เรือนฉางกวาง (NC)-บทที่ 1 เรือนฉางกวาง

โดย  อาลี่ ( 阿丽 )

เรือนฉางกวาง (NC)

บทที่ 1 เรือนฉางกวาง

บทที่ 1

เรือนฉางกวาง


“ประสกนั่งลงเถิด”



หรั่นจิ้วซิวเลิกคิ้วเล็กน้อยมองดูภิกษุหัวโล้นวับแววสะท้อนกับแสงเทียนในอาราม กลิ่นเครื่องหอมเบาบางลอยกรุ่น เป็นเครื่องหอมที่ทำให้จิตใจสงบนิ่งเท่านั้น หรั่นจิ้วซิวละความสนใจจากกลิ่นของเครื่องหอม ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหลวมกว้างหยิบเอาพัดหยกออกมา สะพัดคลี่พัดออกพร้อมกวักลมเข้าหาตัวเร็วรี่ ย่นจมูกพัดเอากลิ่นหอมนั้นให้ออกห่างจากจมูกตนเอง มองซงฮุ่ยต้าซือ1พระอาจารย์ใหญ่ของวัดจวงลั่วด้วยแววตาเย้ยหยัน สะบัดอาภรณ์ตัวยาวไปด้านหลังก่อนนั่งลงบนเบาะรองด้วยท่วงท่ากรีดกราย



“ซงฮุ่ยต้าซือ เป็นภิกษุทรงญาณขั้นสูงน้อยนักที่จะยินยอมพบผู้ใด แม้แต่ต้าอ๋องมาพบด้วยตนเองก็ไม่อาจได้พบนี่เป็นวาสนาของข้าจริงๆ ”



หรั่นจิ้วซิวเผยรอยยิ้มลี้ลับ เอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนสะบัดพัดหุบลงฟาดตีเข้ากับฝ่ามือ ท่าทางเหมือนนึกสิ่งใดขึ้นได้ แสร้งอุทานเสียงเบา



“อา... เช่นนี้นี่เองเข้าใจแล้ว หากต้าอ๋องรู้ว่ามีเงินเพียงสองหมื่นตำลึงทองพกอยู่ในถุงเงินจึงสามารถเข้าพบซงฮุ่ยต้าซือผู้ยิ่งใหญ่ได้มีหวังต้องรีบวิ่งแจ้นมาหาจนแม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวมเป็นแน่”



หรั่นจิ้วซิวเอ่ยพลางหัวร่อออกมาด้วยความขบขัน เสียงหัวเราะนั้นคล้ายกับน่าขบขันเสียงเต็มประดา หัวเราะอยู่พักใหญ่จนเสียงก้องสะท้อนอยู่ในอาราม เมื่อหัวเราะจนพอใจจึงสะบัดพัดคลี่ออกปิดบังรอยยิ้ม กระแอมไอออกมา



“เผลอตัวไป ต้าซืออย่าได้ถือสา”



ซงฮุ่ยต้าซือใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มบางๆ มองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตายากหยั่งถึงซ้ำแววตานั้นคล้ายกับมีความเวทนาอยู่หลายส่วน ก่อนหลุบตาลงมองมู่อวี๋2 ขยับปลายนิ้วลูบประคำในมือเอ่ยถามด้วยความนุ่มนวล



“ประสกหรั่นคล้ายมีความในใจ”



“ไม่มีหรอก ช่วงนี้ข้าว่างอยู่พอดีได้ยินถึงชื่อเสียงของต้าซือจึงอยากรู้นักว่าไฉนผู้คนถึงกล่าวขานว่าพบได้ยากเย็นนัก แท้จริงแล้วต้าซือใช่เข้าพบยากแต่เพราะคนพวกนั้นยากจนเกินไปต่างหากเล่า ต้าอ๋องก็เหลือเกิน อารามใหญ่โตเพียงนี้คิดจะมาโดยไม่จ่ายเงินสักตำลึงเลยหรือไร นี่อารามหาใช่โรงทานเสียหน่อย”



หรั่นจิ้วซิวเอ่ยพลางสะบัดพัดอย่างเรื่อยเฉื่อย หางตาลองมองต้าซือตรงหน้าว่ามีปฏิกิริยาเช่นไร แต่ก็ต้องลอบผิดหวังเล็กน้อยเมื่อซงฮุ่ยต้าซือยังคงมีรอยยิ้มประดับ หันมองกระถางเตากำยานสามขารูปเต่ามุมห้อง ร้องลั่นด้วยความพออกพอใจ



“กระถางกำยานนั้นดูดีไม่เลว ต้าซือคิดขายต่อให้ข้าหรือไม่ กระถางนั้นดูแล้วก็คงห้าพันตำลึงได้ ดูเหมาะแก่การ...”



“ดวงตาแม้ดูสดใสแต่รอบกายคล้ายมีความหม่นหมองมืดมน ประสกต้องการเครื่องรางหรือปัดเป่า”



หรั่นจิ้วซิวไม่ทันได้เอ่ยบอกว่าจะเอากระถางกำยานนั้นไปไว้ในห้องขับถ่ายที่เรือนฉางกวาง ซงฮุ่ยต้าซือกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน เขานิ่งเล็กน้อยใบหน้าที่รื่นเริงไม่ทุกข์ร้อนแปรเปลี่ยนไปในพริบตา



“เอ่ยตามตรงข้าไม่ได้ต้องการมาพบท่าน กลิ่นอายดำมืดนี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ ข้าไม่ต้องการทั้งเครื่องรางและปัดเป่า วันๆ หนึ่งข้าเฆี่ยนคนไม่น้อย สั่งโบยจนตายก็ไม่น้อยเช่นกัน การบีบคั้นให้ผู้อื่นตายก็ล้วนทำอยู่ทุกวัน กิจการของข้าต้าซือไม่รับรู้หรือ” หรั่นจิ้วซิวแสร้งเบิกตาโต เคาะพัดกับฝ่ามือดั่งรอคอยคำตอบ เมื่อเห็นว่าไร้วาจาหลุดออกจากริมฝีปากของซงฮุ่ยต้าซือ จึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ



“เรือนฉางกวางของข้าโด่งดังทั่วหล้า ข้าทาสบ่าวไพร่ บุรุษสตรี ไม่ว่าจะน่าเกลียดหรือโฉมงามสะท้านแผ่นดิน หากมีเงินข้าก็หาได้ให้ ต้องการแบบได้ข้าก็ล้วนฝึกได้ ต่อให้พยศดื้อรั้นเช่นม้าป่าแต่เมื่อผ่านมือข้าแล้วย่อมต้องส่งมอบลูกกระต่ายให้ผู้ซื้อ วันหนึ่งข้าขายทาส ขายสตรี ขายบุรุษ รวมแล้วหลายร้อยชีวิต ต้าซือไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งไม่รู้กันแน่”



หรั่นจิ้วซิวถูปลายนิ้วไปมาดั่งมีฝุ่นผงติด ก่อนเป่าเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกสากระคายบนปลายนิ้วหายไป ใบหน้าที่เงยขึ้นฉาบไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสไม่แม้แต่จะหลงเหลือความเรียบเฉยเย็นชา แม้ใบหน้าจะเป็นเช่นนี้แต่ดวงตากลับหาได้ยกยิ้มเช่นริมฝีปาก



“อมิตาพุทธ”



หรั่นจิ้วซิวเห็นซงฮุ่ยต้าซือหลับตาลงก็ไม่คิดจะสนทนาต่อ หยัดกายลุกขึ้นจากเบาะรองนั่ง หมุนกายกลับคิดจะเดินออกไปก้าวเดินได้เพียงสามก้าวเสียงของซงฮุ่ยต้าซือก็ดังขึ้นอีกคราด้านหลัง



“เมื่อเหมันตฤดูมาถึง ดวงดาวทิศเหนือส่องประกาย กลุ่มดาวหนี่ส่องแสงจรัสจ้า สว่างหรือไม่สว่าง มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็สุดแท้แล้วแต่วาสนา หากโชคดีประสกหรั่นอาจได้พบกับทางสว่าง”



หรั่นจิ้วซิวได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก เดินตรงออกจากอารามโดยไม่เหลี่ยวหลังกลับมอง เดิมทีก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับซงฮุ่ยต้าซือ เพียงแค่อยากจะมาดูตามคำเล่าลือว่าเป็นจริงหรือไม่ ซงฮุ่ยต้าซือผู้นี้ก็ดู... เหมือนภิกษุหัวโลนทั่วไป หากได้ดูเปี่ยมรัศมีหรือพิเศษกว่าปุถุชนคนธรรมดาเท่าใดนัก



ยามที่หรั่นจิ้วซิวเดินออกจากอารามขึ้นเกี้ยวอันวิจิตรก็อดไม่ได้ที่จะมองเบื้องหน้า บันไดทอดยาวนับร้อยขั้นขึ้นสู่ประตูวัดจวงลั่ว แสงอรุณสีส้มแดงยามเย็นที่พาดผ่านประตูทางเข้าอาบไล้จนส่องประกายเรือรองทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนหันหน้ากลับ เอ่ยเสียงเรียบ



“ไปได้”



“นายท่านเจ้าคะ”



หรั่นจิ้วซิวหันมองตามเสียงเรียกก็เห็นปล้องยาสูบ จึงยื่นหน้าเข้าไป เมื่อสาวใช้ข้างกายจุดยาสูบก็สูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ ยามที่ขบวนเกี้ยวเคลื่อนตัววาจาของซงฮุ่ยต้าซือก็คล้ายจะไม่หลงเหลืออยู่ในสมอง





“อาจารย์ หรั่นจิ้วซิวผู้นั้น...”



ซงฮุ่ยต้าซือหันมองศิษย์ที่ยืนตัวแข็งทื่อสองตาแดงก่ำด้วยความกรุ่นโกรธและความเจ็บช้ำก็ยิ้มพลางส่ายหัวช้าๆ อย่างไม่ถือความ มือยังคงถูประคำไม้หลับตาลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ



“น่าเวทนา”





กลิ่นหอมของเครื่องหอมและกลิ่นอบร่ำอาภรณ์ลอยฟุ้งทั่วถนนลั่วเยียน เสียงหัวเราะแววหวานของสตรีและบุรุษผสานเคล้าด้วยเสียงของดนตรีที่บรรเลงคลอ บรรยากาศคึกคักอวลด้วยกลิ่นอายแห่งความรื่นรมณ์ โคมแดงถูกแขวนขึ้นสาดส่องความสว่างไสวดุจยามเที่ยงวัน เมื่อสายลมพัดไหวก็ทำให้โคมที่ถูกแขวนไว้ส่ายตามสายลม ความงามในถนนลั่วเยียนคล้ายระลอกคลื่นน้ำสีแดงที่ส่องประกายล้อแสงจันทร์ในยามราตรี



ทุกแห่งหนล้วนต้องมีจุดศูนย์กลางอันรุ่งเรือง เฉกเช่นใต้หล้านี้ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวง หากถนนลั่วเยียนเป็นใต้หล้า เมืองหลวงของถนนลั่วเยียนย่อมหนีไม่พ้นเรือนฉางกวาง



แม้เรียกขานว่าเรือนฉางกวางแต่แท้จริงแล้วหาใช่เรือนเล็กๆ ตามคำเรียกขาน เรือนฉางกวางนับเป็นเรือนที่มีกิจการดำมืดหลากหลาย ทั้งค้าทาส หอคณิกา แม้แต่หอชมบุรุษหรือหอสำหรับผู้ที่ชมชอบหลงหยาง3 เรือนฉางกวางก็ล้วนมีไว้รองรับทั้งสิ้น เรือนฉางกวางแทบจะยึดครองตรอกหนึ่งในถนนลั่วเยียน



กิจการทั้งสี่ของเรือนฉางกวางถูกเรียกขานแบ่งออกไปเป็นสี่ทิศ เรียบเรียงตามลำดับที่เอ่ยขาน เรือนฉางกวางทิศเหนือมีไว้สำหรับผู้ที่ต้องการทาสและบ่าวไพร่ การค้ามนุษย์ที่ธรรมดาๆ มีหรือที่จะสามารถเป็นกิจการของเรือนฉางกวางได้ การค้าทาสของเรือนฉางกวางนี้พิเศษ ไม่ว่าอยากได้แบบงดงามโฉมสะคราญ ต้องการดวงตาสีฟ้าสดใสเช่นชาวหู หรือบุรุษร่างกายกำยำกว่าเก้าฉื่อ เรือนฉางกวางทิศเหนือนี่ก็สามารถสรรหามาได้หากเงินถึง แต่หากต้องการให้ทาสจากเรือนฉางกวางต้องการฝึกฝนให้เป็นหญิงบำเรอมากตัณหาหรือให้เป็นเพียงของเล่นที่ทนไม้ทนมือสักหน่อย เรือนฉางกวางก็สามารถเช่นกัน... ขอเพียงแค่มีเงิน



ส่วนเรือนฉางกวางทิศตะวันออกนั้นเป็นหอคณิกา หอคณิกาสำหรับเรือนฉางกวางแล้วนั้นมิใช่หอที่มีอีจี้4 หรือเซ่อจี้5 สำหรับหรั่นจิ้วซิวแล้ว คณิกาก็คือคณิกา ต่อให้เป็นคณิกาที่รับแขกมามากมายเพียงไร ต่อให้มีทั้งวิธีบนเตียงที่เผ็ดร้อนเพียงใดสุดท้ายก็เป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องกระทำในทุกวัน อาหารกินซ้ำๆ ย่อมต้องเบื่อหน่าย นานวันเขาก็ปรนนิบัติแขกเหรื่อด้วยความชืดชาไร้รสชาติ แต่สำหรับเรือนฉางกวางทิศตะวันออกนี่ สามารถให้สิ่งที่อีจี้และเซ่อจี้ที่หออื่นไม่มี คือความบ้าคลั่ง...



สตรีในเรือนฉางกวางทิศตะวันออกล้วนเป็นเหล่าสตรีมากตัณหา ชมชอบในรสสวาทและหิวกระหายในราคะโดยไม่รู้หน่าย ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟบรรลัยกัลป์ ไม่ว่าจะรุนแรงเพียงใดวิปริตถึงขั้นไหนก็ล้วนมีให้ แต่มีเงินไขเล็กๆ เพียงสองข้อ หนึ่งต้องเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ซึ่งน้อยครั้งนักที่คณิกาแห่งเรือนฉางกวางจะเอ่ยปฎิเสธ ที่อื้ออึงเลื่องลือที่สุดก็คง... กับพยัคฆ์กลัดมัน และเงื่อนไขที่สอง... ต้องเงินถึง


เรือนฉางกวางทิศใต้เป็นหอชมบุรุษมีไว้สำหรับสตรีที่ต้องการสหายร่วมร่ำสุราในยามทุกข์ใจ หรือต้องการอ้อมกอดอบอุ่นในยามเหน็บหนาว หากจะกล่าวว่าบุรุษในหอชมบุรุษนี้มีหน้าที่คล้ายอีจี้ก็ไม่เกินเลยสักเท่าใดนัก ล้วนคอยดูแลสตรีในยามเปลี่ยวเหงาเท่านั้น ดูแลเช่นสหายแต่หากต้องการมากกว่านี้ก็ต้องเร่งเอาใจและส่งของขวัญ ทำทุกประการเช่นเดียวกับการซื้อใจเหล่าอีจี้ แต่ส่วนมากแล้วพวกนางก็อยากได้เพียงแค่คนปรับทุกข์เท่านั้น หากต้องการสัมพันธ์เร่าร้อนทางกายก็ล้วนมุ่งไปยังเรือนฉางกวางทิศเหนือ ซื้อทาสหน้าตาใช้ได้สักหลายคนไว้ปรนนิบัติบนเตียง แต่การจะนำไปใช้งานในสถานที่ใด... เรื่องนี้เรือนฉางกวางล้วนไม่เกี่ยวข้อง



และสุดท้ายเรือนฉางกวางทิศตะวันตกนั้นเป็นหอสำหรับผู้ที่ชมชอบเหล่าหลงหยาง มองผิวเผินจากประตูหน้าของเรือนฉางกวางทิศตะวันตกดูจะเงียบเหงาผิดวิสัยเรือนอื่นๆ จากทั้งสามทิศ แต่แท้จริงแล้วผู้ใดไหนเลยจะหารู้ หากมิใช่เป็นลูกค้าพิเศษและลูกค้าประจำไหนเลยจะสามารถคล้ำทางเข้าไปได้ เรือนฉางกวางทิศตะวันตกนี้ส่วนมากแล้วจะถูกเล่าแบบปากต่อปาก จำต้องเป็นคนที่เคยเข้ามาใช้จึงสามารถแนะนำต่อให้กับสหายและผู้ที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน ซ้ำเรือนทิศนี้ส่วนมากแล้วก็มีผู้สูงศักดิ์แวะเวียนเสียด้วย มีพวกที่ทั้งอยากลิ้มลองอะไรแปลกใหม่และทั้งแบบที่รักใคร่ปักใจ



เรือนฉางกวางทั้งสี่ทิศนี้ไม่มีทิศไหนที่ไม่โสมม ไม่มีทิศไหนที่ไม่สกปรก ไม่มีทิศใดที่ไม่มีกลิ่นคาวอบอวล ไม่มีทิศใดเลยที่จะไร้หยดน้ำตาและคาวโลหิต



เรือนทั้งสี่ทิศสกปรกดำมืดเพียงนี้



… แล้วผู้ดูแลใหญ่ของทั้งเรือนทั้งสี่ทิศเช่นหรั่นจิ้วซิวจะขาวสะอาดไร้มลทินได้อย่างไร?




_____________________________________________________________________________________

ต้าซือ1เป็นคำเรียกขานภิกษุสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่และใช้กับนักบวชผู้เป็นที่เคารพนับถือ

มู่อวี๋2 ปลาไม้

หลงหยาง3 คือชื่อชายคนรักของเว่ยอ๋องในยุคจั๋นกว๋อ เปรียบเปรยถึงชายรักชาย

อี้จี้4 หญิงที่ขายศิลปะไม่ได้ขายเรือนร่างเป็นหลัก

เซ่อจี้5 หญิงคณิกา

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว