เศรษฐีขี้แย่ง

ยั่ว

บทที่ 18

ตบปาก

ยามเช้าชิงเสียนที่เพิ่งดื่มชาหอมล้างปากหลังกินอาหารเสร็จก็เห็นมี่ว่านเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี มี่ว่านผู้นี้เป็นสาวใช้เรือนชั้นนอกไม่ได้รับใช้ใกล้ชิดเช่นสวีเจาหรือเกอล่า แต่สาวใช้บ่าวไพร่ในเรือนทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ใช้การได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ก็มีข้ารับใช้ส่วนหนึ่งที่ไม่สะอาด แต่นางเก็บคนเหล่านั้นไว้ใกล้ตัวเพื่อจับตาดูได้สะดวก โดยที่ไม่ต้องระแวงข้างหลังกลัวว่าศัตรูจะอยู่ในที่ลับจะลงมือทำอะไรโดยที่นางไม่ทันได้รับมือ

“ท่านหญิง”

“พูดมาเถอะ” ชิงเสียนพยักหน้ารับน้อยๆ มี่ว่านเป็นสาวใช้เรือนนอกหากรู้ข่าวคราวอะไรที่แพร่ออกไปก็อาจจะเร็วกว่าสวีเจาอยู่เล็กน้อย

“ตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นคนส่งผักและโรงครัวก็พากันพูดแล้วว่า...”

“มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่เล่า รีบพูดมาเร็ว!” สวีเจาเอ่ยเร่ง มองมี่ว่านที่มีสีหน้าอึกอักไม่กล้าพูดต่อ

“คนพวกนั้นพูดกันว่า ว่าอ๋องน้อย...เป็น เป็นบุตรที่ท่านหญิง ให้กำเนิดเจ้าค่ะ...”

รอยยิ้มบางๆ ที่ประดับใบหน้าชิงเสียนพลันตกลง กลิ่นอายรอบด้านอึมครึมกดดันขึ้นมาในทันที มี่ว่านเดิมทีที่เห็นว่าท่านหญิงมีสีหน้าผ่อนคลายจึงไม่อยากทำให้นางอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงข่าวที่ลือกันไปดุจไฟลามก็อดไม่ไหว เมื่อข่าวลือนี้เกี่ยวข้องกับท่านอ๋องน้อยที่ท่านหญิงเอ็นดู นิสัยของท่านหญิงข้ารับใช้รอบกายล้วนเข้าใจดี ถึงได้นำเรื่องร้ายแรงนี้มาถ่ายทอด

เมื่อเห็นท่านหญิงมีสีหน้าเคร่งขรึมก็ตัดสินใจพูดขึ้นโดยไม่เก็บงำอีก ใบหน้าบูดบึ้งเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่พอใจ

“ซ้ำคนต่ำช้าก็พากันพูดว่าหลังคืนนี้ผ่านพ้นท่านอ๋องน้อยคงได้น้องสาวหรือไม่ก็น้องชายเป็นเพื่อนเล่นแล้ว!” มี่ว่านพูดไปน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาดุจไม่ได้ความยุติธรรมยิ่งยวด

เรื่องราวเหลวไหลพรรค์นี้เกินไปแล้วจริงๆ ข่าวลือมากมายก่อนหน้านี้ใช่ว่าท่านหญิงไม่เคยได้ยิน แต่ที่ท่านหญิงยังคงนิ่งเฉยก็เพราะไม่ถือสา ไม่ออกมาแก้ต่างหาความก็เพราะไม่อยากทำเรื่องใดให้ใหญ่โต ริมฝีปากคำคนห้ามยากเหมือนห้ามสายน้ำให้หยุดนิ่ง เมื่อสายน้ำหยุดอุทกภัยใหญ่จะบังเกิด ท่านหญิงจึงได้ปล่อยให้คำว่าร้ายและข่าวลือไหลพัดไปโดยไม่ใส่ใจ!

ไม่ว่าท่านหญิงขยับกายไปทางใดผู้คนก็ต่างมองในแง่ร้ายไปเสียหมด จนทำให้เหล่าสาวใช้ในเรือนทนไม่ไหวออกปากแก้ต่างให้แก่ท่านหญิง แต่พอพูดคุยกันได้ไม่ทันไรคนเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาตบตีจนเกิดเป็นการวิวาทใหญ่โต สุดท้ายแล้วก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนเลวทรามต่ำช้าใช้โอกาสนี้ใส่ความว่าแม้แต่สาวใช้ก็ยังจองหองป่าเถื่อนไม่แพ้ผู้เป็นนาย ท้ายที่สุดแล้วท่านหญิงจึงได้เรียกบ่าวไพร่สาวใช้ทั้งหมดมาพูดคุย วาจาครั้งนั้นที่ท่านหญิงพูดขึ้นนั้นยังคงตรึงในใจ

‘อันตัวข้ามิใช่คนดี แต่การว่าร้ายเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวข้าเปลี่ยนแปลงไปตามคำกล่าวเท็จ เมื่อน้ำลดหินยังคงอยู่ หากข้าหนักแน่นพอหินก้อนนั้นก็จะตั้งตระหง่านไม่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนผิดรูป

สำหรับพวกเจ้าที่รับใช้ข้าใกล้ชิด หากเกิดมีวันใดที่ข้าแปรเปลี่ยนไปตามกระแสน้ำ หากวันใดที่เจ้าสิ้นศรัทธาหมดความเชื่อมั่น หากวันนั้นมาถึงพวกเจ้าเพียงแค่เดินมาบอกข้า ข้าจะให้ค่าตอบแทนแก่พวกเจ้าอย่างสมน้ำสมเนื้อ ให้เจ้าได้กลับไปหาครอบครัวใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่ลำบาก แต่หากคิดจะแปรเปลี่ยนหลอมรวมกลายเป็นกระแสน้ำที่พัดกลับมากัดเซาะตัวข้า...ก็อย่าหวังว่าข้าจะคิดเมตตาปรานี’

“จำหน้าได้หรือไม่”

“คนสารเลวพวกนั้นต่อให้ข้าน้อยตายก็ไม่ลืม!” มี่ว่านเม้มปากแน่น ใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาพยักหน้ารับแรงๆ

“ดี! นำทาง”

ชิงเสียนจับพนักเก้าอี้ยันตัวลุกขึ้น เมื่อเดินออกมายังห้องชั้นนอกก็มองเห็นบ่าวไพร่สาวใช้ที่กำลังตั้งแถวเป็นขบวนซ้ายขวาอย่างพร้อมเพรียง ท่าทางฮึกเหิมดุจออกศึกมุมปากก็กระตุกยิ้มน้อยๆ สองมือสอดเก็บไว้ใต้แขนเสื้อ เพียงแค่ก้าวเท้าออกนอกเรือน ก็พบหน้าพ่อบ้านเคราขาวผู้เดียวกับคนที่เชิญนางร่วมโต๊ะอีกครา พอคาดเดาได้ว่าในจวนอ๋องฐานะของเขาคงมิใช่ธรรมดา

“ท่านเป็นใครกัน”

“ผู้น้อยหวนกง พ่อบ้านจวนฉางอ๋องขอรับท่านหญิง”

ชิงเสียนร้องอ้อขึ้นมา กวาดตามองเขาหนึ่งรอบจึงพูดอย่างนุ่มนวลเช่นเดิม “ท่านพ่อบ้านอยู่ที่นี่ ท่านอ๋องคงมีรับสั่งใดให้ข้ากระมัง”

หวนกงก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม รายงานทันที “ท่านอ๋องเอ่ยว่าระยะนี้ค่อนข้างยุ่ง ทั้งยังไม่มีผู้ใดคอยจัดการดูแลเรือนหลัง หากท่านหญิงพักอยู่ที่นี่แล้วมีสิ่งใดรบกวนจิตใจให้ขุ่นหมองสามารถจัดการได้ตามใจชอบขอรับ”

ชิงเสียนมุมปากกระตุกยิ้ม ดวงตาหรี่ลงกึ่งหนึ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร ฉางอ๋องคิดอยากให้นางทำความสะอาดจวนให้เขาสักคราหรือไร!

“จัดการตามใจชอบงั้นหรือ...หากข้าอยากเผาเรือนสักเรือนก็สามารถเผาได้ใช่หรือไม่”

หวนกงได้ยินเช่นนี้ก็ลอบเหงื่อตก แต่เมื่อนึกถึงวาจาของท่านอ๋องที่กำชับว่าหากท่านหญิงอยากจะทำอะไรล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้นก็กัดฟันแน่น ค้อมเอวต่ำลง ตอบรับเสียงสั่น

“ขอรับ หากท่านหญิงพอใจล้วนได้ทั้งนั้น...”

“ดี!”

ชิงเสียนพยักหน้าให้มี่ว่านนำทาง ก้าวเดินตามนางไปอย่างไม่รีบร้อน แมลงน่ารำคาญเหล่านี้หากอยากกำจัดทางที่ดีที่สุดก็คงต้องเผาให้วอด...น่าเสียดายที่จวนอ๋องแห่งนี้เป็นจวนที่ได้รับพระราชทาน หากเสียหายไปเพราะนางซีไทเฮาก็คงเดือดร้อน

หวนกงมองชายกระโปรงยาวที่ลากผ่านไปจึงกล้ายืดตัวขึ้น ควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนหน้าผากเมื่อเห็นขบวนสาวใช้แปดนางและบ่าวชายรูปร่างกำยำหน้าตาดุดันเคร่งขรึมหกคนคอยติดตามท่านหญิง รีบเดินตามไปด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน

คนเฝ้าประตูจวนเสนาบดีมีตำแหน่งเทียบเท่าขุนนางขั้นเจ็ด แต่ตัวเขานั้นเป็นพ่อบ้านใหญ่จวนอ๋องแม้แต่เสนาบดีพบตนก็ยังต้องมีความเกรงใจสักสามส่วน จึงทำให้มีความถือตัวและยโสอยู่บ้าง แต่สำหรับท่านหญิงชิงเสียนที่แม้แต่ท่านอ๋องยังหนีไปคลังเก็บสินค้าทันทีเมื่อได้ยินข่าวลือในจวนตนก็ไม่กล้าไม่เคารพ

ความเกรงใจนี้นอกจากท่านหญิงชิงเสียนแล้วท่านอ๋องก็ไม่เคยมีให้แก่ผู้ใด ซ้ำยังได้ยินว่าวัยเยาว์ท่านหญิงปราบท่านอ๋องที่อยู่ในวัยที่กำลังเลือดร้อนดุจน้ำมันเดือดได้อยู่หมัด...


“สตรีดีๆ ไหนเลยจะวิ่งหาบุรุษยามกลางคืนกันเล่า ทั้งยังดื่มสุราใต้แสงจันทร์ บรรยากาศงดงามเป็นใจเพียงนั้น หึหึ” สตรีรูปร่างอวบอ้วนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ไม้ในโรงครัว มือแกะเมล็ดแตงนั่งล้อมวงสนทนากับสตรีอีกสามนาง พากันพูดคุยเรื่องซุบซิบที่กำลังโด่งดังในเวลานี้อย่างออกรส

“ชื่อเสียงของนางนั้นเหลวแหลกมานาน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นนี้ คบชู้สู่ชายทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งเข้าจวนกั๋วกงได้ไม่ทันไร...”

“บ๊ะ! ใช่เสียเมื่อไหร่! นางสวมหมวกเขียวให้ท่านกั๋วกงต่างหากเล่า มิเช่นนั้นท่านอ๋องน้อยจะมาจากที่ใดได้! ปกติแล้วแม้แต่แม่นมเหนียนท่านอ๋องน้อยก็ใช่ว่าง่าย ไม่ได้ยินหรือยามอยู่ต่อหน้าท่านหญิงอ๋องน้อยเรียบร้อยมากเพียงใด ไม่ได้ยินเหล่าสาวใช้ในโถงหลักพูดกันหรือไร คงได้กลิ่นนมแม่กระมังถึงได้ว่านอนสอนง่ายเช่นนั้น ฮ่าๆๆ”

เสียงพูดคุยและหัวเราะลั่นที่ผ่านกำแพงออกมานี้ทำให้หวงกงตัวสั่น ลอบมองท่านหญิงที่มีสีหน้าเรียบเฉยจนไม่อาจอ่านอารมณ์ใดๆ ออก ปกติแล้วจวนอ๋องเข้มงวดกับบ่าวไพร่ เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งข่าวคราวนี้กลับเป็นสาวใช้ของท่านหญิงที่รู้ก่อน ตนจึงไม่มีโอกาสยื่นมือจัดการให้ทันท่วงที คำพูดของหญิงสารเลวนั่นอย่าว่าแต่เข้าหูท่านอ๋องหรือท่านหญิงเลย แม้แต่ตนก็ยังทนฟังไม่ได้! ความบกพร่องครั้งใหญ่นี้ดูแล้วตนคงยากที่จะพ้นโทสะของท่านอ๋อง!

“บังอาจ!”

หวนกงไม่ทันได้อ้าปากเปล่งเสียง คนที่พูดกลับเป็นมี่ว่านที่โกรธจนตัวสั่น เสียงพุ่งนำทางไปก่อนที่จะได้เดินเลี้ยวผ่านประตูวงจันทร์มุ่งเข้าสู่โรงครัว

มี่ว่านกระทืบเท้า พุ่งเข้าไปด้านในแม้ตัวนางจะเป็นสตรีร่างผอมบางแต่เมื่อนางโกรธขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด พุ่งเข้าไปจิกผมสตรีร่างอ้วนบนแคร่ลากนางลงมาที่พื้นฟาดมือตบตีอย่างทนไม่ไหว รู้ดีว่าหน้าตาของผู้เป็นนายส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับบ่าวไพร่ผู้ติดตาม การกระทำนี้ย่อมทำให้ชื่อเสียงของท่านหญิงมัวหมอง แต่คำพูดนี้ร้ายกาจเกินจะทนไหว ไม่ต้องรอให้หูกูกูได้ไล่นางออก นางก็จะคุกเข่ารับผิดทันที!

สตรีสามนางที่เห็นว่าหญิงบ้าที่ใดไม่รู้พุ่งตัวมาตบตีสหายก็ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปคิดจะดึงตัวหญิงบ้าออกมา แต่เมื่อขยับกายลงจากแคร่ขบวนกลุ่มคนก็เดินเข้ามาสตรีผู้หนึ่งโดดเด่นออกจากกลุ่มคน แสงตะวันร้อนแรงที่อยู่เบื้องหลังนางนี้ยิ่งทำให้พวกนางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรงๆ ในขณะที่กำลังบื้อใบ้เสียงตวาดก็ดังขึ้น

“บังอาจท่านหญิงชิงเสียนอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่คุกเข่า!”

คำว่าท่านหญิงชิงเสียนที่ดังขึ้นนี้ทำให้สตรีปากพล่อยแข้งขาอ่อนยวบ ล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาหันมองไปยังสตรีร่างอ้วนที่ถูกตบตีจนหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแตกจนเลือดหลั่ง ซึมผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงดุจผีร้าย มองไปยังนางเป็นทางเดียวดุจต้องการความช่วยเหลือ

มิใช่มีคนบอกว่าไว้หรือ ต่อให้พูดอย่างไรท่านหญิงชิงเสียนก็ไม่มีทางใส่ใจหาความมิใช่หรือไร!

เกอล่าว่างเก้าอี้ที่ยกติดมือมาตั้งแต่ในเรือนลง ชิงเสียนจึงนั่งลงอยู่ตรงหน้าสตรีสี่นาง ดวงตาเย็นยะเยือกกวาดตามองพวกนางที่คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น สีหน้าหวาดกลัวซีดขาวนี้ไม่ทำให้ชิงเสียนใจอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย

“ได้ยินมาจากผู้ใด”

ชิงเสียนออกปากขึ้นเมื่อสตรีนางหนึ่งเผลอสบตากับนาง สาวใช้ในโรงครัวมีหรือที่จะมีปัญญารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวในเรือนหลัก ทั้งยังเป็นโถงใหญ่ในจวนอ๋อง เรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ต้องเป็นคนในที่นำความออกมา! สตรีผู้นั้นสะดุ้งเฮือกท่าทางหลุกหลิกร้อนรน ก้มหน้าลงร้องเสียงโหยหวน

“ข้าน้อย ข้าน้อยผิดไปแล้ว! เจ้าค่ะ...ข้า”

“ตบปาก” ชิงเสียนสั่งเสียงเรียบส่งสายตาให้คนของนางจิกหัวสตรีอีกคนหนึ่งขึ้นให้สบตากับนาง ถามคำถามเดิมอีกครั้ง

“ได้ยินมาจากผู้ใด”

“ข้าน้อยโง่เขลา...”

“ตบปาก”

เสียงเนื้อกระทบตีดังขึ้นในเวลาเดียวกับเสียงโหยหวนของสตรีที่ถูกตบปากไปแล้วสองนาง ฝีปากแตกออกจนเลือดท่วม แก้มซ้ายขวาแดงจัดเป็นรูปมือประทับเด่นชัด เมื่อมีไก่ถูกเชือดไปแล้วสองตัว ลิงที่เห็นภาพตรงหน้ามีหรือที่จะเงียบงัน มาถึงสตรีคนที่สามชิงเสียนจึงได้ความ

“ปะ...เป็นสาวใช้ในโถงหลักที่คุยกับเจ้าค่ะท่านหญิง! ยกโทษให้ข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ!”

“บังอาจ! สาวใช้โถงหลักล้วนเป็นคนที่ข้าเลือกมากับมือ ชนชั้นต่ำเช่นพวกเจ้า ต่ำช้าเช่นนี้ถึงเป็นได้เพียงแค่สาวใช้ในโรงครัว! ปลิ้นปล้อนตลบตะแลง!” หวงกงได้ยินเช่นนี้ก็เต้นผางขึ้นมาทันที สาวใช้ในโถงหลักตนคัดเลือกมากับมือ คัดเลือกมาทีละคนอย่างระมัดระวัง ล้วนสะอาดหมดจดและรู้ความทั้งสิ้น!

“ปะ เป็น...”

“ตบปาก” ชิงเสียนไม่แยแสท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ สั่งการอีกครา ตอนนี้สตรีที่ถูกตบปากนางแรกก็ยังคงถูกตบปากอยู่ แม้จะถูกตบจนเลือดกบปากหรือฟันหลุดร่วงออกมาทั้งแผงหากไม่ได้รับคำสั่งของนางให้หยุดมือ คนของนางก็ไม่มีทางหยุด

ชิงเสียนไล่มองหญิงอ้วนที่ถูกมี่ว่านพุ่งเข้าไปตบตี ไม่ทันให้นางได้อ้าปากถามเมื่อมีไก่ถูกเชือดไปแล้วสามตัว ลิงตัวใหญ่จึงเข้าใจดีควรจะต้องพูดอะไร....

“ปะ เป็น...เสี่ยวฮวา! สาวใช้ของซูฮูหยินเจ้าค่ะท่านหญิง!”

ชิงเสียนกระตุกยิ้มมุมปาก ยามลุกขึ้นจากเก้าอี้จึงได้รู้ว่าตอนนี้รอบด้านมิได้มีเพียงคนของนางเท่านั้น สาวใช้และบ่าวไพร่ที่เพิ่งกินข้าวเสร็จจากในโรงครัวล้วนรับรู้เหตุการณ์กันหมด สายตาคมกริบราวใบมีดกวาดมองทั่วทิศ ทำให้สาวใช้บ่าวไพร่โดยรอบถอยเท้าหลุบตา ไม่กล้าสบสายตาขู่ขวัญของท่านหญิง ทั้งยังพากันปิดปากแน่นเก็บฟันเอาไว้กินข้าวในมื้อต่อๆ ไป...

“วันนี้อากาศดีไม่เลว สมควรไปเยี่ยมซูฮูหยินสนทนาตามประสาพี่น้องสักหน่อยแล้ว” ชิงเสียนฉีกยิ้มบางๆ หมุนกายเดินออกจากโรงครัวไป แต่คนของนางก็ยังไม่ลืมที่จะลากสตรีรูปร่างอ้วนท้วนติดมือตามมาด้วย...

บรรยากาศในเรือนรับรองตอนนี้ผ่อนคลายเปี่ยมด้วยความอบอุ่น คล้ายยังไม่รู้ถึงเค้าลางของพายุใหญ่ที่กำลังก่อตัวเหนือหลังคา

“ดีขึ้นมากแล้ว ดีที่ข้ามีเจ้า” เหวินเฉียงจับฝ่ามือที่กำลังกดนวดที่ขมับ ลืมตาขึ้นมองดูรอยยิ้มละมุนละไมงดงามของซูเจินที่คลี่ยิ้มให้เขา

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแค่ท่านพี่ไม่กังวลเรื่องข่าวลือเหลวไหลข้าก็เบาใจมากแล้ว” นางพูดพลางยิ้มบางๆ ขยับพลิกฝ่ามือหนาขึ้นแนบใบหน้า

“ข่าวลืออะไร”

ซูเจินที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ดวงตากลมเบนหลบด้วยความร้อนรน เม้มปากแน่นคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดเรื่องไม่ควรออกมา

“เด็กโง่ พูดมาเถอะไม่ต้องกลัวข้ากังวลใจ ข่าวลืออะไรเจ้าพูดมาเถอะ” เหวินเฉียงถอนหายใจยาว หยัดตัวลุกขึ้นจากตัก ยกมือลูบหัวปลอบโยนซูเจินที่มีสีหน้าซีดเผือดไม่สบายใจ

พลันเสียงฝีเท้ามากมายหลายคู่ที่ดังขึ้นเข้าหูเหวินเฉียงไม่ทันได้หันมองเสียงก้องกังวานของชิงเสียนก็ดังขึ้น

“ข่าวลือที่ว่าตัวข้าเป็นมารดาที่ให้กำเนิดท่านอ๋องน้อย”

เหวินเฉียงได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่นมองชิงเสียนด้วยแววตาค้นหา ด้านหลังนางนอกจากจะมีขบวนสาวใช้และบ่าวไพร่ ยังมีพ่อบ้านเคราขาวติดตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง

“เจิ้นกั๋วกง ข่าวลือใดๆ ที่เกี่ยวกับตัวข้า ข้าไม่ถือสาล้วนชินชาไปแล้ว แต่หากเป็นเรื่องนี้ข้าก็อดคาดหวังอยู่ไม่ได้ว่าท่านคงจะรับรู้ถึงความร้ายแรงของข่าวลือนี้ได้”

เหวินเฉียงสีหน้าเคร่งขรึมมองชิงเสียนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีก็รู้สึกอึดอัดใจ เขารู้ถึงความร้ายแรงดี เรื่องนี้เกี่ยวพันกับฉางอ๋องและอ๋องน้อย รวมถึงชิงเสียนและตัวเขา ล้วนเกี่ยวข้องกันหมดทุกฝ่าย หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไขให้กระจ่าง ต่อไปข่าวลือลวงๆ นี้อาจจะกลายเป็นหนามแห่งความหวาดระแวงที่ย้อนกลับมาทำร้ายคนทั้งหมด

“มาหาข้าถึงที่นี่คงใช่รู้ตัวการแล้วกระมัง” เหวินเฉียงถอนใจยาวออกมา ลุกนั่งหันหน้าไปทางชิงเสียน

ชิงเสียนหัวเราะเบาๆ มองเหวินเฉียงด้วยแววตาอ่อนใจ นางมาที่นี่หาใช่เพราะต้องการพบเขาเสียที่ใด เขาเพียงแค่บังเอิญอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น แม้กระนั้นนางก็ยังคงไว้หน้าเขาพยักหน้ารับ

“อืม รู้ตัวการแล้ว เมื่อท่านกั๋วกงอยู่ที่นี่พอดีข้าจึงอยากจะถามความคิดเห็นท่านสักหน่อยว่าควรจะจัดการลงโทษเช่นไร” นางยิ้มบางๆ อธิบายอย่างละเอียดชี้ให้เหวินเฉียงเห็นความร้ายแรงนี้

“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงจวนอ๋อง มิใช่เรื่องเล็กๆ ฐานะของฉางอ๋องเป็นถึงเหอซั่วชินหวังผู้มีฐานะรองจากรัชทายาท เป็นเชื้อพระวงศ์มีสายเลือดของโอรสสวรรค์ ทั้งยังมีศักดิ์เป็นถึงปิตุลาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เรื่องเหล่านี้ผู้คนคงหลงลืมไปแล้วกระมังถึงได้กล้าสร้างเรื่องเหลวไหลขึ้นมา!” น้ำเสียงดุดันกระแทกกระทั้นและสายตาของชิงเสียนที่ปรายมองไปยังซูเจินนี้ทำให้นางต้องเบนสายตาหลบ สีหน้าซีดขาวขึ้นในทันที

เมื่อได้ชิงเสียนเตือนสติเหวินเฉียงถึงได้รับรู้ความร้ายแรงได้อย่างชัดเจน หลังจากกลุ่มกบฏคัวอ๋องถูกกำจัดฉางอ๋องก็ถอยฉากออกไปจนหมดจด ราชสำนักในตอนนี้มีเพียงขุนนางเก่าแก่ที่ภักดีต่อฉางอ๋องไม่กี่คนจึงไม่นับว่าเป็นหนามในตา

ทั้งฉางอ๋องก็ไม่เข้าเมืองหลวงเพียงปกครองเมืองตามบรรดาศักดิ์อย่างเรียบง่ายเท่านั้นจึงทำให้ผู้อื่นหลงลืมมองข้ามความเกรงขามในอดีตไปจนสิ้น ทั้งยังมีความผ่อนคลายในยามแรกพบที่ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคลายความระแวดระวังลง



--------------------

อีบุ๊กออกแล้วจ้าา

ตอนนี้มีโปรลดราคาอยู่ 15 วันนะคะ

ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่จะอัพนะคะ ให้ทันกับตอนตัวอย่างในอีบุ๊ก หากนักอ่านท่านใดไม่สะดวกโหลดอีบุ๊ก ลี่ลี่จะอัพรายตอนแบบติดเหรียญจบหลังจากนี้ประมาณ 3-4 อาทิตย์น้า

ขอบพระคุณนักอ่านทุกๆ ท่าน ทุกคอมเมนต์และทุกการกดหัวใจรวมถึงการพูดคุยและการให้คำแนะนำ ขอบคุณทุกการสนับสนุนมากๆ เลยค่ะและต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยค่า

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว