจ้าคือ ตง เสวี่ยซาน พี่ชายของมัน?”

หลิวเจี้ยนจำได้ ในครั้งที่ตงชเวด่ากราดใส่ตงป๋ายซาน นางได้เอ่ยถึงบุรุษผู้หนึ่งนามว่าตงเสวี่ยซานว่าเป็นพี่ชายของตงป๋ายซาน


“ใช่แล้ว..เราตงเสวี่ยซาน” สายตาของตงเสวี่ยซานนั้นสุดคมกริบ มองมาที่หลิวเจี้ยนราวกับจะฆ่าแกงมัน


ทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มือขวาของหลิวเจี้ยนรีบจับผลักร่างของหลินซินมาหลบอยู่ข้างหลังตนเอง สัมผัสตามตัวต่างตื่นตัว “อย่างไร..? หรือจะมาล้างแค้นแทนน้องชายไม่ได้เรื่องของเจ้า..?”


“หึ..!” มุมปากของบุรุษหน้าหยกยกขึ้นอย่างเกียจคร้าน สายตาดุจใบมีดของมันเองก็เปลี่ยนเป็นขบขัน

“ใช่แล้ว.. น้องชายเรามันไม่ได้เรื่อง..” สายตาที่เคยแสดงออกอย่างขบขันพลันแปลงเปลี่ยนเป็นขึงขัง นัยน์ตาต่างถักทอความไม่พอใจออกมาก่อนที่ตัวคนจะกล่าวประโยคหลังด้วยท่าทางใจเย็นแต่แฝงความโกรธขึ้งไว้ในน้ำเสียง “แต่กระนั้นก็ยังเป็นคนไม่ได้เรื่องของตระกูลตง คนนอกตระกูลไม่มีสิทธิ์ทำให้มันต้องอับอายถ้าไม่ใช่คนตระกูลตง..”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว