เรื่อง : ซ้อนกลรัก
ตอนที่ 3 #โครงการใหม่
โดย : Kwitch (เขียนเป็นภาษาไทยว่า กวิชญ์ (อ่านว่า กะ-วิช))
กันตภัทร์พยุงคีตาและพาเดินไปที่ม้านั่ง หญิงสาวยังคงมีอาการเหม่อลอย ในขณะที่หย่อนตัวลงบนม้านั่งนั้น น้ำตาก็ค่อย ๆ เอ่อไหลออกมาจากดวงตากลมโต เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมใบหน้าของเธอเพื่อบดบังความชอกช้ำเอาไว้ เพราะตอนนี้ความสามารถในการควบคุมการทำงานของต่อมน้ำตาของเธอนั้นล้มเหลวไม่มีชิ้นดี
‘คุณคี’
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามตั้งสติ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปตามทิศทางของเสียงนั้น
ชายหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าเนื้อคอตตอนพื้นสีขาวแกมลายสีน้ำเงินให้หญิงสาว ดวงตาคู่งามสะท้อนความปวดใจออกมาเต็มเปี่ยมได้เหลือบไปจ้องตาเขา และตัดสินใจรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมา เพียงเพราะต้องการซับคราบน้ำตาที่ปรากฏเป็นร่องรอยชัดเจนอยู่บนใบหน้าของเธอ
‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ยังคงไหลอยู่เนือง ๆ แล้วถอนหายใจยาว
‘กลับกันเถอะนะคะ’ น้ำเสียงเจือสะอื้นของเธอฟังคล้าย ๆ จะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ แต่เธอก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ดวงตาเข้มของชายหนุ่มมองไปที่ใบหน้างามซึ่งเต็มไปด้วยรอยน้ำตาของหญิงสาวอย่างอาทร เขาย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นแล้วเปิดกล่องเพื่อหยิบรองเท้าแตะสีขาวเรียบหรูที่อยู่ข้างในนั้นออกมาสวมให้กับหญิงสาว เธอยินยอมให้เขาปรนนิบัติเธอโดยไม่ได้ขัดขืน เพราะในเวลานี้เธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แม้กระทั่งคำพูดก็ยังยากนักที่จะเอ่ยออกมาได้ในเวลานี้
‘มีแผลมากขึ้นกว่าเดิมอีก...เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะทำแผลให้นะครับ’ นัยน์ตาทรงเสน่ห์ส่องแววประกายความอ่อนโยนเหลือบขึ้นมองไปที่หญิงสาว
‘ขอบคุณค่ะ’ น้ำเสียงของหญิงสาวไม่แฝงความรู้สึกใด ๆ
หลังจากที่ชายหนุ่มไปส่งหญิงสาวที่บ้านและทำแผลที่เท้าให้เธออีกครั้ง เธอยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร...แม้ว่าชายหนุ่มจะมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้อยู่มากก็ตาม ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มคิดย้อนแย้งกับตัวเองอยู่ในใจ ‘ก็แค่อยากรู้นิดเดียวก็เท่านั้นแหละ ไม่ได้จะอยากรู้อะไรมากมาย’ แต่ทว่าเขาก็ตัดสินใจกลับออกมา เพราะคิดว่าหญิงสาวคงต้องการที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าในเวลานี้
กันตภัทร์เงยหน้าขึ้นไปดูสัญญาณไฟจราจรสีแดงซึ่งตัวเลขกำลังนับถอยหลัง เมื่อเขาเห็นจำนวนวินาทีที่เหลืออยู่ก็ถึงกับถอนหายใจยาว ‘อีกตั้ง 180 วินาทีเลยเหรอเนี่ย’ ในระหว่างนั้นเขาเหลือบไปเห็นถุงพลาสเตอร์ยาซึ่งวางไว้ตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วก็ระบายยิ้มที่มุมปากออกมา วันนี้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เธอ...คีตา...ว่าที่คู่หมั้นที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนตลอดชีวิตที่ผ่านมา...และเขาก็ไม่แน่ใจได้เลยว่า เขาจะสามารถรู้จักเธอให้มากกว่านี้ได้รึเปล่า...แม้ว่าภายนอกเธอจะดูเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาน่ารัก เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป...แต่ในวันนี้ชายหนุ่มได้มีโอกาสพิจารณาเธอได้อย่างละเอียดกว่าเดิม...ผิวที่ขาวใสเนียนละเอียด ใบหน้าที่เล็กเท่าฝ่ามือ ตาโต จมูกโด่งทรงหยดน้ำ ปากเล็กบางได้รูป จะเรียกว่า ปากนิดจมูกหน่อยก็ได้ แต่เธอก็แอบมีแก้มนิด ๆ ดูแล้วน่าจับ...ผมบ๊อบสั้นหน้าม้า ช่างเข้ากับใบหน้าอันจิ้มลิ้มและบุคลิกของเธอเอาเสียมาก ๆ...แถมวันนี้เธอยังใส่ชุดเดรสเปิดไหล่ สีขาว มีลูกไม้ประปราย ความยาวเท่าหัวเข่า ซึ่งเหมาะกับรูปร่างสันทัด ผอมบาง และไม่สูงมากเท่าไหร่อย่างเธอ...มันช่างทำให้เธอดูเปล่งประกายจนชายหนุ่มเห็นแล้วก็ไม่อยากจะละสายตาไปจากเธอเลย...ยังมีอีกเรื่องที่ชายหนุ่มแอบชื่นชมเธอก็คือ เธอรักษามารยาททางสังคมได้อย่างดีเยี่ยม เพราะแม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจที่จะออกไปกับเขาก็ตาม แต่เธอก็ยังแต่งตัวได้ถูกกาลเทศะ เหมาะกับเวลาและสถานที่ที่ทั้งสองจะต้องไปด้วยกัน ในความมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ของเธอนี้...เขาคิดว่าเธอผ่าน ‘หืม! ผ่านเหรอ...นี่เราคิดอะไรอยู่?!’ ชายหนุ่มพยายามปฏิเสธความคิดพึงพอใจที่มีต่อหญิงสาว
ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่หญิงสาวพูดในวันนี้เกี่ยวกับแหวนอินฟินิตี้...ความไม่มีที่สิ้นสุด...รักที่ไม่มีจุดสิ้นสุด...เมื่อชายหนุ่มได้ฟังหญิงสาวพูด...เขารู้สึกได้ถึงความรักที่แสนบริสุทธิ์ และความมั่นคงของมัน ซึ่งมันทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก...ชายหนุ่มเดาว่าหญิงสาวน่าจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนมาก โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก ซึ่งในตอนแรกเขาก็ ยังไม่แน่ใจนักว่าคิดถูกหรือเปล่าเกี่ยวกับเรื่องของเธอ แต่เมื่อได้เห็นเธอวิ่งในสภาพเท้าเปล่าไปตามหาใครสักคนหนึ่ง ในขณะที่เท้าของเธอยังเป็นแผลอยู่นั้น...ชายหนุ่มก็มั่นใจได้ว่า เธอให้ความสำคัญกับคน ๆ นั้นเอาเสียมาก ๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เธอให้ความสำคัญกับความรู้สึกนั้น มากกว่าความเจ็บปวดของเธอเองเสียด้วยซ้ำ...หลังจากที่ชายหนุ่มวิ่งตามเธอไป จนเห็นเธอนั่งร้องไห้อยู่นั้น เขาสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเจ็บปวดเรื่องอะไรก็ตาม เขารู้แต่เพียงว่า มันคงเกี่ยวกับคนที่เธอวิ่งตามหาไม่มากก็น้อย...ชายหนุ่มเลิกคิ้ว พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นในใจ ‘คุณมีคนสำคัญของหัวใจแล้วเหรอ…ใครกัน?!’
ณ บ้านของกันตภัทร์
ชายหนุ่มจอดรถหรูไว้ที่โรงจอดรถ แล้วเดินเข้ามานั่งที่โซฟาในบ้าน ซึ่งอันที่จริงแล้วจะเปลี่ยนเป็นเรียกว่า “คฤหาสน์” ก็คงจะไม่น่าเกลียดนัก เพราะความใหญ่โตโอ่โถงและสง่าผ่าเผยนั้น ทำให้คำว่า “บ้าน” นั้นดูเล็กไปในถนัดตา ในจังหวะที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปนั้นก็ได้สบตากับรูปวาดของคุณปู่ทวดของชายหนุ่มที่ติดไว้บนผนัง ชายหนุ่มจ้องตาชายชราที่อยู่ในรูปวาดนั้น จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาราวกับรูปวาดนั้นมีตัวตน ชายหนุ่มเกิดคำถามขึ้นในใจ ‘คือเธอคนนี้จริง ๆ เหรอครับ ที่คุณปู่ทวดอยากจะให้ผมแต่งงานด้วย...แล้วทำไมต้องตั้งเงื่อนไขเรื่องมรดกนั่นด้วยล่ะครับ...นั่นมันทำให้ผมลำบากใจขนาดไหน รู้บ้างหรือเปล่าครับ’ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เพราะรู้ว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์...เพราะคุณปู่ทวดของเขาคงไม่ลุกขึ้นมาไขความกระจ่างให้เป็นแน่แท้
เสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มดังขึ้น เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดู ก็ส่ายหน้าให้กับชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้น ราวกับว่าเขายังไม่พร้อมที่จะคุยกับคนทางปลายสาย แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่รับได้อีกเช่นเดียวกัน ‘ครับพี่’
‘ทำอะไรอยู่อะกันต์’ ซาร่า ผู้จัดการส่วนตัวของชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างร้อนรน
‘อยู่บ้านครับ’
‘พรุ่งนี้เช้ากันต์รีบเข้ามาที่บริษัทด่วนเลยนะ...มีงานพรีเซนเตอร์ แล้วก็ละครที่จะต้องรีบให้ดู...งานนี้งานด่วน งานช้างจริง ๆ’ น้ำเสียงของปลายสายนั้นมีความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ซึ่งมันทำให้คนฟังนั้นรู้สึกได้ถึงความสำคัญของงานนี้
‘ครับ แล้วเจอกัน’ ชายหนุ่มตัดบท และวางสายไป
เมื่อชายหนุ่มนึกถึงซาร่า ก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เขาเข้าใจดีในบุคลิกของซาร่า...ผู้ชายที่มีหัวใจเป็นผู้หญิงก็มักจะเป็นแบบนี้ช่างจุกจิกจู้จี้ แต่ก็ละเอียดถี่ถ้วนเอาการ แม้ว่าซาร่าจะชอบเจ้ากี้เจ้าการให้เขาทำโน่น นี่ นั่น แต่เขาก็รู้ว่าซาร่าเป็นอีกคนหนึ่งที่หวังดีกับเขามาก ๆ...ไม่ใช่ทำงานกับชายหนุ่มเพียงเพราะจะหาผลประโยชน์จากเขาเท่านั้น จะเห็นได้จากซาร่ามักจะคอย คัดกรองงานที่ดีและเหมาะสมให้กับชายหนุ่ม มิใช่ว่าจะให้ชายหนุ่มไปทำทุกงาน โดยไม่เลือกว่างานนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรักซาร่ามากขึ้นไปอีกก็คือ ซาร่ามักจะออกตัวรับผิดแทนเขาเสมอ ในเวลาที่เขาแอบเกเรบ้างในบางครั้ง... ‘ซึ่งมันก็นาน ๆ ทีอะนะ’ ชายหนุ่มแอบเข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ ซึ่งเท่าที่เขาจำความได้ ซาร่าไม่เคยกล่าวโทษเขาอย่างจริงจังเลยสักครั้ง อย่างมากก็เพียงแค่บ่น ๆ ตามประสา เมื่อคิดถึงคุณงามความดีของซาร่าเสร็จแล้ว เขาก็แอบคิดในใจ ‘พรุ่งนี้จะมีงานอะไรนะ แอบอยากรู้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย’
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแต่เช้าตรู่ กันตภัทร์ค่อย ๆ กวาดมือออกไปเพื่อควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ตรงตู้ข้างเตียง แม้ว่าดวงตาคมจะยังไม่สามารถลืมขึ้นมาได้ก็ตาม แต่เนื่องจากเสียงที่กำลังดังขึ้นนั้น ทำให้เขาต้องตื่นมาคุยกับคนที่ปลายสาย ‘ครับ’ น้ำเสียงอันงัวเงียได้ตอบปลายสายไป
‘กันต์...รีบตื่นเดี๋ยวนี้ แล้วมาที่บริษัทด่วน’ ไม่ต้องดูชื่อที่หน้าจอ ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ปลายสายคือใคร
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกาที่ติดไว้ตรงผนังหน้าเตียงนอนของเขา เมื่อได้เห็นเวลาเขาก็เริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมา
‘นี่มันเพิ่งหกโมงเช้าเองนะพี่...จะให้ผมรีบตื่นทำไมเนี่ย’ ชายหนุ่มเหวี่ยงน้ำเสียงใส่คนปลายสาย
‘นี่กันต์พาใครไปซื้อแหวนฮะ’ เสียงปลายสายตะโกนลั่น
ชายหนุ่มเด้งตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แล้วความง่วงนั้นก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ‘แหวนอะไรพี่’
‘ก็พวกปาปารัซซี* ถ่ายภาพที่กันต์พาผู้หญิงเข้าร้านเพชรชื่อดัง แถมซูมให้เห็นอย่างชัด ว่าเดินไปที่มุมของแหวนเพชร’ ระดับความสูงของเสียงปลายสายยังคงไม่ลดลง
ชายหนุ่มยังคงแน่นิ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามปลายสายอย่างไรดี
‘รีบเข้ามาเพื่ออธิบายให้บอสฟังด่วนเลยนะกันต์’ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้อธิบาย ซาร่าก็วางสายไปทันควัน ด้วยความโมโหที่มีมากพอควร
ชายหนุ่มใช้โทรศัพท์มือถือพิมพ์หาข่าวจากอินเตอร์เน็ต และภาพที่ซาร่าพูดถึงก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน...ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาบีบที่ขมับศีรษะของตัวเอง ‘เฮ้อ!...งานเข้าแล้วไง’
ณ บริษัทที่กันตภัทร์สังกัดอยู่
สัญญาณเสียงที่แสดงว่าลิฟท์โดยสารได้ถึงชั้นที่ผู้โดยสารต้องการจะไปแล้วดังขึ้น เมื่อประตูลิฟท์โดยสารเปิดออกกันตภัทร์จึงเดินออกมาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล เมื่อถึงหน้าห้องทำงานของ “บอส” นายใหญ่อันดับหนึ่งของบริษัท บุคคลที่สามารถขีดชะตาชีวิตในวงการบันเทิงของเขาได้ตั้งแต่วันแรกที่เขาย่างก้าวเข้ามาจนถึงวันนี้ วันที่ชายหนุ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจนได้ฉายาเจ้าชายแห่งวงการบันเทิงซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสมายืนที่จุดนี้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นผลงานของบอสทั้งสิ้น ชายหนุ่มยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องทำงานของบอส เพราะยังคิดไม่ออกว่าจะอธิบายเรื่องแหวนเพชรอย่างไร แต่ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ก็มีคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน
‘อ้าวกันต์!...มาถึงแล้วทำไมไม่เข้ามา...บอสรออยู่’ ซาร่าพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็ก ๆ แต่ถ้าเทียบกับน้ำเสียงเมื่อตอนเช้าที่โทรศัพท์มาหาชายหนุ่มนั้น ระดับความหงุดหงิดนั้นลดลงไปได้ประมาณสิบระดับเลยทีเดียว...เวลาสามารถช่วยเยียวยาชายหนุ่มได้จริง ๆ
กันตภัทร์เดินตามซาร่าเข้าไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีปากไม่มีเสียงอะไร เมื่อเข้าไป ก็เห็นบอสนั่งหันหลังให้กับเขา โดยกำลังมองผ่านผนังกระจกออกไปด้านนอก ซึ่งห้องของบอสนั้นเป็นกระจกใส สามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบด้าน แต่ถ้ามองเข้ามาจากด้านนอกนั้นจะไม่สามารถมองเห็นด้านในได้ นั่นอาจจะเป็นวิธีแอบส่องสาวของบอส ‘เอ๊ย! นี่มันใช่เวลาคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้มั้ยเนี่ย’ ชายหนุ่มเรียกสติของตัวเองกลับมา เมื่อเขาเหลือบไปมองที่โต๊ะทำงานของบอส ก็เห็นภาพข่าวนั้นวางหลาอยู่อย่างชัดเจน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติอีกครั้ง
‘สวัสดีครับบอส’ ชายหนุ่มพยายามควบคุมน้ำเสียงให้อยู่ในระดับที่เป็นปกติ
บอสหมุนเก้าอี้เบาะหนังกลับมา แล้วมองหน้ากันตภัทร์อย่างจริงจัง
‘ใคร’ คำถามนั้นแม้จะสั้น แต่น้ำเสียงนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจเหลือเกิน
กันตภัทร์ยิ้มเฝื่อน ‘มันค่อนข้างซับซ้อนครับ...ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง’
ดวงตาคมของบอสยังคงจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มอย่างไม่อาจที่จะทำให้ชายหนุ่มสายตาไปได้ ‘ขอสั้น ๆ กระชับ เข้าใจง่าย’
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกมาก ลึกจนอากาศแทบจะล้นปอด ‘เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของผมครับ’
‘ฮะ!...’ เสียงสูงของซาร่าสอดแทรกขึ้นมา ส่วนบอสนั้นเลิกคิ้วราวกับไม่คาดว่าจะได้คำตอบที่ได้รับจะออกมาเป็นแบบนี้
บอสกอดอกแน่น พร้อมกับกระดิกนิ้วชี้ข้างขวาราวกับกำลังใช้ความคิด ‘ยังไง’
‘คุณปู่ทวดของผมเขียนพินัยกรรมไว้ว่าต้องแต่งงานกับผู้หญิงตระกูลสัตยธนะวงศ์ ถ้าไม่แต่งมรดกทั้งหมดก็จะต้องตกเป็นของ แผ่นดิน’ เมื่อพูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาว
บอสยังคงอยู่ที่ท่ากอดอก โดยที่นิ้วชี้ข้างขวานั้นกระดิกถี่กว่าเดิม ซึ่งถ้าเป็นคนที่สนิทกับบอส ก็จะรู้ได้โดยทันทีว่า ถ้าบอสแสดงกิริยาอาการแบบนี้ นั่นหมายความว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วงอยู่ ซึ่งมันก็คงไม่แปลก เพราะเรื่องที่ชายหนุ่มเผชิญอยู่ในตอนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเอาเสียเลย
บอสคลายแขนทั้งสองที่กอดหน้าอกอยู่ออก จากนั้นก็ยิ้มที่มุมปากแบบเจ้าเล่ห์ ‘อาทิตย์หน้าพาว่าที่คู่หมั้นเข้ามาพบผม...คุณมีโครงการใหม่ที่จะต้องทำร่วมกับว่าที่คู่หมั้นของคุณ’
กันตภัทร์นิ่งอึ้ง เพราะคำตอบที่ได้รับนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาเอาเสียมาก ๆ แต่สิ่งที่อยู่เหนือกว่านั้นก็คือ เธอ...คีตา...ชายหนุ่มจะไปพาเธอมาที่นี่ได้อย่างไร ชายหนุ่มยังคงมองไม่เห็นทางว่าเธอจะยอมมากับชายหนุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เธอมาทำโครงการร่วมกับชายหนุ่มด้วยล่ะก็...ความน่าจะเป็นคงจะมีค่าใกล้เคียงกับศูนย์
เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คีตาจึงมองหาต้นเสียงของโทรศัพท์มือถือ แล้วมุ่งตรงไปอย่างช้า ๆ เหตุเพราะยังเจ็บแผลที่เท้าอยู่ เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและมองที่หน้าจอ ก็เป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกไว้... ‘ใครกัน...คนขายประกันรึเปล่า...กำลังอยากจะซื้อพอดีเลย’
‘สวัสดีค่ะ’
‘สวัสดีครับคุณคี…ผมกันต์นะครับ’
หญิงสาวเลิกคิ้ว ‘คุณโทรมาได้ยังไงคะเนี่ย...ไปมีเบอร์ฉันตอนไหน’
‘ก็ไม่เห็นยากนี่ครับ’ อีกฝ่ายเอ่ยตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ
คีตาลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเหนื่อยหน่ายที่จะต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่ม
‘ว่าไงคะ...มีธุระอะไร’
‘พรุ่งนี้คุณว่างมั้ยครับ...ผมมีธุระจะคุยด้วย’
‘มะ...’ หญิงสาวกำลังจะตอบว่า “ไม่ว่าง” แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ชายหนุ่มอาจจะมีธุระที่สำคัญจริง ๆ ก็เป็นได้ อย่างเช่น เรื่องยกเลิกการหมั้น หรืออะไรทำนองนี้ หญิงสาวแอบมีความหวังลึก ๆ อยู่ในใจ
‘ค่ะ’
‘ถ้าอย่างงั้น พรุ่งนี้เช้าผมจะเข้าไปหาที่บ้านนะครับ’
‘ค่ะ’
จู่ ๆ เงินจำนวนเงินเจ็ดร้อยล้านมันก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในหัวของหญิงสาว ตอนนี้ในหัวของเธอมีแต่เลขเจ็ดร้อยล้านวนเวียนอยู่เต็มไปหมด เธอจะไปหาเงินจำนวนนี้มาได้อย่างไรในเวลานี้ นั่นเป็นคำถามที่เธอเฝ้าถามตัวเอง แม้ว่าธุรกิจของตระกูลในตอนนี้ก็ไม่ได้ย่ำแย่ แต่ก็ไม่ได้มีเงินถึงขนาดนั้น เพราะตอนนี้กระแสเงินที่มีอยู่ก็ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ ไม่สามารถที่จะดึงออกมาใช้ในกรณีอื่นได้ แล้วอีกอย่าง กระแสเงินที่มีอยู่ก็ยังไม่ถึงเจ็ดร้อยล้านเสียด้วยซ้ำ คิดมาถึงแค่นี้ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมาในบัดดล ‘โธ่! คีตา...ชีวิตนี้ช่างน้ำเน่ายิ่งกว่าในนิยายเสียอีก ฉันไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้...ถ้ามันจะเป็นอะไรแบบนั้น...ก็ขอให้พระเอกเป็นคนอื่นได้มั้ย...ที่ไม่ใช่อีตากันต์นี่’ หล่อนคิดในใจขำ ๆ
ณ บ้านของคีตา
หญิงสาวยังคงเดินเท้ากะเผลกเพราะแผลเจ้ากรรมมันยังไม่มีทีท่าว่าจะหาย และยังคงแสดงฤทธิ์ของมันอยู่ แล้วมุ่งตรงมาหากันตภัทร์ ซึ่งนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก
‘สวัสดีค่ะคุณกันต์’ หญิงสาวทักทายเขาตามมารยาท
‘สวัสดีครับ’ ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวเป็นปกติเหมือนกับทุกครั้งที่เคยเป็นมา
ชายหนุ่มก้มต่ำมองไปที่เท้าของหญิงสาว เพราะสังเกตเห็นได้ว่าท่าเดินของเธอยังไม่ปกติดีนัก
‘แผลที่เท้าเป็นยังไงบ้างครับ’ น้ำเสียงอาทรนั้นชวนให้หญิงสาวคิดว่าชายหนุ่มนั้นมีความห่วงใยให้กับเธอ... ‘ห่วงใยเหรอ?!... ตานี่แสดงละครอีกแล้ว’ หญิงสาวต่อว่าชายหนุ่มอยู่ในใจ
คีตามองลงไปที่เท้าของเธอ แล้วพิจารณาถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าคำตอบที่พูดออกไปนั้นคือสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ‘ดีขึ้นมากแล้วค่ะ’
ชายหนุ่มเดินเข้ามาหญิงสาวเพื่อที่จะช่วยพยุงให้ไปนั่งที่โซฟา หญิงสาวพยายามขยับถอยหลังเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาใกล้ แต่ก็ทำไม่ได้เป็นอย่างใจคิด
‘คุณนี่ดื้อจังเลยนะครับ...กลัวผมจะลูบทองออกไปจากตัวคุณเหรอ...ถึงได้หวงตัวนัก’ ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้น
หญิงสาวมองชายหนุ่มตาขวาง ‘คุณนี่จะบ้าเหรอ...ฉันแค่ไม่อยากทำตัวให้เป็นภาระกับใครต่างหากล่ะ…ปล่อยเลย’ เธอยังคงพยายามสะบัดตัวออกจากวงแขนของชายหนุ่ม แต่ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดไป เมื่อเห็นว่าความพยายามไม่เป็นผล เธอจึงปล่อยให้เขาพยุงตัวเธอต่อไปเพื่อตัดความรำคาญ เมื่อชายหนุ่มพาเธอมานั่งที่โซฟาตัวกลาง หลังจากนั้น เขาก็เดินไปนั่งโซฟาฝั่งด้านซ้ายมือของเธอ
หญิงสาวแสร้งกระแอมหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนา ‘แล้วธุระที่ว่าของคุณคืออะไรคะ’
ชายหนุ่มทำท่าคิดหนัก แล้วถอนหายใจยาว ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา ‘คือคุณเห็นข่าวของเรารึยัง’
หญิงสาวเลิกคิ้ว ‘ข่าวอะไรคะ’
‘ก็ข่าวที่ผมพาคุณไปซื้อแหวน’ สีหน้าของชายหนุ่มค่อนข้างเป็นกังวล
‘อ้อ!’ เธอตอบสั้น ๆ ราวกับว่ารู้อยู่แล้วต้องมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เธอเคยคิดไว้
‘ไหน ๆ มันก็เป็นข่าวไปแล้ว...บอสของผมเลยจะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส…โดยจะขอเชิญคุณไปคุยเพื่อร่วมโครงการใหม่กับเรา’ ชายหนุ่มแอบลอบมองปฏิกิริยาของหญิงสาว
หญิงสาวส่ายหน้าในทันทีโดยไม่ฟังต่อให้จบ ‘ไม่ค่ะ’
‘คุณไม่ลองฟังเนื้อหาของโครงการนี้หน่อยเหรอครับ’ ชายหนุ่มส่งสายตาวิงวอนร้องขอ
‘ไม่ค่ะ’ หญิงสาวยังคงยืนยันหนักแน่น แล้วกำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกไปจากการสนทนา
‘ค่าตอบแทนหลักล้านเลยนะครับ’ ชายหนุ่มตัดสินใจงัดไม้เด็ดสุดท้ายออกมา โดยที่เขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่ในความรู้สึกตอนนั้นคือ ลองสักตั้ง พูดออกมาดีกว่าไม่พูด เพราะเขาก็ไม่มีอะไรที่จะเสียอยู่แล้ว
หญิงสาวหยุดชะงัก เมื่อได้ยินคำว่าเงินหลักล้านเข้ามาในโสตประสาท จู่ ๆ สัญญาณเสียงที่เธอได้ยิน ก็ได้ถูกแปลงมาเป็นสัญญาณภาพปรากฏเป็นเงินจำนวนเจ็ดร้อยล้านเข้ามาวนเวียนในหัวของเธออีกครั้ง ‘มันก็ไม่ได้แย่นะ ถ้าจะค่อย ๆ สะสมเงินไปเรื่อย ๆ ในระหว่างนี้ก็ถ่วงเวลาไปก่อน รอให้ได้เงินครบเจ็ดร้อยล้านเมื่อไหร่ ฉันก็จะได้เป็นอิสระแล้ว เงินล้านที่ว่านี้ ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย’ เธอรำพึงรำพันอยู่ในใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ถ้าเธอจะต้องเจอกับความไม่ถูกใจ หรือฝืนใจทำอะไรที่ไม่ชอบบ้าง แต่มันได้มาซึ่งสิ่งตอบแทนที่มันสมน้ำสมเนื้อ มันก็ต้องยอมแลก
หญิงสาวหันมาส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ‘โครงการนี้สำคัญกับคุณมากเลยเหรอคะ’ เธอพยายามเบี่ยงเบนออกนอกประเด็น เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มจับได้ว่าเธอสนใจเรื่องเงินอยู่...เพราะมันจะทำให้เธอดูเหมือนผู้หญิงหน้าเงิน ซึ่งมันไม่สมกับเป็นเธอเอาเสียเลย
ชายหนุ่มพยักหน้า ‘ครับ’
‘แล้วฉันจะพิจารณาดูนะคะ’ หญิงสาวแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
หลังจากที่ชายหนุ่มกลับไป หญิงสาวก็คิดได้ว่าเงินเจ็ดร้อยล้านนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับหนึ่งซึ่งไม่ควรที่จะให้เรื่องอาการบาดเจ็บที่เท้าของเธอนี้มาเป็นอุปสรรค เมื่อตัดสินใจได้แล้วนั้น เธอก็รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุดเพื่อเข้าไปที่บริษัทของเธอ “สัตยธนะวงศ์ กรุ๊ป” และเมื่อถึงที่หมาย หญิงสาวมีท่าทางทุลักทุเล ก่อนที่จะลงจากรถ เพราะเธอใส่รองเท้าส้นสูง ในขณะที่เท้าของเธอ ก็ยังบาดเจ็บอยู่ เมื่อคนขับรถเห็นจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความห่วงใย ‘คุณคีไหวมั้ยครับ ให้ผมประคองไปมั้ยครับ’
หญิงสาวยิ้มหวานให้เจ้าของคำถาม ‘ไม่เป็นไรค่ะน้าจร คีโอเคค่ะ...น้าจรทำธุระได้ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวถ้าใกล้เสร็จแล้ว คีจะโทรแจ้งน้าจรนะคะ’
‘ครับ คุณคี’
เมื่อก้าวเท้าลงจากรถ หญิงสาวพยายามยืนตัวตรงสง่า โดยซ่อนความเจ็บปวดของเท้าไว้ไม่ให้แสดงอาการ เธอเดินตรงเข้าไปในบริษัทของเธอ ระหว่างทางนั้นต้องเจอพนักงานมากหน้าหลายตา เธอจึงต้องพยักหน้า ยกมือรับไหว้ให้กับพนักงานที่เข้ามาทักทาย แม้ว่าสีหน้าจะยิ้มแย้มสดใสราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ในใจนั้นคิดแต่เพียงว่า ทำไมระยะทางจากตรงนี้จนถึงที่ห้องทำงานของเธอมันจึงได้ไกลเพียงนี้ ทำไมแต่ก่อนเธอถึงไม่เคยรู้สึกว่าระยะทางแค่นี้จะเป็นอุปสรรค แต่ในวันนี้ เธอถึงกับอยากจะย้ายห้องทำงานของเธอมาไว้ที่หน้าบริษัทกันเลยทีเดียว เมื่อเดินมาถึงโต๊ะเลขาของเธอ คีตาถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ‘เฮ้อ! ถึงสักที’
‘สวัสดีค่ะคุณคี’ เลขาสาวสวยยืนขึ้นและยกมือสวัสดีคีตา
คีตายกมือรับไหว้อย่างสุภาพ ก่อนที่จะสั่งงานด่วน ‘สวัสดีค่ะ วันนี้รบกวนคุณโสนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการก่อสร้างของรัฐบาลหน่อยนะคะ ถ้าเป็นไปได้ คีขอเป็นเวลาบ่ายสามโมงค่ะ ขอโทษทีนะคะ งานนี้ด่วนจริง ๆ’
‘ค่ะ คุณคี’ โสรตาเลขาสาวพยักหน้ารับ
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ทุกหน่วยงานต่างเข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง เมื่อคีตาเปิดประตูห้องประชุมเข้ามา ก็กล่าวเปิดประชุมโดยไม่รอเวลา
‘คีต้องขอบคุณทุกท่านมากนะคะ ที่เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงในวันนี้ และก็ต้องขอโทษด้วยที่เป็นการนัดอย่างฉุกเฉินโดยที่ไม่ได้ให้ทุกท่านเตรียมตัวก่อน’ เมื่อพูดเสร็จหญิงสาวก็ส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้กับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน
‘ในปีนี้ คีได้ยินมาว่าหน่วยงานของรัฐได้เปิดประมูลโครงการก่อสร้างหลายโครงการ คีจึงอยากให้ทุกท่านช่วยกันรวบรวมและศึกษาข้อมูลว่าโครงการไหนที่เราสามารถจะเข้าร่วมประมูลได้โดยเร็วที่สุด โดยคีอยากให้ทำแผนงาน และงบประมาณการก่อสร้างอย่างละเอียด โดยขอให้นำเสนอภายในสัปดาห์หน้านะคะ’ เธอหันไปส่งยิ้มให้กับผู้เข้าร่วมประชุมอีกครั้ง
‘มีใครมีคำถามมั้ยคะ’
‘แต่บริษัทของเราเป็นกิจการเกี่ยวกับการออกแบบก่อสร้าง แต่โครงการที่คุณคีพูดถึงเป็นโครงการก่อสร้าง แล้วมันจะเข้าข่ายกับงานของเราเหรอครับ’ ผู้จัดการฝ่ายออกแบบเอ่ยถามถึงความขัดแย้งของเนื้องาน
‘เราจะร่วมทุนกับบริษัทก่อสร้าง อีกบริษัทค่ะ เพื่อให้เราสามารถที่จะรับงานนี้ได้’
‘มีใครมีคำถามเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ’
ผู้เข้าประชุมทุกคนต่างพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ
‘ถ้าอย่างนั้น สัปดาห์หน้าเจอกันนะคะ...ขอบคุณค่ะ’
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาหญิงสาวมัวแต่ครุ่นคิดหาหนทางเรื่องเงินเจ็ดร้อยล้าน จนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน จะเรียกได้ว่าเธอแทบจะกินนอนไปพร้อมกับการค้นหาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการใหม่ของเธอก็เป็นได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดูนาฬิกาอีกที เธอก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอมีนัดกับกันตภัทร์ ซึ่งนัดนี้ เธอก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เธอรีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเข้าห้องน้ำไปอย่างร้อนรน ในระหว่างนั้นก็คิดว่าจะต้องแต่งตัวแบบไหนดี เพราะเธอไม่คุ้นชินกับการพบปะกับคนในวงการบันเทิงเอาเสียเลย
ระหว่างที่คีตากับกันตภัทร์นั่งรอบอสอยู่ที่ห้องรับรองของบริษัท หญิงสาวมองไปโดยรอบ ก็เห็นถึงความหรูหรานั้นทิ่มแทงเข้ามาในตาของเธอโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการพิจารณา เธอพยายามคิดว่าเธอจะต้องปฏิบัติตัวในลักษณะใดจึงจะเหมาะสมกับสถานที่แบบนี้ และกับคนที่อยู่ในสายอาชีพนี้ แต่ยังคิดไม่จบ ก็มีเสียงทักทายดังขึ้นมา
‘สวัสดีค่ะ’ คีตามองไปที่ต้นเสียง ก็พบผู้ชาย แต่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงเสียมากกว่าทักทายและมองมาที่เธอ
คีตายกมือสวัสดีเขา แล้วทักทายเขากลับตามมารยาท ‘สวัสดีค่ะ’
‘คุณคี...นี่พี่ซาร่า ผู้จัดการส่วนตัวของผม...พี่ซาร่า...นี่คือคุณคี...เอ่อ!’ กันตภัทร์หยุดคิดไปชั่วขณะ เพราะไม่รู้ว่าจะแนะนำคีตาให้รู้จักในฐานะอะไรดี ‘คุณคีก็คือคุณคีครับ’ และนั่นคือการจบคำแนะนำอย่างสวยงาม
คีตายิ้มให้ซาร่าอย่างสุภาพ
‘ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกนะคะ’ ซาร่ายิ้มหวานให้คีตา
หญิงสาวประหม่าเล็กน้อยจนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบกลับว่าอย่างไร เธอจึงทำได้เพียงแค่ตอบรับคำชมอย่างสุภาพ ‘ขอบคุณค่ะ’
‘ไปค่ะ...บอสรอพวกเราอยู่’ ซาร่ารีบพาเข้าเรื่องซึ่งเป็นสาระสำคัญสำหรับวันนี้
เมื่อทุกคนเข้าไปในห้องของบอส คีตาก็ได้สังเกตเห็นผู้ชายใส่ชุดสูทมาดเท่คนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย ซึ่งมองแค่เพียงผ่านก็รู้ได้เลยว่าเขาคนนั้นหล่อคมมาก ความหล่อถึงขนาดเป็นดาราระดับแนวหน้าเลยก็ยังได้ ผิวสีแทนของเขาช่างเนียนละเอียด ความสูงและหุ่นที่ดูกระชับช่างเป็นสิ่งที่สาวๆ น่าจะหลงใหลได้ปลื้มเอาเสียมาก ๆ ขนาดหญิงสาว ผู้ซึ่งมี สเป๊คเป็นผู้ชายขาวตี๋เห็นแล้วก็ยังอดที่จะเคลิ้มไม่ได้... ‘ก็ยังดีนะ ที่ยังมีผู้ชายคนอื่นอีกที่น่ามองอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่มีแต่ตากันต์คนนี้เพียงคนเดียว’ หญิงสาวนึกยิ้มกริ่มในใจ
เมื่อชายสุดหล่อเห็นว่าทุกคนเข้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว จึงเดินเข้ามาทักทายคีตาอย่างสุภาพ ‘สวัสดีครับคุณคีตา’
หญิงสาวยิ้มเขินให้เขาแบบออกอาการอย่างเห็นได้ชัด เพราะอันที่จริงแล้ว หญิงสาวไม่ค่อยคุ้นชินที่จะสนทนากับผู้ชายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะผู้ชายที่เข้าขั้นหล่อแล้วล่ะก็...ถ้าได้เจอทีไร...หญิงสาวก็มักจะเขินจนออกนอกหน้า จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติของหญิงสาวไปเสียแล้ว ‘สวัสดีค่ะ’ หญิงสาวยกมือสวัสดีชายหนุ่ม
‘นี่คุณเจษพิพัฒน์...บอสของผมครับ’ กันตภัทร์ทำหน้าที่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน
‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ’ เจษพิพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ผายมือไปที่โซฟารับแขก ‘เชิญนั่งก่อนครับ’
ซาร่า กันตภัทร์ และคีตา ต่างพากันไปนั่งที่โซฟา แล้วเจษพิพัฒน์จึงนั่งลงตามหลังจากที่ทั้งสามนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
‘วันนี้คุณคีคงทราบเบื้องต้นแล้วใช่มั้ยครับ ว่าผมเชิญมาคุยเรื่องโครงการหนึ่ง’ เจษพิพัฒน์ไม่รีรอรีบตัดบทเข้าเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวพยักหน้าหนึ่งครั้ง ‘ค่ะ’
‘เนื่องจากตอนนี้กำลังมีข่าวระหว่างคุณคีกับกันต์อยู่…และทางเราก็ยังไม่ได้จัดแถลงข่าวหรือให้ข่าวใด ๆ ไปเลยทั้งสิ้น เพราะเราคิดว่าจะใช้โครงการนี้เป็นคำตอบสำหรับข่าวที่เกิดขึ้น’ เจษพิพัฒน์อธิบายอย่างมีหลักการ
‘ยังไงเหรอคะ’ หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘เราจะทำเรียลลิตี้โชว์ ซึ่งก็เป็นการถ่ายทำกิจวัตรประจำวันระหว่างคุณคีกับกันต์’ ใบหน้าคมสันนั้นยิ้มเจิดจ้าให้คีตาและกันตภัทร์
ไม่ต้องเดาก็น่าจะรู้ได้เลยทันทีว่า คนที่รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้คงเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากคีตา แม้ว่าภายนอกสีหน้าของหล่อนจะราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ แต่ภายในกลับกระวนกระวายจนแทบจะอยากเดินออกจากห้องนี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด การที่เธอจะได้เงินล้านมานี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง เธอผิดเองที่ทึกทักเอาเองว่าจะได้เงินจำนวนนี้มาแบบง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องลงทุนทำอะไรมากมาย เธอผิดเอง ที่เธอละโมบโลภมาก จนไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะรับปากทำงานนี้..และ ณ เวลานี้ ก็เหมือนกับขึ้นหลังเสือแล้ว จะเปลี่ยนใจลงก็คงจะไม่ได้ แต่ถ้าจะไปต่อ ก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า หญิงสาวคิดโอดครวญอยู่ในใจ
---------------------------------------------------------------
ที่มา
* ปาปารัสซี (อังกฤษ : paparazzi, อิตาลี : paparazzo แปลว่า ยุง) เป็นการเรียกนักข่าวสายบันเทิงที่เสนอข่าวในแนวแอบถ่าย โดยนำเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของดาราหรือผู้มีชื่อเสียงมาเปิดเผย, http://th.wikipedia.org/wiki/ปาปารัซซี
---------------------------------------------------------------
#ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจนะคะ
# โปรดติดตามความเข้มข้นของซ้อนกลรักตอนต่อไปด้วยนะคะ
#ด้วยรัก...Kwitch
#ซ้อนกลรัก #ดราม่า, #น่ารัก, #นิยายรัก, #นิยายโรแมนติก, #หวาน, #ความรัก, #นิยายโรมานซ์, #แอบรัก, #แต่งงาน