กลยุทธ์ที่ 6 อัญมณีที่หายไป
ที่เมืองหลวงดราก้อนฟอร์ซ ณ ปราสาทที่อดัมขอพักอยู่ด้วยกันกับตัวราชา คนมากมายต่างพากันวิ่งวุ่นหาสิ่งของที่หายไปตามทุกซอกทุกมุมของตัวปราสาท บางคนถึงขนาดใช้สกิลในการค้นหาเพื่อหาสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ไม่พบวี่แววหรือแม้แต่ร่องรอยของของสิ่งนั้นเลย
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมันนั้นยังอยู่ที่ปราสาทนี้ ทว่าอยู่ดีดีมันกลับหายไปในช่วงเวลาไหนก็ไม่รู้ทำให้คนทั้งกิลด์ไวน์ไนซ์ต้องค้นหามัน เพราะพวกเขารับเควสปกป้องปราสาทนี้อยู่เพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำให้ของหายหรือของพังลงได้มันจะส่งผลต่อความเชื่อถือของราชา และหากของที่หายไปเป็นของราคาถูกๆ พวกเขาก็พอที่จะถูไถออกเงินให้ก่อนล่วงหน้าได้ แต่ของที่หายไปนั้นกลับมีมูลค่าสูงเป็นอันมากมากซะจนไม่มีอะไรมาแทนที่มันได้
ดูเผินๆ มันอาจจะเป็นอัญมณีธรรมดาแต่มันนั้นเป็น 1 ใน 5 อัญมณีทรงพลังที่สุดของเกมนี้ที่ราชาของทุกอาณาจักรมีไว้ครอบครองเพื่อคานอำนาจซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าหากขาดสิ่งนี้ละก็สุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลายของทั้งอาณาจักร การตามหามันขณะนี้อดัมจึงไม่อาจทำให้ข่าวมันรั่วไหลออกไปได้
อดัมคิดว่าตัวเองเก็บรักษามันเอาไว้ดีในฐานะที่ตนเองรับเควสมาจากมือของราชาโดยตรงแล้ว ถึงอย่างนั้นในวันนี้พอถึงเวลาเปิดตู้เซฟที่ไม่อาจมีใครปลดล็อกได้มันกลับหายไปจากด้านใน ความผิดพลาดนี้เขาไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ เขาลำเลียงภาพของคนที่เขาเชิญเข้าไปในห้องระหว่างนั้นคนต่อคนก่อนจะพูดขึ้นมากับทัสด์
“ทัสด์!! ”
ในขณะที่เมืองหลวงเกิดความวุ่นวายภายใน ที่เมืองเริ่มต้นของอาณาจักรเองก็มีความวุ่นวายเช่นกัน
การต่อสู้ที่ดุเดือดดำเนินมากว่าค่อนวันแล้วทำให้เหลือคนที่ยืนอยู่ไม่ถึงสิบคนขณะนี้ และ 1 ในนั้นก็คือชายที่มีนามว่า “ทวน” ชายร่างใหญ่ที่เคยคิดจะสังหารเขาก่อนหน้า
“....”
จักรพรรดิมองการต่อสู้ไม่หยุดสลับกับมองอัญมณีที่ตัวเองจิ๊กมาจากห้องของอดัมอย่างไม่เบื่อหน่าย อัญมณีสีแดงเข้มรูปไข่ขนาดเท่ากำปั้น ยิ่งเขามองมันเข้าไปลึกๆ ก็เหมือนกับถูกมนต์สะกดของมันจนหยุดมองไม่ได้ แต่พอคิดได้ว่าเกือบพูดว่า
“ของรักของข้า” เขาก็โยนมันเข้าหน้าต่างระบบไป
ไหนๆ ก็ไปท่องเที่ยวทั้งทีจักรพรรดิไม่คิดไปอย่างสูญเปล่าอยู่แล้วพออดัมเผลอแวบนึงในขณะที่เขารู้ว่ามีเซฟพิเศษอยู่ใต้รูปภาพเขาก็ฉวยโอกาสหาเงินทุนตั้งตัวจากอดัมซะเลย โชคดีจริงๆ ที่มันเป็นเซฟแบบเดียวกับของซิลเวอร์ และเขาก็มักจะงัดมันบ่อยๆ เพื่อเอาเงินไปโปรยทานเล่น และพอถูกงัดได้ทุกๆ ครั้งเซฟก็จะมีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้นเหมือนเป็นการท้าทาย จักรพรรดิเลยไม่คิดย่อท้องัดมันจนได้อีก จนมันเป็นเสมือนเกมของเขาและซิลเวอร์ระยะเวลานึงเลยก็ว่าได้ที่อีกฝ่ายนึงป้องกันอีกฝ่ายนึงโจมตี?
เซฟของอดัมถือว่าแน่นหนาแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับเซฟของซิลเวอร์ ยิ่งคิดถึงช่วงเวลาที่ตื่นเต้นนั้นจักรพรรดิยิ่งรู้สึกเป็นสุขขึ้นมานิดๆ จนกลับมาจากภาพความคิดและช่วงเวลาที่เคยต่อสู้กับซิลเวอร์?
แม้จะแข็งแกร่งแต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาพอสมควรเลือดของทวนจึงลดเหลือเพียง 25% แถมมิหนำซ้ำในตอนนี้เอไอทุกคนก็ได้จับมือกันเพื่อโค่นล้มเขาทำให้การต่อสู้ของเขาดูตึงมือขึ้นไปอีก
ว่าที่ผู้รับใช้ของจักรพรรดิ 6 คนล้อมตัวทวนเอาไว้ในรูปขบวนรบที่มองออกอย่างไม่ยากนัก 2 นักรบแนวหน้า 1 นักธนูแนวหลัง 1 มือปืนไกลมาอีกนิด 1 นักเวทไกลที่สุด และสุดท้ายนักฆ่าที่ยืนตรงกันข้ามกับพวกนักรบตำแหน่งด้านหลังทวน
‘อีกนิดเดียว...’ เลือดเหลือ 25% ไม่น่ากลัวสำหรับทวนเท่ามานาของเขาที่หมดลงแล้ว จะใช้สกิลเล่นงานคนพวกนี้ที่ยังเหลือมานาอยู่ก็ไม่ได้ เขาในตอนนี้เหลือเพียงแค่พลังใจและท่วงท่าในมือ
“เอาเลย!!! ” นักรบคนนึงตะโกนถือขวานเล่มโตเข้ามาเล่นงานทวน ทวนยกโล่ป้องกันก่อนจะเบนโล่ไปป้องกันดาบของอีกคนที่เข้ามา ไม่ทันให้ทวนได้ทำอะไรต่อลูกธนูก็แฉลบมาโดนขาของทวนทำให้เขาชะงัก ปืนยิงสวนมาอีกทำให้ทวนต้องยกโล่ขณะคุกเข่าขึ้นมากัน แล้วพอคิดจะเงื้อดาบฟันออกไปนักเวทก็ร่ายมนตร์ทำให้นักรบทั้ง 2 ลอยตัวหลบดาบเล่มใหญ่ของเขาอย่างไม่ยาก สุดท้าย
“!!!? ” นักฆ่าจากด้านหลังทวนเข้ามาทำดาเมจจนเลือดเขาลดเหลือ 20% ทันที
พอเหวี่ยงดาบด้วยความโกรธธนูและปืนก็ได้ยิงสู่ร่างของเขาเรื่อยๆ จนเลือดเหลือ 15%
“ไอ้พวกหมาหมู่! ” เขากัดฟันพูดขึ้นก่อนจะมองไปที่จักรพรรดิ ทว่าจักรพรรดิกลับไม่สนเขาเลย
“เหลืออีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นฉันก็จะได้ผู้รับใช้ที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นอย่างที่ฉันต้องการ พยายามเข้าพวกนาย!!! ”
“ไม่เห็นเป็นอย่างที่ท่านพูดเลยสักนิด...ไอ้พวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย ใช้แค่วิธีขี้ขลาดแล้วก็สกปรกมาทำร้ายข้า นี่นะเหรอนักรบ?” ทวนสวนกลับมา
1 ในนั้นพูดแทนทุกคน
“การต่อสู้มีแค่แพ้ชนะ เจ้ากล้ามโตไร้สมองอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร”
ทวนได้แต่กัดฟันขณะนั้นเองจักรพรรดิก็อดพูดไม่ได้
“ใช่แล้วการต่อสู้มีแค่แพ้แล้วก็ชนะ เกียรติ ศักดิ์ศรี ของพวกนั้นมันไม่สามารถเอาชีวิตรอดในระหว่างการต่อสู้จริงๆ ได้หรอกมันเป็นแค่ผลพลอยได้ ฉันเข้าใจว่านายทำแบบเจ้าพวกนี้ไม่ได้ แต่นี่ล่ะคือการต่อสู้ของนาย ถ้าไม่ชนะก็จบลงเพียงเท่านี้แต่ถ้าชนะละก็นายจะกลายเป็นยอดนักรบ และไม่ว่ากี่ครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นายก็จะไม่หวั่นเกรง”
ทวนสงบลงเมื่อได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิพูด
“งั้นข้าควรจะทำยังไงให้ชนะเจ้าคนพวกนี้ล่ะนายท่าน”
“ฮือ...การตัดสินยังไม่ออกมาเลยนะ นายเรียกฉันว่านายท่านแล้วเหรอ?”
จักรพรรดิยิ้มพูดออกไปก่อนจะมีเสียงค้านต่อเหล่าว่าที่ผู้รับใช้ของเขา
“ใช่แล้ว” “พวกเราต่างหากที่ต้องชนะ” “ไม่ใช่ฉันต่างหาก” “ฉัน! ” “ฉัน!! ”
“การต่อสู้ของตัวเองตัวเองก็ต้องคิดเอาเองซี่ ทำไมพวกนั้นถึงจัดขบวนรูปแบบนั้น ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงไม่โจมตีต่อเนื่องนานๆ ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงร่วมมือกัน”
พูดจบจักรพรรดิที่เริ่มหิวก็ได้เรียกโต๊ะที่พับขาได้ในหน้าต่างระบบออกมา เอาข้าวขึ้นมากินพร้อมกับวางขวดน้ำไว้ข้างๆ
“.....” ทวนที่มีแต่อารมณ์พลุกพล่านสงบจิตของตัวเองคิดในขณะที่ยังมีเวลา สายตาของเขามองหน้าคนทุกคนแล้วคิดแล้วคิดอีกก่อนการปะทะจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาตั้งรับขบวนท่าและสกิลทั้งหมดได้มีแค่ค่าดาเมจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เล่นงานเขา ทว่าพอเห็นทวนคิดและสงบขึ้นพวกนั้นก็เร่งรีบมากขึ้นบุกเล่นงานจนไม่ให้ทวนหายใจ แม้จะป้องกันได้มากขึ้นแต่พอเวลาผ่านไปนานๆ เข้าเลือดของทวนก็เหลือเพียง 10% เท่ากับเฉียดตายไปทุกที เพราะหากเลือดเหลือถึง 5% เมื่อไหร่จะติดสถานะเลือดแดงถึงไม่โจมตีเลือดก็จะไหลเรื่อยๆ จนหมดตัวไปเอง จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเวลา
แต่ในที่สุด สุดท้ายทวนที่เห็นรูปแบบขบวนของพวกนั้นซ้ำไปซ้ำพร้อมยังมาบวกกับคำพูดของจักรพรรดิเขาก็คิดได้ แล้วในที่สุดพอรูปขบวนนั้นหยุดโจมตีเขาอย่างที่เขาคิด คราวนี้ทวนก็เป็นฝ่ายรุกเข้าไปหาพวกนั้นทันที ด้วยระยะที่ตัวเองฟื้นตัวมานาก็กลับมาในระดับที่พอใช้สกิลได้แล้ว
สกิลพื้นฐานสายนักรบ (เข้าหา) ทำให้เขาสามารถพุ่งตัวเข้าหาคู่ต่อสู้ได้ทันที โดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวเป็นการเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว แม้จะมีอะไรขวางกั้นหรือทางแยกก็สามารถผ่านเข้าไปได้หมด
ตัวของทวนพุ่งเข้าไปใช้โล่กระแทกมือขวานจนตัวเขาไถลล้มลงไปติดสถานะมึนชั่วครู่ จังหวะต่อมาทวนได้เงื้อดาบขึ้นมาฟันนักดาบอีกคนที่เข้ามาด้านข้างจนถอยออกจากเขา ขณะนั้นเองนักธนูและมือปืนก็เล่นงานเขาทันที โล่ป้องกันเขาได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ตรงตามอย่างที่เขาคิด
ทวนปาโล่ออกมากระแทกหน้าของมือปืนอย่างแรง ในสายอาชีพนั้นความต่างระหว่างมือปืนกับนักธนูคือความคล่องตัว มือปืนที่มีความคล่องตัวพอๆ กับนักรบแถมพร้อมยังไม่มีอะไรป้องกันจึงโดนโล่นั้นกระแทกเข้าเต็มๆ ดาเมจยังคูณ 2 อีกด้วยเพราะเป็นจุดตาย (ในเกมนี้หากโจมตีจุดตายดาเมจจะคูณ 2 และหากเป็นการโจมตีส่วนหัวจะเกิดสถานะมึนแล้วแต่ความรุนแรงที่โดนอีกด้วย)
“แย่แล้ว ติดกับมันจนได้!! ” นักดาบที่ถอยตัวออกจากทวนพูดขึ้นในขณะที่ทวนพุ่งเข้าไปหานักธนู นักธนูที่เห็นทวนอยู่ในสายตาหลบหลีกเขาได้อย่างไม่ยาก แต่นั่นเป็นเพียงแค่การล่อหลอกของทวนอีกครั้ง ขณะที่นักเวทกำลังร่ายเวทอยู่ด้านหลังสุด ดาบเล่มโตของเขากลับเหวี่ยงออกไปสุดมือผ่าร่างของนักเวทจนแยกออกเป็น 2 ส่วน
เพราะร่างกายอ่อนแอทั้งเป็นสายซัพพอร์ตนักเวทจึงอยู่แนวหลัง และด้วยร่างกายที่เปราะบาง การโจมตีเพียงครั้งเดียวของทวนที่เปี่ยมด้วยพลังจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการเขาได้ในครั้งเดียว
พอขบวนรบนี้ไม่มีนักเวทอยู่ก็เหมือนกับปลาที่ไร้น้ำไม่อาจแหวกว่ายได้อย่างอิสระ มือปืนก็ยังติดสถานะมึนอยู่ ถึงจะเป็นแบบนั้นทวนกลับเปิดช่องโหว่มากมายขณะพุ่งเข้ามาเล่นงานพวกที่อยู่เบื้องหน้า นักฆ่าที่รอโอกาสจึงพุ่งเข้ามาหาเขาจากเบื้องหลังด้วยความรวดเร็ว
“!!?” แต่ดาบอีกเล่มที่เหน็บอยู่ที่เอวของทวนกลับชักออกมาฟันเข้าที่ลำคอของเขาทันที ด้วยสถานะที่ต่างกันดาเมจที่มากกว่าและยังเป็นจุดตายทำให้นักฆ่านั้นตายทันที
สภาพศพที่หัวลอยแยกจากร่างร่วงลงมาสู่สายตาทุกคนแล้วสลายไปเกิดขึ้นมา
“ทำไมมันถึงเร็วขนาดนี้เมื่อกี้ยังไม่เท่านี้เลยนี่! ” นักธนูพูดขึ้น แต่คำตอบกลับง่ายเพียงนิดเดียว
นั่นก็เพราะก่อนหน้านั่นเขาถือทั้งดาบจับ 2 มือและโล่ขนาดใหญ่น้ำหนักโดยรวมก็หลายสิบกิโลพอปลดพวกมันออกก็เหมือนปลดภาระที่แบกไว้ ความรวดเร็วของเขาจึงเพิ่มเป็นทวีคูณ พอมาบวกด้วยประสบการณ์สู้รบที่บ่งบอกจากสีหน้าและร่างกาย การจะจับทางศัตรูที่เล่นงานตนเองจากเบื้องหลังหลายต่อหลายครั้งได้มันไม่ใช่เรื่องยากเลย
คราวนี้ทวนพุ่งเข้าไปหานักรบที่ถือดาบ แทนที่จะร่วมมือกันเหมือนเมื่อครู่คราวนี้พวกเขากลับแตกแยกต่างคนต่างเอาตัวรอดไม่สนการร่วมมือใครจัดการทวนได้คือจัดการ
ทวนระดมฟันดาบมือเดียวใส่เขาอย่างบ้าคลั่งทันทีเมื่อถึงตัว ราวกับว่าแรงใจนั้นไม่มีวันหมด ถึงแบบนั้นเขาเองก็ใช้สกิลนักรบโต้ตอบทวนเหมือนกัน
1 ใน 3 สกิลชั้นทหาร (ปัดป้องศาสตรา) สามารถป้องกันอาวุธของศัตรูได้ 2 วินาที (ถ้ามีโล่ศัตรูจะโจมตีเข้าไปที่โล่อัตโนมัติ) โดยไร้บาดแผลยิ่งชำนาญดีเลย์จะลดลง
ตัวนักดาบที่มีโล่เล็กอยู่ที่มือจึงปลอดภัยจากคมดาบของทวนอย่างไม่ยาก
แต่ทวนกลับหยุดมือฟันเขา เงื้อดาบฟันเข้าไปที่หัวของมือปืนที่กำลังลุกขึ้นมาข้างๆ อย่างมึนๆ ทันทีจนร่างกายสลายไป
คนเหล่านี้เริ่มแปลกใจที่เห็นการโจมตีแบบล่อหลอกของทวนขณะนี้เป็นอันมาก เพราะว่าก่อนหน้าที่สู้กันนั้นเขาถือว่าเป็นนักรบสายตั้งมั่นที่แน่วแน่ในวิถีทางของตนเองอย่างถึงที่สุด การเปลี่ยนแปลงของเขานั้นเกิดจากเพียงคำพูดสั้นๆ ของผู้ที่เป็นว่าที่เจ้านายของเขาอย่างงั้นเหรอ?
บุคคลที่เหลือทั้ง 3 คนเริ่มลังเลที่จะเข้าไปหาทวน นักดาบ มือขวานที่เป็นสายนักรบเหมือนกันแม้จะแข็งแกร่งแต่ความสามารถของทวนกลับเหนือพวกเขาที่เคยรุมทวนเสียอีก มือธนูแม้จะคล่องแคล่วแต่ก็รู้ตนเองดีว่าพลังโจมตีของตนเองไม่แรงพอที่จะเด็ดหัวทวนได้ในครั้งเดียว มานาก็หมดแล้วจากการโจมตีทวนต่อเนื่องเมื่อครู่
“เข้ามา!!!!! ” พอสิ้นเสียงตะโกนของทวนคนทั้ง 3 จึงพร้อมใจกันคอตกนักดาบเบื้องหน้าทวนพร้อมมือขวานถึงกับคุกเข่าให้กับเขา
แปลว่าผลการต่อสู้นั้นออกมาแล้ว
ขบวนรบพวกนี้ไม่ใช่มีแค่ไว้เพื่อโจมตีเขายังบ่งบอกถึงผู้ที่เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของทีม หน้าที่ ความสามารถ การโจมตีที่หยุดเป็นช่วงๆ บ่งบอกว่าพวกนี้ไม่ได้ไว้ใจกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากชนะเขาได้คนพวกนี้ก็จะต้องเหลือแรงไว้จัดการคนอื่นต่ออีก และสุดท้ายเหตุผลที่คนพวกนี้ร่วมมือกันก็เพราะเขาแข็งแกร่ง
สิ่งที่จักรพรรดิจะบอกกับทวนเป็นนัยๆ ก็คือจงผลักดันความแข็งแกร่งของตนเองและเล่นงานจุดอ่อนของพวกเขานั่นเอง
ทวนยิ้มที่มุมปากอย่างมีความสุขเขาคิดว่าเขาเจอเจ้านายที่พร้อมจะฝากชีวิตได้แล้ว เขาหันกลับไปมองจักรพรรดิด้วยแววตามั่นแล้วถล่นตามองหาจักรพรรดิเพราะไม่เห็นเขาแม้แต่เงา เก้าอี้ของใช้ที่เคยเอาออกมาจากหน้าต่างระบบถูกเก็บไปเหลือเพียงแค่ที่โล่งๆ
“เจ้านายของข้าหายไปไหนแล้ว!? ” เขาพูดพร้อมหันซ้ายหันขวา ตอนนั้นเอง
“ถ้าเป็นท่านละก็อยู่ทางนั้น” เอ็นพีซีที่อยู่ในสายตาของทวนชี้ไปที่นึง ตอนนั้นเองเขากลับพบจักรพรรดิที่กำลังคุยกับพนักงานสาวเอ็นพีซีหน้าเคาน์เตอร์อยู่
“แหม...ไม่นึกเลยว่าสถานที่เถื่อนๆ แบบนี้จะมีนางฟ้ามาประทับด้วยนะครับ”
เอ็นพีซีสาวผมทองในชุดเกราะเบาพูดตอบกับจักรพรรดิในท่าทางเขินอาย
“ไม่หรอกค่ะ ท่านก็พูดเกินไปตัวดิฉันเป็นเพียงแค่พนักงานปลายแถว”
“แต่ถึงจะอยู่ปลายแถวแต่คนแบบคุณไม่เคยอยู่ปลายหัวใจของผมนะ” ว่าจบจักรพรรดิก็หัวเราะให้กับมุกเลี่ยนๆ ของตัวเอง
พอจักรพรรดิรู้สึกว่ามีคนจ้องมองตนจึงหันไปมองยังการต่อสู้ที่...จบลงไปแล้ว
“อ้าว จบแล้วเหรอ...?”
ทวนผ่อนลมหายใจปรับความรู้สึกในเวลานี้เขาไม่อยากให้อะไรมารบกวนเขา นอกเสียจากความจงรักภักดีที่มอบให้กับเจ้านายเบื้องหน้าตน
เขาเดินตรงมาที่จักรพรรดิด้วยความหนักแน่นก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าเขาสุดแรงจนพื้นหินสั่น
“ข้าบุรุษผู้มีนามว่าทวน จักขอถวายชีวิตรับใช้นายท่านนับจากนี้!! ”
ทวนที่บ่งบอกว่าเป็นชายที่ไม่อยากปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไป กล่าวขึ้นมาอย่างหนักแน่น
“ไอ้บทพูดรับข้ารับใช้นี่มันรู้สึกว่า...” จักรพรรดิทำท่าคิด
หลับตา เกาๆ หัว แล้วลืมตาขึ้นมาช้าๆ ยื่นมือขวาไปเบื้องหน้า
“ข้าจักรพรรดิขอรับเจ้าเป็นผู้รับใช้ของข้า ต่อจากนี้เจ้าจะเป็นทั้งดาบและโล่ของข้า หากไม่เปลี่ยนซึ่งความสัตย์และมีปณิธานเดียวกันกับข้าจงมอบพลังของเจ้าให้กับข้าเพื่อที่ข้าจะได้ใช่มันอย่างสุดความสามารถเพื่อบรรลุซึ่งเป้าหมายของข้า และของเจ้า”
ตอนนั้นเองวงเวทสีแดงก็ได้เกิดขึ้นมาใต้เท้าของทั้ง 2 ทวนกรีดนิ้วของตัวเองจนเลือดหยดลงไปที่พื้น ส่วนจักรพรรดินั้นเทหยดเลือดของตัวเองจากในขวดแก้วเล็กๆ ลงพื้น (เตรียมเอาไว้แล้ว) ตอนนั้นเอง
สัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาเจ้านายกับผู้ติดตามที่มีความหมายเหนือกว่าลูกจ้างและคนรู้จักกันทั่วไปก็เกิดขึ้นที่ฝ่ามือขวาของทั้ง 2 สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ที่มีดาบวางทาบทับลง 1 เล่ม
“...อือ ใช้ได้” จักรพรรดิพิจารณาต่อสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นมาที่มือของตนเอง
ทวนลุกขึ้นมาพูด
“นับจากนี้ข้าเป็นผู้ติดตามของท่านแล้ว หากสั่งให้ข้าไปตายข้าก็จะไปตาย หากสั่งให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าเกลียดข้าก็ยินดีที่จะทำมัน”
จักรพรรดิมองเข้าไปในตาของทวน
“อย่าพูดอะไรพล่อยๆ ในใจของนายไม่ได้คิดอย่างที่ตัวเองพูดสักนิดไม่ใช่รึไง”
“....ข้า...พูดจริง” น้ำเสียงของทวนสั่นเล็กน้อยทั้งๆ ที่เคยหนักแน่น
“ฮะ ฮะ ฮะ” จักรพรรดิหัวเราะพร้อมตบไหล่ทวนเบาๆ
เอาเหอะยังไงคนก็คือคนความเหมือนจริงที่สร้างเอไอแบบนี้ได้จักรพรรดิต้องยกนิ้วให้กับทีมพัฒนาของเกมนี้จริงๆ ความซื่อสัตย์ของคนเราหากหลับหูหลับตาก็จะเป็นเพียงแค่ความงมงาย แต่หากคิดไตร่ตรองและทำความเข้าใจนั่นจะคือความซื่อสัตย์ที่แท้จริง นับจากนี้ขึ้นอยู่กับเขาเองแล้วว่าทวนจะเป็นผู้ติดตามเขาแบบไหน
จักรพรรดิโยนเงินที่เคยวางทิ้งไว้เป็นถุงให้ทวน ทวนรับไว้พร้อมกับอัญมณีสีแดงเข้ม
“ตามสัญญา”
ทวนผงะก่อนจะก้มมองดูจำนวนสิ่งของที่ตนเองได้มันมากกว่าศึกไหนๆ เสียอีก
“ข้ารับไม่ได้หรอกจำนวนมักมากเกิน” ทวนยื่นกลับมาให้จักรพรรดิ
“รับไปเถอะของพวกนี้มันเป็นของนาย ฉันเป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำจำไว้ซะนี่ล่ะคือเจ้านายของนาย”
“....” ทวนเงียบรับแต่ด้วยนิสัยของเขา ของจำนวนมากขนาดนี้เขารับไว้ไม่ได้จริงๆ เขาจึงหยิบมันออกมาเพียงเหรียญเดียวเก็บเข้ากระเป๋าของเขา
“ข้าเอาส่วนของข้าไปแล้ว ส่วนที่เหลือขอคืนนายท่าน”
จักรพรรดิไม่กล่าวอะไรต่อถือเป็นการศึกษาคนที่จะมาเป็นดาบของเขาได้เป็นอย่างดี เขาหยิบของทั้งหมดกลับมาแล้วยื่นมันไปให้เอ็นพีซีที่ทำเพียงยืนดูเขาตอนนี้เท่านั้น
“เอานี่ ค่าเสียหายทั้งหมดพร้อมทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยของคนทั้งหมดที่ต่อสู้กัน”
“เข้าใจแล้วครับนายท่าน” นายทหารเอ็นพีซีรีบก้มหัวให้กับเขาทันทีก่อนจะมองดูบางอย่างด้วยความฉงนแล้วหยิบมันคืนให้จักรพรรดิ
“ขออภัยนายท่าน ทางเราคิดว่าของสิ่งนี้ล้ำค่ามากเกินกว่าที่จะชดเชยสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้เราจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันก็ตาม”
จักรพรรดิรับมันคืนมา
“แล้วเงินแค่นั้นมันจะพอค่าเสียหายและค่าชดเชยให้คนพวกนั้นไหม”
นายทหารทำท่าคิดหนัก
“ไม่ครับท่านไม่ได้ครึ่งของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ”
จักรพรรดิโยนอัญมณีกลับให้เขาไปอย่างไม่คิดเลย ถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่อย่างน้อยเงินที่ได้คงเยอะอยู่
“เอาแบบนี้ก็แล้วกันหากมันมีค่ามากขนาดนั้นก็จงใช้มันซะ ถือว่าฉันบริจาคเงินให้เมืองนี้ก็แล้วกัน ชดเชยและทำทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิมด้วยจำนวนเงินที่ได้จากมัน”
“อย่างเช่น” นายทหารทำท่าคิด จักรพรรดิคิดไม่นานแล้วพูด
“เสริมกำแพงเมืองแล้วก็แนวป้องกันของกำแพง” นายทหารพยักหน้าเข้าใจ
“ขอรับข้าเข้าใจแล้ว!! ” นายทหารรีบวิ่งลับตาไป ปล่อยให้ทวนมองดูเจ้านายของตนเองด้วยตาปริบๆ และพอสังเกตดูรอบๆ ตนเองดีๆ แล้ว
“!!?” เหล่าผู้ที่เคยเป็นว่าที่ผู้รับใช้ของจักรพรรดิทุกคนที่ทั้งกลับมาเกิดใหม่และยังไม่ตายต่างพากันคุกเข่าให้กับเขาแล้วพูดสรรเสริญเขากันไปต่างๆ นานา
จักรพรรดิเอามือซ้ายไขว้หลังมือขวาคลี่พัดออกมาโบกแล้วเดินยิ้มๆ ออกไปจากอาคารพร้อมมีทวนเดินตามหลัง
“.....” ทวนไม่อาจรู้ได้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไรแต่เวลานี้เขาคิดว่าเขาคิดถูกแล้วจริงๆ ที่จับดาบต่อสู้กับคนพวกนั้น เพื่อเดินตามชายคนนี้ที่เหลือเป็นเรื่องของอนาคต
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว