บทที่ 1 มาจากฟากฟ้า
เหยียนซีลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงุนงงเมื่อเธอได้ยินเสียงดังที่ข้างหู "หนึ่งตำลึงเงิน ตกลง!"
เสียงนั้นดังเหมือนระฆัง เธอตกใจมาก เมื่อลืมตาขึ้นและเห็น ‘กำแพง’
ถัดจากนั้นเธอก็มองเห็นชายผมดำมีหนวดเครา กำลังหยิบเงินของผู้หญิงคนหนึ่งด้วยมือข้างหนึ่ง และผลักเหยียนซีไปด้านข้างด้วยมืออีกข้าง…
มันเป็นการผลักจริง ๆ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเนื้อหมูบนเขียงและหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
ผู้หญิงคนนั้นเมื่อเห็นว่าตานางยังคงปิดก็พูดขึ้นว่า "เด็กคนนี้?..."
"นางยังไม่ตาย ไม่ต้องห่วง นางแค่หิว! นังเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย พอกินอิ่มก็คิดจะหนีน่ะสิ!" ชายร่างใหญ่ตาคมก้มลงแล้วดึงแขนของเหยียนซีขึ้น "ดูสิ นางลืมตาขึ้นมาแล้ว!"
เหยียนซีถูกฉุดขึ้นมายืนอยู่ระดับเอวของอีกฝ่าย เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดที่มีแต่รอยปะดูน่าสงสาร วัยประมาณสามสิบปี แต่ใบหน้าของนางนั้นค่อนข้างใจดี
ทันทีที่ชายร่างใหญ่ปล่อยร่างของเธอ เหยียนซีต้องการจะยันร่างกายไว้ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่มีแรงเลย ร่างของเธอจึงล้มคะมำไปข้างหน้า ผู้หญิงที่มีใบหน้าใจดีรีบกอดเอาไว้ "ระวัง เดี๋ยวล้ม!"
“ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ นังเด็กที่ข้าขายไปคนนี้ยังไม่เคยได้รับการฝึกฝน ดังนั้นเมื่อซื้อกลับไป เจ้าต้องทุบตีนางสักสองสามครั้งเพื่อทำให้เชื่องเสียก่อน!” ชายร่างใหญ่ยัดกระดาษแผ่นหนึ่งและสอนประสบการณ์การฝึกของเขาที่เคยทำมาก่อนให้อีกฝ่าย "อย่าคิดว่านังนี่ที่ดูเหมือนมีเนื้อไม่เยอะจะรับมือง่ายล่ะ เจ้าต้องตีนางสักสองสามรอบ เพื่อให้เชื่อฟังแล้วจากนั้นนางก็จะพร้อมทำงานในไร่นาให้แก่เจ้า!"
คำพูดเต็มไปด้วยความดุร้ายจนเหยียนซีรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง
สถานการณ์นี้คืออะไรกัน?
เธอทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตการทำงานของเธอ หญิงสาวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของคณะกรรมการตั้งแต่อายุเพียงสามสิบสองปี เธอดื่มไวน์ฉลองอย่างหนักหน่วงหลังจากกลับบ้าน แต่กลับถูกพ่อและแม่เลี้ยงของเธอผลักล้มลงไปกองกับพื้น ทว่าสถานที่ที่เธออยู่เมื่อตื่นขึ้นมากลับไม่ใช่โรงพยาบาล แต่กลับเป็นสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้?
ถนนเต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คน มีบ้านอิฐสีเขียวทั้งเก่าและใหม่อยู่ข้างถนน และมีมืออันอบอุ่นของผู้หญิง... เธอกัดริมฝีปาก ครางออกมาด้วยความเจ็บปวด และในที่สุดหญิงสาวก็เชื่อว่า นี่คือยุคก่อนการปฏิวัติทางการเมือง ยุคก่อนการปลดแอกที่ย้อนเวลาไปกว่าเมื่อพันปีก่อน!
เธอรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อนึกถึงพินัยกรรมที่เขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว
หญิงสาวมองการณ์ไกลเอาไว้แล้ว เธอจึงเขียนพินัยกรรมไว้ว่าจะบริจาคบ้าน รถ และเงินของเธอไปฟรี ๆ...
เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของแม่เลี้ยงหลังจากที่พบว่าตะกร้าไม้ไผ่ว่างเปล่า ผู้หญิงคนนั้นต้องตีโพยตีพายและคลั่งแน่ ๆ อีกทั้งยังมีน้องชายจอมขี้เกียจและพ่อของเธอที่เมื่อขอเงินก็จะทำดีด้วย แต่ถ้าไม่มีเงินให้ เขาก็แทบจะฆ่าเธอให้ตาย...
เมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้ แม้เหยียนซีจะพบว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้กำลังน่าเป็นห่วง เธอก็ยังอยากจะหัวเราะออกมา
สตรีผู้มีใบหน้าใจดีผู้นั้นรู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเหยียนซี นางรู้สึกมีความสุขที่ได้เฝ้าดูอีกฝ่าย นางลูบหัวของเหยียนซีเบา ๆ "เด็กดี เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย ไม่มีใครทุบตีเจ้าอย่างแน่นอน"
หลังจากพูดจบ สตรีนางนั้นก็รับสัญญาซื้อขายจากชายวัยกลางคนมาโดยไม่สนใจคำพูดแปลก ๆ ของชายผู้นั้น ก่อนจะก้มลงอุ้มเหยียนซีและออกจากตลาดไป
การกระทำที่อ่อนโยนของผู้หญิงคนนี้ทำให้เหยียนซีนึกถึงแม่ของเธอในความทรงจำอันแสนห่างไกล ตอนที่เธอป่วยเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แม่ของเหยียนซีมักจะแบกเธอไว้บนหลังเช่นนี้... เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงและแนบหน้าบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย
เมื่ออายุได้หกขวบแม่ของเธอก็เสียชีวิต จากนั้นก็ไม่มีใครแบกเธอขึ้นหลังอีกเลย ชั่วขณะหนึ่ง เธอคิดด้วยซ้ำว่าแม้เธอจะถูกขายเป็นทาส ตราบใดที่ป้าคนนี้ยังใจดีอยู่เช่นนี้ เธอก็จะเต็มใจอยู่กับป้าคนนี้ต่อไป
สตรีผู้มีใบหน้าใจดีแบกร่างของเด็กหญิงไว้บนหลัง นางเหนื่อยมากจนหอบไม่ยอมหยุด แต่ก็ยังกัดฟันเดินไปจนสุดทาง
นางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และมาถึงบ้านหลังคามุงกระเบื้องเก่า ๆ หลังหนึ่ง มีกลิ่นกำยานโชยออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจะเห็นควันลอยออกมาจากลานบ้าน เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นและกระโดดลงไป "ไฟไหม้หรือ ไฟไหม้!"
สตรีนางนั้นไม่ได้ตั้งตัว จึงปล่อยให้เด็กหญิงกระโดดลงไป และเมื่อได้ยินเสียงตะโกน นางก็รีบปิดปากอีกฝ่าย "อย่าพูดไร้สาระ ที่เห็นข้างในท่านเทพธิดาเป็นคนทำมันเอง"
ขณะที่พูด นางก็ดึงตัวเหยียนซีเอาไว้และผลักประตูเดินเข้าไป จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงไอดังออกมาจากห้อง นางจึงปล่อยมือของเหยียนซีและตะโกนเข้าไปในห้องว่า "เอ้อร์หลาง เอ้อร์หลาง แม่กลับมาแล้ว!"
เหยียนซีที่ยืนอยู่ในลานบ้านตระหนักได้ว่าควันที่เธอคิดว่าเกิดจากไฟไหม้นั้น แท้จริงแล้วมาจากการจุดธูปประมาณกำมือหนึ่งบนโต๊ะหิน
ลานบ้านเต็มไปด้วยหมอกควันและเครื่องรางของขลังแปะอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีหัวหมูใหญ่อยู่บนโต๊ะหินตรงกลางและกระถางธูปขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังหัวหมูที่ไหม้ไปมากแล้ว ไม่สิ ควรจะเรียกว่าธูปกำใหญ่ในกระถางธูปที่ไหม้ไปแล้วมากกว่า
ควันอบอวลไปทั่วทั้งลานบ้าน แม้จะอยู่ด้านนอกก็ยังได้กลิ่น ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายจมูก นอกจากนี้ยังมีไก่ดำตัวใหญ่อยู่ใต้โต๊ะหิน มีคราบเลือดทั้งบนพื้น บนผนัง และแม้กระทั่งบนประตูไม้ด้านหลังเธอ
หากนี่ไม่ใช่ภาพลวงตา มันก็เป็นฉากฆาตกรรมชัด ๆ
หลังลงจากแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้น เหยียนซีก็เงียบขรึมลงเช่นกัน ในสมัยโบราณการเป็นทาสหรือนางกำนัลไม่ใช่เรื่องดี ชีวิตของมนุษย์ในยุคโบราณนั้นไร้ค่า ต้องรอจนกว่าถึงยุครุ่งเรืองเท่านั้นจึงจะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่อนุญาตให้ทรมานทาสอีกต่อไป
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายของผู้หญิงและการตกแต่งบ้านแล้ว นางดูไม่เหมือนครอบครัวที่ร่ำรวยสักนิด
หนึ่งตำลึงเงินไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยเลย แล้วทำไมป้าคนนี้ถึงซื้อตัวเธอกลับมากัน?
ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เธอควรจะฉวยโอกาสนี้หนีดีไหมนะ?
ขณะที่หญิงสาวในร่างเด็กหญิงกำลังจะหันกลับหลัง เท้าของเธอก็เดินกะเผลก ถ้าไม่ยื่นมือไปจับโต๊ะหินเอาไว้ เธอก็คงล้มลงกับพื้นไปแล้ว ไม่มีทางหนีได้เลย และเธอคงจะถูกจับได้ก่อนจะวิ่งพ้นจากหมู่บ้านด้วยซ้ำ อีกทั้งร่างกายนี้ก็หิวโหยเสียจนไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อน
เมื่อนึกถึงความหิวที่ปรากฏเด่นชัดนี้ กลิ่นของหัวหมูบนโต๊ะก็แรงขึ้นในทันที ซึ่งมันดึงดูดสายตาของเหยียนซีได้เป็นอย่างดี เนื้อหัวหมูตุ๋น หูหมูเย็น ลิ้นหมูเย็น... แม้แต่กระดูกก็สามารถนำไปใช้ทำซุปได้
เมื่อเด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหาหัวหมู ร่างคนที่มีเอวโก่งและถือกระดิ่งอยู่ในมือ ดูคล้ายกับแม่หมอก็ตะโกนว่า "เจ้ากำลังทำอะไร!"
จากประตูไปยังโต๊ะหินมีระยะทางประมาณสองจั้ง แม่หมอก้าวไปที่โต๊ะหินสามก้าวแล้วคว้ามือของเหยียนซีเอาไว้
“ข้า...ข้าเห็นขี้เถ้าตกอยู่บนนั้น” เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็รีบหาข้ออ้าง หากหญิงคนนี้รู้ว่าเธอจงใจหยิบเครื่องเซ่นมากินละก็ ไม่ว่าจะเป็นคนใจดีแค่ไหนก็คงไม่ให้อภัยเธอแน่ ๆ
ทว่าในเวลาเดียวกัน ท้องน้อย ๆ ก็ส่งเสียงคำรามประท้วง จนเหยียนซีลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ทันใดนั้น สตรีคนที่ซื้อเหยียนซีมาก็เดินเข้ามาหาเมื่อได้ยินเสียงท้องร้อง นางหยิบแป้งอบชิ้นหนาที่มีสีดำเล็กน้อยยื่นให้ "เด็กน้อย เจ้าควรกินนี่ก่อน"
เหยียนซีต้องการจะปฏิเสธในตอนแรก แต่มือของเธอดูจะมีสติปัญญาของมันเอง ก่อนที่เธอจะตอบสนอง มันก็ได้คว้าแป้งอบไปแล้ว หญิงสาวมีเวลาเพียงพูดว่า "ขอบคุณ" ด้วยเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นจึงยัดแป้งอบเข้าปากอย่างรีบร้อน
ทว่าแป้งอบนี้แข็งเกินไป เธอจึงกัดไม่เข้า และทำได้เพียงแทะทีละน้อยเหมือนกับหนู จากนั้นค่อยคาบมันไว้ในปาก รอจนกว่าแผ่นเนื้อแข็งจะอ่อนนุ่มลง แล้วจึงกลืนเข้าไปหนึ่งคำ
"เซียนกู ดูสิ นี่คือเด็กที่ข้าพามา" น้ำเสียงของผู้หญิงที่ซื้อเหยียนซีมาดูมีความสุขมาก "ท่านไม่ได้บอกหรือว่า หากข้าหาเด็กหญิงมาทำพิธีแก้เคล็ดขจัดเสนียดจัญไรให้ลูกชายของข้าได้ ข้าจะมีความสุขและลูกของข้าจะรอด"