หลิ่วลี่เฟย 2 จากนางโลมสำนักโคมเขียวสู่ชายาท่านอ๋อง-๕ คุณชายช่างใหญ่โต

โดย  ชะนีไทย

หลิ่วลี่เฟย 2 จากนางโลมสำนักโคมเขียวสู่ชายาท่านอ๋อง

๕ คุณชายช่างใหญ่โต


ข้าแอบเลิกมุมม่านหน้ากระโจมขึ้น พอเห็นด้านนอกมีทหารยามคอยเฝ้าอยู่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ถ้าหากข้าสามารถเหาะเหินเดินอากาศอย่างอู๋ซวงได้ก็คงดี ในเวลานี้ได้แต่ถอนหายใจ ความสามารถที่ใช้ประโยชน์ได้มีเพียงน้อยนิด!

“คิดอะไรอยู่” มีคนเอ่ยถามขึ้น

ข้าตอบไปว่า “คิดว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”

เมื่อคำพูดหลุดจากปาก ข้าก็นิ่งอึ้งแล้วค่อยๆ หันกลับไป เห็นนัยน์ตาลึกล้ำมีรอยยิ้มแฝงอยู่

“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ คิดก็แล้วกัน” อู๋ซวงเอ่ยล้อเลียน

เมื่อได้ยินคำล้อเลียนของเขา สีหน้าของข้าก็กระอักกระอ่วน กระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“ที่นี่คือกระโจมของข้า” อู๋ซวงตบแขนเสื้อยาวสีครามของตน นั่งลงบนตั่ง

สีหน้าของข้าเปลี่ยนไป “เจ้าอย่าบอกนะว่า คืนนี้เจ้าจะนอนกับข้าที่นี่”

อู๋ซวงหันมายิ้ม “ไม่ได้หรือ”

ข้าตอบว่า “เจ้า...เจ้า...เจ้าไม่รู้หรือว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน”

“จูบก็จูบไปแล้ว เห็นก็เห็นไปจนหมดแล้ว ถ้าบอกว่าอย่าใกล้ชิดกัน ชิ่นซินไม่คิดว่าสายเกินไปหน่อยหรือ”

ข้าถลึงตาใส่เขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่ควรจะชื่ออู๋ซวงที่แปลว่าไร้เทียมทาน แต่ควรชื่ออู๋ฉื่อที่แปลว่าหน้าไม่อายมากกว่า!

แต่อู๋ซวงกลับใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้ายังไม่ได้แต่งงาน ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง”

รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ รับผิดชอบอะไร ใครอยากจะให้เขารับผิดชอบ! เขายังไม่ได้แต่งงานอย่างนั้นหรือ ขอโทษที แต่ข้าแต่งงานแล้ว!

ข้าแค่นเสียงเย็น “ไม่เป็นไร ข้าไม่อาจรับความรับผิดชอบของเจ้าได้ เจ้าเอาตัวข้าไปมัดเอาไว้ที่ไหนสักแห่งยังจะดีกว่า”

อู๋ซวงเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาหรี่ลงมา “อ้อ เจ้าแน่ใจหรือ”

ข้าพยักหน้าอย่างแรง “ใช่แล้ว ยืนยันหนักแน่น!”

อู๋ซวงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นหากออกจากกระโจมนี้ไป หากเจ้าศพไม่สวยแล้วอย่ามาโกรธข้าก็แล้วกัน”

“อะไรนะ” ข้าเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ มองนัยน์ตาวาววามของอู๋ซวงแล้วก็นึกถึงคำเตือนของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ได้

ข้าอดไม่ได้ที่จะคิดเหน็บแนมว่า

พวกเขาเคียดแค้นตวนมู่เช่อที่กระทำต่อแคว้นเฟิงหลีอย่างไร้ความปรานี แล้วแม่ทัพนายกองของแคว้นเฟิงหลีไม่เคยฆ่าฟันราษฎรผู้บริสุทธิ์ของแคว้นมู่หลิวหรืออย่างไร วันนี้พวกเขาทำอะไรตวนมู่เช่อไม่ได้ จึงคิดจะลงที่ข้าแทน

ข้าเปลี่ยนใจ แล้วยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ข้ามาคิดอีกที รู้สึกว่าที่นี่กว้างขวาง ข้าวของก็ดีที่สุด อยู่ที่นี่จะต้องสบายแน่นอน”

อู๋ซวงหัวเราะออกมาเบาๆ “ยืนยันหนักแน่นหรือ”

ข้าตอบอย่างหงุดหงิด “ข้าเปลี่ยนใจไม่ได้หรือย่างไร”

สิ่งที่ตอบข้ากลับมาคือเสียงหัวเราะสดใส


ค่ำคืนเงียบสงบกว่าปกติ

ด้านนอกกระโจมมีเสียงฝีเท้า เสียงเสื้อเกราะกระทบกันดังวุ่นวายมาระลอกแล้วระลอกเล่า ภายในกระโจมกลับมีแต่ความเงียบสงบ มีเพียงเสียงไส้เทียนระเบิดดังเปรี๊ยะๆ เท่านั้น

ข้านั่งอยู่บนเตียงตั่ง สองมือกอดขาไว้ มองอู๋ซวงด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทน

อู๋ซวงนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชา มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือถือตำราพิชัยยุทธ แสงเทียนมัวสลัวทำให้เงาร่างของเขาสะท้อนใหญ่อยู่บนกระโจม โอนเอนไปตามการส่ายไหวของแสงเทียน

ข้ารู้สึกแปลกใจในตัวอู๋ซวงขึ้นมา ความสงสัยเริ่มแผ่ขยายตัวออกไป

ช่วงเวลาที่เขาแฝงตัวอยู่ในหอวสันต์ดั่งใจ เหตุใดจึงไม่มีใครจับเขาได้เลยสักคน

มู่จื่อหมิงเป็นคนที่เคยเข้านอกออกใน เหตุใดจึงไม่พูด เป็นเพราะพูดไม่ได้ หรือว่าไม่อยากพูดกันแน่?

แม้เขาจะบอกว่าตนคือกุนซือของเฟิงเจ๋อซี แต่เหตุใดเฟิงเจ๋อซีถึงได้หวั่นเกรงเขา?

ท่าทางของเขาดูเป็นผู้คงแก่เรียนแต่กลับเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านต่างๆ เขาเชี่ยวชาญในด้านดนตรี คุ้นเคยกับตำราพิชัยยุทธ เขายังมีความสามารถอะไรอีกบ้างกันแน่

ในขณะที่ข้ากำลังจิตใจล่องลอย อู๋ซวงก็เงยหน้าขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อ อาวุธลับชิ้นหนึ่งพุ่งไปที่ยอดกระโจมจนขาดเป็นช่องโหว่ คนชุดดำร่วงลงมา หน้ากากสีขาวมีคำว่า ‘ผี’ สีแดงเป็นประกายอย่างน่าขนลุก

“เป็นพวกลูกกระจอกสำนักภูตผีอีกแล้วหรือ คราวนี้เพื่อนเก่ามาหาข้าเองเลยทีเดียว” อู๋ซวงนั่งนิ่ง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มือซ้ายปัดเส้นผมที่ปรกลงมาเบาๆ สีหน้าเรียบเฉย แต่กลับงดงามล่มเมือง

ทูตลับสำนักภูตผีเอ่ยว่า “อ้อ เจ้ารู้หรือว่าข้าคือใคร”

“เจ้าคอยจับตาดูข้าอยู่นานขนาดนั้น ข้าคิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่าเจ้าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นทูตลับสำนักภูตผีนี่เอง” อู๋ซวงกล่าว

ทูตลับสำนักภูตผีเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”

อู๋ซวงตอบเรียบๆ “กลิ่นหอม กลิ่นดอกเหมยที่ต้องขมขื่นอยู่ท่ามกลางหิมะ คนเราปกปิดรูปลักษณ์ ปกปิดลมหายใจได้ ทว่ากลิ่นกายนั้นจะติดตัวไม่วางวาย ไม่จางหายไปไหน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทูตลับสำนักภูตผีก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ดี! สมแล้วที่เป็นคุณชายอู๋ซวง นอกจากเจ้าสำนัก เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าหลีว์เจี๋ยนับถือได้”

“ตวนมู่เช่อให้ผลประโยชน์อะไรกับพวกเจ้า พวกเจ้าถึงได้ช่วยเหลือเขาเช่นนี้”

“นั่นเป็นเรื่องของท่านเจ้าสำนัก พวกเราไม่เคยถามท่านมาก่อน มีแต่รับคำสั่งเท่านั้น”

อู๋ซวงลุกขึ้นยืน เยื้องย่างมาตรงหน้าข้า รูปร่างสูงใหญ่บดบังแสงเทียนเอาไว้จนใบหน้าของข้าตกอยู่ในเงามืด เขาถามว่า “คำสั่งอะไร”

“สังหารเฟิงเจ๋อซี ช่วยพระชายารุ่ยอ๋อง”

“อ้อ แค่เจ้าเพียงคนเดียวหรือ” อู๋ซวงยิ้มบาง ท่าทางสง่างามเหลือหา

หลีว์เจี๋ยยืนนิ่ง แววตาภายใต้หน้ากากคมกริบราวคมมีด

“ทหาร มีนักฆ่า คุ้มครององค์ชายสาม!” เสียงร้องตะโกนดังมาจากภายนอกกระโจม เสียงอาวุธปะทะกัน เสียงร้องโอดโอย

หลีว์เจี๋ยเอ่ยว่า “คุณชายอู๋ซวง ไม่รีบไปช่วยเจ้านายของเจ้า ไม่กลัวว่าชีวิตของเขาจะเป็นอันตรายหรือ”

ดวงตาของอู๋ซวงหรี่ลงมา เอ่ยราบเรียบว่า “หากคนผู้นี้ตายไป ก็จะเงียบสงบดี”

ข้ากับหลีว์เจี๋ยต่างนิ่งงัน จากนั้นอู๋ซวงก็ยกมือขึ้นวาดไปในอากาศ ข้าก็ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

สีหน้าของหลีว์เจี๋ยเปลี่ยนไป “นักบวชเปี้ยนจี หลี่หยวนชิงเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”

อู๋ซวงตอบว่า “เป็นอาจารย์ของข้า”

ดวงตาของหลีว์เจี๋ยหม่นแสงลง ขาข้างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าครึ่งก้าว มือค่อยๆ จับฝักกระบี่ ทำท่าเตรียมที่จะชักกระบี่ออกมา อู๋ซวงชูมือไว้กลางอากาศ นิ้วทั้งห้างอลงมาเล็กน้อย กระบี่ดำที่แขวนอยู่บนผนังก็พุ่งเข้าใส่มือของเขา

อู๋ซวงเอ่ยว่า “ในเมื่อรู้ว่าอาจารย์ของข้ามาจากสำนักใด แต่ยังจะกล้าสู้กับข้า ไม่รู้ว่ากล้าหาญชาญชัยหรือว่าโง่เขลากันแน่ เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เอง”

ดวงตาของหลีว์เจี๋ยมืดครึ้ม ชี้กระบี่ไปทางอู๋ซวง กระบี่สีดำลอยคว้างอยู่ในอากาศอย่างรวดเร็ว รับการโจมตีของหลีว์เจี๋ยได้ทั้งหมดโดยไม่เสียแรงสักนิด อู๋ซวงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ กระบี่สีดำออกจากฝัก พลิกมือวาดแขน กระบี่สร้างลำแสงสีขาวโพลนขึ้นมากลางอากาศ หลีว์เจี๋ยผงะถอยหลัง นางหลบไม่พ้น หน้ากากสีขาวเขียนคำว่าผีแตกออกเป็นสองเสี่ยง ค่อยๆ ร่วงหล่นลง ใบหน้างดงามดวงหนึ่งปรากฏขึ้น

นางนั่นเอง!

ข้าสูดลมหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง!


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว