ธรรมธรมองเพื่อนสาวข้างกายอย่างไม่ค่อยวางใจนัก แม้เธอจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่อาการเหม่อลอยคล้ายวิญญาณไม่อยู่กับร่างแบบนี้ธรรมธรไม่เคยเห็นม่อนฟ้าเป็นมาก่อน
“แกแน่ใจนะว่าโอเค” ธรรมธรถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงเมื่อรถจอดสนิท
ม่อนฟ้าเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินลงจากรถไป ทว่าธรรมธรก็ยังไม่สบายใจจึงเดินตามลงไป นี่ขนาดเขาเดินตามอยู่ข้างหลังเธอยังไม่รู้ตัว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาห่วงได้อย่างไร
ม่อนฟ้าเปิดประตูเข้าบ้านที่เปิดไฟสว่างโร่ทั้งหลัง เพียงแค่ก้าวแรกที่ม่อนฟ้าย่างกรายเข้าไป เสียงของสุดาก็ดังขึ้นในทันที
“ไปไหนมา!” สุดาพุ่งเข้ากระชากแขนบุตรสาวด้วยความเกรี้ยวกราด ธรรมธรเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปหมายจะห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว
“ม่อนไปหาพ่อมาค่ะ”
ม่อนฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ในทางตรงกันข้าม คำตอบของเธอกลับทำให้อีกฝ่ายเพิ่มความโมโหมากยิ่งขึ้น มือซึ่งเคยโอบอุ้มหญิงสาวมาตลอดชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือฟาดลงบนตัวบุตรสาวไม่ยั้ง
“ใครใช้ให้แกไป ฉันสั่งห้ามแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับเขาอีก ทำไมแกไม่ฟังแม่ ทำไม”
“คุณน้าครับ!” ธรรมธรทนไม่ได้ที่เห็นม่อนฟ้ายังคงนิ่งเฉยปล่อยให้แม่ตีอยู่อย่างนั้นจึงเข้าไปหมายจะคว้ามือซึ่งกำลังจะฟาดลงบนตัวหญิงสาว ทว่า
“ม่อนขอโทษ”
ฝ่ามือนั้นชะงักกลางอากาศเมื่อได้ยินคำพูดจากปากม่อนฟ้า
“ม่อนรู้แล้วว่าทำไมแม่ไม่อยากให้ม่อนเจอกับพ่อ ม่อนเข้าใจแล้ว เราอยู่กันสองคนแม่ลูกเหมือนเดิมก็ดีแล้วเนอะ”
ม่อนฟ้าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับผู้เป็นแม่ ดูเหมือนว่ายิ่งเธอฉีกยิ้มกว้างเพียงใดน้ำตาของเธอก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้นเท่านั้น
สุดาลดมือลงอย่างอ่อนแรงจนธรรมธรต้องช่วยประคองร่างนั้นไว้ด้วยกลัวจะทรุดล้มลงกับพื้น
“นี่เขาเล่าให้ลูกฟังหมดเลยหรอ” น้ำเสียงของสุดาขาดห้วงราวกับเรี่ยวแรงที่เคยมีนั้นได้มลายหายไป
ม่อนฟ้าพยักหน้าแทนคำตอบ และทันใดนั้นเองน้ำตาของผู้เป็นแม่ก็เอ่อล้นออกมาเช่นกัน
“แม่ขอโทษนะ แม่ขอโทษ”
สุดาจับหน้าอกข้างซ้ายที่บัดนี้บีบแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าบุตรสาวรู้สึกอย่างไร แม้ม่อนฟ้าจะไม่เคยเอ่ยถึงผู้เป็นพ่อมาตลอดสิบสองปี แต่หล่อนรู้ดีว่าลูกไม่เคยลืมผู้เป็นพ่อและยังปรารถนาจะได้ความรักนั้นเหมือนอย่างคนอื่น หลายปีมานี้ม่อนฟ้าต้องอดทนมาตลอดและตอนนี้ที่เธอรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วแต่เธอก็ยังเลือกที่จะอดทนเพื่อให้แม่อย่างหล่อนสบายใจ ในขณะที่หล่อนเองกลับทำอะไรเพื่อลูกไม่ได้เลย หล่อนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการเป็นห่วงลูกและดึงลูกไว้กับตัวเองแบบนี้เป็นความรักหรือความเห็นแก่ตัวกันแน่
แม่ขอโทษที่มอบครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์แบบให้ลูกไม่ได้ แม่ขอโทษนะ โบตั๋น...
“ม่อนไม่เป็นไร ม่อนไม่เป็นอะไรจริงๆ” ม่อนฟ้าเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่ภายในใจกำลังรู้สึกบีบคั้นเสียเหลือเกิน
สองแม่ลูกโอบกอดและร้องไห้กันอยู่อย่างนั้น ธรรมธรค่อยๆ ถอยออกมาจากบ้านมาด้วยความสบายใจ แม้ทั้งคู่จะร้องไห้หนักขนาดไหนแต่เขาเชื่อว่าหลังจากนี้แม่และลูกจะสามารถเข้าใจกันได้ ไม่มีอะไรที่เขาต้องเป็นห่วงอีก เว้นเสียแต่...
“คุณเหม่ยหลิน”
หญิงรับใช้ถึงกับตกใจเมื่อเห็นเจ้านายคนเล็กของบ้านยืนอยู่ในมุมมืดไม่ไกลจากธรรมธรเท่าไหร่นัก
ธรรมธรหันตามและพบเหม่ยหลินที่กำลังยืนชะงักงัน ใบหน้าซีดเผือดราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องน่ากลัวสุดชีวิตมา เพียงเท่านั้นธรรมธรก็รู้ได้ในทันทีว่าเหม่ยหลินได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ธรรมธรหันไปหมายจะอธิบายให้หญิงสาวฟัง เขาเข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นค่อนข้างสร้างความตกใจให้กับเหม่ยหลินไม่น้อย ทว่าหญิงสาวกลับหันหลังขึ้นรถซึ่งจอดรออยู่แล้วออกไป ธรรมธรได้แต่มองรถคันนั้นขับออกจากรั้วบ้านไปด้วยความเป็นห่วง
ตอนนั้นเขามีม่อนฟ้าอีกคนที่ต้องเป็นห่วงเช่นกัน ธรรมธรจึงไม่ได้ตามเหม่ยหลินออกไป แต่ตอนนี้เขาไม่มีเรื่องต้องเป็นห่วงม่อนฟ้าอีก
ธรรมธรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายบุคคลซึ่งไม่ได้ติดต่อมาพักใหญ่ ไม่นานก็มีเสียงตอบรับจากปลายสาย แต่กลับเป็นเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มจนแทบฟังเสียงเหม่ยหลินไม่ได้ยิน
“เหม่ยหลิน นั่นเราอยู่ไหนน่ะ”
ธรรมธรบอกว่าจะมาหาเธอที่นี่ซึ่งเป็นผับภายใต้การดูแลของแก๊งมังกรไฟ เหม่ยหลินดื่มไปหลายแก้วจนปวดหัวไปหมด แต่เพราะปวดฉี่เลยทำให้ต้องลากสังขารพาตัวเองมายังห้องน้ำซึ่งอยู่อีกมุมกับที่เธอนั่งอยู่
ชายในชุดสูทสีดำคอยเดินตามดูแลอยู่ไกลๆ ตามคำสั่ง เหม่ยหลินไม่ชอบให้มีใครมาดูแลเธอเพราะนั่นแสดงว่าเธอยังไม่โตพอที่จะดูแลตัวเอง แต่เพราะขัดคำสั่งของผู้เป็นพ่อไม่ได้เธอจึงต้องให้บอดี้การ์ดเหล่านี้คอยดูแลอยู่ห่างๆ แทน
ขณะที่กำลังเดินเข้าห้องน้ำไป สายตาของหญิงสาวพลันสังเกตเห็นผู้ชายสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ในมุมมืดหลังร้าน เหม่ยหลินพยายามเพ่งมองเพราะรู้สึกคุ้นหน้าหนึ่งในชายสองคนนั้น โดยเฉพาะรอยสักที่ต้นคอของเขา แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เธอจึงละความพยายามแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเดินออกมาเธอก็พบกับธรรมธรซึ่งกำลังโทรศัพท์พลางกวาดสายตาเหมือนมองหาใครอยู่
“พี่ธรรม์” เหม่ยหลินเดินโซเซเข้าไปแตะไหล่ชายหนุ่มแล้วยิ้มให้
ที่เขาบอกว่าแอลกอฮอล์ช่วยให้ลืมความทุกข์นั้นท่าจะจริงเพราะตอนนี้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว มีแต่เพียงเสียงเพลงและความสนุกสนานเท่านั้น
“เหม่ยหลิน ทำไมเมาแบบนี้ล่ะ”
“ฮื้อ เมาที่ไหน กำลังสนุกเลย พี่ธรรม์มาเต้นด้วยกันสิ”
ว่าแล้วเหม่ยหลินก็ดึงแขนธรรมธรแล้วโยกตัวไปมาตามจังหวะดนตรี ธรรมธรได้แต่มองหญิงสาวที่เรียบร้อยและน่ารักเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างเป็นห่วง
“พอแล้ว กลับบ้านเถอะ” ธรรมธรดึงหญิงสาวให้หยุด ทว่ากลับถูกเธอปัดมือออกอย่างไม่พอใจ
“ไม่กลับ ไม่กลับบ้าน หลินไม่กลับ” เหม่ยหลินยืนกรานอย่างหนักแน่น
ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่เป็นผล ธรรมธรเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเหม่ยหลินก็มีมุมดื้อที่ไม่ฟังใครอยู่เหมือนกัน
“ถ้าไม่กลับบ้านแล้วจะไปไหน” ธรรมธรถามอย่างอ่อนใจ และคำตอบที่ได้ก็คือ
“ไป...” ร่างเล็กยิ้มกว้างชี้นิ้วตรงมายังธรรมธร ก่อนที่มือนั้นจะตกลงพร้อมกับร่างเล็กซึ่งหมดสติไป
ธรรมธรรับไว้ได้ทันก่อนที่ร่างนั้นจะคว่ำหน้าลงกับพื้น บอดี้การ์ดสองคนรีบวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นเจ้านาย ธรรมธรได้แต่มองชายร่างใหญ่ทั้งสองแล้วถอนหายใจ
ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่องก็ไม่รู้...
เปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้นพร้อมกับอาการปวดตึบบริเวณศีรษะ เหม่ยหลินกดนวดบริเวณที่ปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ทำไมถึงได้ปวดแบบนี้นะ” เหม่ยหลินทิ้งศีรษะที่กำลังยกขึ้นลงบนหมอนอีกครั้งแล้วลองคิดทบทวน ไม่นานเธอก็ได้คำตอบ
เมื่อคืนเธอเมามากแล้วหมดสติไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพของธรรมธร . ใช่!
“พี่ธรรม์”
ดวงตาที่สะลึมสะลือพลันเบิกโพลงขึ้น เหม่ยหลินพยายามฝืนความเจ็บปวดดันตัวเองลุกขึ้นมาแล้วมองสำรวจรอบๆ และพบว่านี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง
ห้องขนาดไม่ใหญ่มากที่พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอย่างโรงแรม เหม่ยหลินไม่ได้สงสัยว่าที่นี่คือที่ไหน หากแต่เธออยากรู้มากกว่าว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
หญิงสาวพาร่างพร้อมกับความสงสัยเดินออกจากห้องนอนมายังโถงห้องใหญ่ซึ่งมีโต๊ะและอาหารวางพร้อมอยู่
‘ทานก่อนแล้วค่อยกลับนะ พี่เตรียมไว้ให้แล้ว พี่ติดธุระเลยต้องรีบกลับก่อน กลับบ้านดีๆ ล่ะ กลับไปคุยกับพ่อให้เข้าใจ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอด ยังใช้เบอร์เดิม ธรรม์’
เหม่ยหลินหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่าน ทั้งที่เนื้อความไม่ได้มีอะไรพิเศษทว่าน้ำตาของหญิงสาวกลับเอ่อไหลออกมาเสียอย่างนั้น
ก็แค่โจ๊กกับน้ำส้มแก้วเดียวไม่ได้ทำให้เธอซึ้งขนาดร้องไห้ออกมาหรอก หากแต่เป็นเพราะเจ้าของลายมือนี้ต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา อย่างน้อยหากทุกอย่างจะเปลี่ยนไปก็ยังคงมีหนึ่งคนที่จะไม่เปลี่ยนแปลง แค่คิดหญิงสาวก็กลัวจนน้ำตาไหลออกมาไม่ยอมหยุด
ม่อนฟ้าวางกำไลหยกในกล่องแล้วเก็บไว้ลึกที่สุดในตู้ที่เธอจะมองไม่เห็นและไม่หยิบมันออกมาอีก หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกและค่อยๆ ผ่อนออกมา ทันใดนั้นใบหน้าเศร้าพลันเปลี่ยนมาร่าเริงสดใสราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งที่เมื่อคืนเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ม่อนฟ้าคิดว่าการที่เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมจะทำให้แม่สบายใจขึ้นได้บ้าง ทว่ากลับยิ่งทำให้สุดากังวลใจมากขึ้น เช่นเดียวกับธรรมธรที่กำลังอยู่ในสาย
“ฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ แกอย่ามัวแต่มาห่วงฉันอยู่เลย รีบไปงานเลี้ยงรุ่นของแกเถอะ งานใกล้เริ่มแล้วไม่ใช่หรือไง”
[แกแน่ใจนะว่าโอเคน่ะ]
“เออ ล้านเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่เชื่อไว้แกกลับมาแล้วดูด้วยตาแกเองก็ได้ว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
[งั้นฉันจะรีบไปแล้วรีบกลับมาแล้วกัน]
“เอาที่แกสบายใจเลย แค่นี้นะ”
แล้วม่อนฟ้าก็กดวางสายเพราะไม่อยากคุยให้มากความ อันที่จริงก็ใช่ว่าเธอจะไม่เป็นอะไรเลย ยิ่งทุกคนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเธอก็ยิ่งอยากเผยมุมอ่อนแอออกมา ทว่าหลังจากร้องไห้มาทั้งคืนม่อนฟ้าคิดว่าเพียงพอแล้ว มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการกลับไปเป็นเหมือนเดิมเหมือนครั้งไม่มีเขาคนนั้น เธอก็แค่อดทนและเข้มแข็งไว้เท่านั้น
“ม่อนฟ้า ซินหมิงมาหา” ปุยฝ้ายเปิดประตูหลังร้านมาเรียกม่อนฟ้าที่เพิ่งวางสายจากธรรมธร
ปุยฝ้ายเองก็อาการหนักไม่แพ้กัน เมื่อสองวันก่อนเธอเพิ่งโดนทศพลบอกตัดขาดไป การนอกใจเพียงครั้งเดียวไม่อาจเรียกความเชื่อใจให้กลับมาได้อีกตลอดกาล
‘หากฝ้ายรักทศจริงๆ ฝ้ายจะไม่คิดนอกใจทศตั้งแต่แรก’
นั่นคือเหตุผลของทศพลที่ให้กับหญิงสาวเป็นบทเรียนและเป็นบาดแผลที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายในเร็ววันนี้
“เดี๋ยวม่อนออกไปค่ะ” ม่อนฟ้าตะโกนตอบขณะกำลังรวบรวมสติเพื่อดึงตัวเองกลับสู่โหมดปกติอีกครั้ง
ซินหมิงมองม่อนฟ้าที่เดินยิ้มสดใสออกจากร้านมาด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าเธอจะอาการแย่กว่านี้ ขนาดวันนั้นที่พ่อของเธอคิดว่าเธอขโมยกำไลหยกไปเธอยังร้องไห้แทบเป็นแทบตาย แต่วันนี้เธอกลับทำเหมือนไม่เป็นอะไรเลย
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่เป็นไร” ม่อนฟ้าบอกอย่างรู้ทัน ก็ซินหมิงไม่ใช่คนแรกที่แสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ให้เธอเห็นนี่นา
“ไม่เป็นไรจริงๆ หรอ”
“นายนี่จู้จี้เหมือนธรรม์ไม่มีผิดเลย ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง หน้าฉันเหมือนคนเป็นอะไรงั้นหรอ” ม่อนฟ้าเชิดหน้าให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน
ซินหมิงไม่ค่อยชอบใจนักที่หญิงสาวเอ่ยถึงใครคนนั้น ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เมื่อสาเหตุที่เขามาหาเธอวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญมากกว่านั้น
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“ทำหน้าแบบนี้ คงไม่ได้มาหาฉันเพื่อถามแค่นี้หรอกใช่ไหม”
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดในเวลานี้หรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่เธอเคยบอกว่าอยากรู้เกี่ยวกับตัวฉัน”
ม่อนฟ้ามองคนตรงหน้าที่มีสีหน้าวิตกกังวล นี่เขาอยากเล่าให้เธอฟังจริงๆ หรือเปล่านะ
“ถ้านายไม่สบายใจที่จะเล่าก็ไม่ต้องหรอก เรื่องบางเรื่องถ้าไม่รู้ก็อาจจะดีกว่า”
เหมือนอย่างเรื่องของเธอกับพ่อไง ไม่รู้อะไรเลยยังจะดีเสียกว่าอีก ถ้าเธอรู้ว่าสุดท้ายต้องจบลงแบบนี้เธอจะไม่พยายามหาคำตอบของคำถามที่ค้างคาใจมาตลอดสิบสองปีเลย ซินหมิงเองก็เหมือนกัน ม่อนฟ้าไม่มั่นใจว่าหากเธอรู้แล้วจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนอย่างที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้หรือเปล่า
“แต่ฉันอยากให้เธอรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับฉัน” ซินหมิงบอกกับม่อนฟ้าด้วยน้ำเสียงจริงจังจนม่อนฟ้าไม่กล้าทัดทานอีก
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว