หัวโจก-20.ถ้าได้เข้าห้องกิฟต์ก็ดีสิ

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

หัวโจก

20.ถ้าได้เข้าห้องกิฟต์ก็ดีสิ

“เจ้าบอกว่าคนที่สั่งตีคือคุณชายงั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นคุณชายจวนไหน”

“ท่านแม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าเห็นคุณชายรองอยู่ด้วย”

หลี่หลิงฟางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าลูกชายบ้านรองอยู่ด้วยก็อาจจะเป็นคุณชายจวนขุนนางกรมคลัง”

“คุณชายจวนขุนนางเขาจะตามมาตีพวกเราอีกหรือไม่เจ้าคะ” ลู่เอินแสร้งทำทีเป็นหวาดกลัวแต่จริง ๆ นางกังวล

ที่นี่ขุนนางมีอำนาจ พวกเขาสามารถเอามือปิดฟ้าได้ถ้ามีอำนาจมากพอ

ผู้เป็นมารดาขยับเข้ามาสวมกอดนางเอาไว้ แล้วกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่หรอก ไม่ต้องกลัวนะลูก ถึงต้องตาย แม่ก็จะปกป้องเจ้าให้ได้และจะไม่ยอมให้พวกเจ้าถูกตีเปล่าแน่”

“จริงหรือเจ้าคะ แต่ท่านแม่...พวกเราจะทำอย่างไรล่ะหากพวกเขาไม่พอใจแล้วส่งคนมาทำร้ายพวกเราอีก พี่ชายก็เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านเองก็กำลังตั้งท้อง ข้ากลัวจริง ๆ เจ้าค่ะ”

หลี่หลิงฟางพลันนึกได้ นางผละออกแล้วลูบท้องที่นูนขึ้นเพียงเล็กน้อยของตน ความคิดหุนหันเมื่อครู่พลันดับวูบลง

จริงด้วย นางท้องอยู่ บุตรชายก็อาการหนัก สิ่งแรกที่ต้องทำคือตามหมอมารักษาอาการเขา นางจะกระทำการหุนหันไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าคนผู้นั้นจะมาถึง

... ตอนนี้คงใกล้มาถึงแล้ว


“ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรอีก เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายที่นี่นะ แม่จะไปในเมืองเพื่อตามหมอมารักษาขาของพี่เจ้า”

“เจ้าค่ะ”

หลี่หลิงฟางค้นเงินทองที่ซ่อนเอาไว้ออกมาทั้งหมด ตอนนี้สิ่งสำคัญคือรักษาขาของอาเหวินให้หายดี เขาจะขาพิการไม่ได้เด็ดขาด

บุตรชายของนางจะต้องไม่พิการเดินขากะเผลก

หลังมารดาไปแล้ว ลู่เอินก็ลงจากเตียงมาดูอาการพี่ชาย นางเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามใบหน้าของเขาอย่างเบามือ มองขาที่หักอย่างปวดใจ ตอนบิดายังอยู่ก็ถูกเอาเปรียบให้ทำงานหนักแต่ได้ผลตอบแทนน้อยนิด พอสิ้นบิดาแล้วไยถึงยังรังแกพวกเราเช่นนี้

อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่สายเลือดเดียวกันบ้าง

ความทรงจำของนางยังมีเรื่องแบบนี้อยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ก่อนจะระลึกชาติได้ นางเป็นคนโง่งม โง่เกินกว่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้

“พี่ใหญ่ ข้าจะหาทางรักษาท่านให้ได้ ข้าขอโทษที่ตลอดมาเป็นคนไม่เอาไหน แต่ต่อไปข้าจะเป็นคนใหม่ ไม่ว่าใครก็รังแกพวกเราไม่ได้อีก” ลู่เอินพูดไปพลางเช็ดตัวเขาไปพลาง


หลี่หลิงฟางกลับมาพร้อมท่านหมอที่มีชื่อเสียงเรื่องกระดูกที่สุดในเมือง

แค่เชิญเขามาก็ต้องจ่ายถึงยี่สิบอีแปะ ยังไม่ทันได้ตรวจดูอาการด้วยซ้ำ ไหนจะค่ายาหลังจากนี้อีก

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ รักษาได้หรือไม่” หลี่หลิงฟางถามหลังจากเห็นท่านหมอผู้นั้นตรวจอาการอยู่พักใหญ่

เขาถอนหายใจออกมา ตอบว่า “อาการหนักมาก แต่ยังพอรักษาได้อยู่ เพียงแต่...”

หลิงฟางเกือบจะดีใจก่อนแล้ว “เพียงแต่อะไรเจ้าคะ”

“...คงต้องจ่ายมากหน่อย”

ไม่ว่าต้องจ่ายมากแค่ไหนผู้เป็นมารดาก็ยอม หลี่หลิงฟางกำลังจะตอบตกลง ทว่าบุตรสาวกลับคว้ามือและส่ายหน้าห้ามเอาไว้ก่อน

ท่ามกลางความงุนงงของมารดา ลู่เอินเอ่ยถามท่านหมอผู้นั้นว่า

“มากเท่าใดหรือ”

หมอผู้เฒ่ามองเด็กสาวตัวอ้วนกลมแล้วเลิกคิ้วตอบ

“ก็สัก...สิบตำลึงทอง นี่แค่ค่ารักษากระดูกเท่านั้นนะ กระดูกหักสามท่อน กระดูกขาหักอีกท่อน หลังจากรักษากระดูกแล้วยังต้องรักษาแผลช้ำในพวกนี้อีก ไหนจะค่ายาค่าสมุนไพร รวม ๆ แล้วคงต้องจ่ายสัก...สามสิบตำลึงทอง”

“สามสิบตำลึงทอง!” หลี่หลิงฟางยกมือทาบอก

สามสิบตำลึงทองเป็นเงินไม่น้อยเลย

ลู่เอินขบกรามแน่น ถึงตัวนางก่อนระลึกชาติจะเป็นคนเหลวไหลที่รู้จักแต่กินกับใช้เงินแต่งตัวไปวัน ๆ แต่นางก็รู้ราคาข้าวของเป็นอย่างดี อะไรราคาเท่าไหร่นางรู้หมด อาหารร้านไหนรสชาติดี ราคาถูกหรือแพง นางล้วนรู้ดี เครื่องประดับก็เช่นกัน หากเอาราคาของพวกนั้นมาเป็นเกณฑ์ นางก็พอจะคาดคะเนราคาต่าง ๆ ได้

เมื่อปีก่อนนางเห็นคนตกม้าบาดเจ็บสาหัส แล้วถูกนำตัวไปรักษากระดูกหัก เคยได้ยินว่าคนผู้นั้นจ่ายไปเยอะเหมือนกัน อาการปางตายไม่ต่างจากพี่ชายของนางตอนนี้ ไม่แน่อาจจะหนักยิ่งกว่า แต่เขาจ่ายไปเท่าไหร่รู้หรือไม่

สิบตำลึงทอง

ค่ารักษาตั้งแต่ต้นจนหายดี จ่ายไปสิบตำลึงทอง แน่นอนว่าราคาไม่ถูก แต่พวกนางกลับต้องจ่ายมากถึงสามสิบตำลึงทอง

มากกว่าถึงสามเท่า!


หลี่หลิงฟางมองร่างบุตรชายแล้วกลั้นใจเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น ข้าขอรบกวน...”

“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะท่านแม่” ลู่เอินเอ่ยห้ามมารดาอีกครั้งแล้วหันไปถาม “ท่านหมอไม่ทราบท่านชื่ออะไร เป็นหมอในโรงหมอที่ไหนเจ้าคะ สามสิบตำลึงทองไม่น้อยเลย ปีก่อนมีคนตกม้ากระดูกหักหลายท่อนเขายังจ่ายเพียงสิบตำลึงทอง หากพวกเรายอมจ่ายสามสิบตำลึงทองแล้ว ท่านรับประกันได้หรือไม่ว่าพี่ชายข้าจะหายเป็นปกติ”

“นังหนู การรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย นอกจากหมอที่รักษาแล้วยังขึ้นอยู่กับตัวคนเจ็บเองด้วย จะให้ข้ารับรองได้อย่างไร” หมอผู้นั้นกล่าว

ไม่ผิด เรื่องนี้ลู่เอินรู้ดี และคงจะหลงเชื่อไปแล้วหากไม่ใช่ท่านหมอผู้นี้มีพฤติกรรมแปลก ๆ ให้เห็นเสียก่อน

ตั้งแต่เขาเข้ามาในบ้านก็ตรงดิ่งไปยังพี่ชายนางที่นอนนิ่งอยู่ทันที ทั้งที่นางก็อยู่และเป็นนางที่นำผ้ามาห่มพี่ชายเอาไว้หลังเช็ดเนื้อเช็ดตัว นางคลุมเขามิดจนถึงคอ ทั้งนางยังนั่งบังส่วนหัวของเขาเอาไว้ด้วย แล้วชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าคนเจ็บคือพี่ชายของนาง

แม้ว่าอาจจะเป็นมารดานางที่เป็นคนบอกในระหว่างทางมา แต่เขาเป็นหมอรักษากระดูก มาถึงกลับจับเพียงชีพจร แตะใบหน้าและลำตัวเล็กน้อยแล้วก็ปรายตามองแผลตรงขาที่นางเอาผ้าพันไว้หลวม ๆ เพียงแค่นั้นเขาก็บอกราคาที่ต้องจ่ายได้คล่องปาก ทั้งราคายังสูงผิดปกติ แทบจะเป็นราคาของหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ นางเคยได้ยินว่าที่เมืองหลวง แค่ตามหมอมีชื่อมาดูอาการหนึ่งครั้งต้องจ่ายมากถึงตำลึงเงิน ค่ารักษาก็คงเป็นหลักตำลึงทอง

แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง และเขาก็ไม่มีทางเป็นหมอเลื่องชื่อมีอันดับของแคว้นแน่!

ดูอย่างไรก็มีพิรุธ ไม่แน่ว่าหมอผู้นี้อาจจะเป็นคนของใครส่งมาก็ได้

“เช่นนั้นข้าขอรู้ชื่อแซ่ของท่านไว้หน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากท่านรักษาพี่ชายของข้าหาย ต่อให้แพงแค่ไหน ข้าก็จะป่าวประกาศสรรเสริญท่านให้รู้กันทั่วว่าสามสิบตำลึงทองสามารถเรียกคืนอนาคตของพี่ชายข้าได้ แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับพี่ข้า หรือมันแย่ลง ข้าก็จะโพนทะนาให้ทั่วว่าจ่ายถึงสามสิบตำลึงทองกลับได้การรักษาแค่พื้น ๆ สุดท้ายเสียทั้งเงินทั้งอนาคตของครอบครัว”

“นี่...” หมอผู้นั้นตะลึงในคราแรกจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโมโห “ดี ดีนัก ถึงกับข่มขู่ข้า เช่นนั้นก็ไปหาคนอื่นมาหรือรักษาเองก็แล้วกัน!” หมอชราลุกขึ้นสะบัดชายชุดหันหลังให้

หลี่หลิงฟางใจตกไปที่พื้น ลู่เอินบีบมือมารดาไว้แน่นแล้วส่ายหน้า ผู้เป็นมารดาจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง

...หรือหมอคนนี้มีปัญหา!

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นก็เชิญท่านกลับไปเถอะ”

หมอชราหันกลับมามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็ฮึดฮัดจากไป


“แล้วจะทำอย่างไรต่อ พี่ชายของเจ้า...”

“ท่านแม่ ข้าเชื่อว่าเราสามารถหาหมอท่านอื่นมารักษาได้ หมอผู้นั้นมีพิรุธ เราอย่าเสี่ยงเลยเจ้าค่ะ หากพี่ใหญ่เป็นอะไรขึ้นมา เราจะทำอย่างไร” ลู่เอินปลอบมารดา

หลี่หลิงฟางรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของบุตรสาว แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยมีท่าทางเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ยิ่งคำพูดคำจาตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ราวกับคนละคนก็ไม่ปาน

นี่ใช่เอินเอ๋อร์ บุตรสาวที่รู้จักแต่กินของนางจริงหรือ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว