.....ดลคะ วดีจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไร...
.... ลืมตาขึ้นมาสิคะ....
.... วดีรักคุณ และจะรักตลอดไป.....
เสียงเย็นยะเยือกราวกับว่ากำลังร่ำไห้ในความมืดมิด
“เสียงใครน่ะ เสียงใคร”
อิงดาวตะโกนออกไป หันมองรอบกายมีเพียงความมืดมิด เหวิ้งหว้างกว้างใหญ่
“เมื่อสิ้นบุญวาสนาต่อกัน เหนี่ยวรั้งเอาไว้ก็มีแต่ทุกข์ จงตัดใจเสียเถิด และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขเถิดหนา”
เสียงทุ้มกังวานดังตอบกลับมา
“คุณเป็นใคร ? ที่นี่ที่ไหน ?”
อิงดาวหันซ้าย แลขวาด้วยความหวาดผวา เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก
“อิงดาว อิงดาว”
นางจันทร์เรียกชื่อลูกสาวเบา ๆ พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากร่างผอม
อิงดาวได้ยินเสียงแม่เรียกชื่อเธอ หญิงสาวจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น กะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับภาพให้ชัดเจนขึ้น และเมื่อเห็นภาพชัดเต็มตา เธอพบว่าตนเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล เห็นเตียงคนไข้เตียงลายเต็มไปหมด กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อคลักคลุ้งจนฉุนจมูก แม่กับน้องของเธอยืนอยู่ข้างเตียงด้วยใบหน้าเศร้าสลด
“แม่”
เธอรู้สึกว่าลำคอแห้งผากและเหนื่อยเกินไปแม้แต่เสียงก็ยังเปล่งออกมาได้เพียงแผ่วเบา
น้ำตาของนางจันทร์ร่วงเผาะ ลงที่แก้มลูกสาว นางกลั้นสะอื้นในอก เพราะไม่อยากให้ลูกรักที่พึ่งฟื้นสติขึ้นมาเสียขวัญเพราะความเศร้าโศกของผู้เป็นแม่
“อิงเจ็บตรงไหนไหม”
มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับลูกสาว แต่นางกลับเอ่ยออกมาเพียงได้เท่านี้ ดวงตาแดงก่ำมีน้ำใสคลอคล้ายกับคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มือผ่ายผอมสั่นระริกลูบลงที่ศีรษะของลูกสาว พลางทรุดนั่งลงเก้าอี้ข้างเตียงโดยมีลูกชายยืนขนาบข้าง
“ไม่เจ็บค่ะ หนูแค่เป็นหวัดเองนะคะ ทำไมหนูมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้คะ”
คำถามนั้นทำให้นางจันทร์ถึงกับน้ำตาไหลพรากอาบลงสองแก้ม
“แม่ แม่เป็นอะไร ร้องไห้ทำไมคะ”
อิงดาวตกใจมากที่เห็นแม่ร้องไห้ จึงพยายามดันตัวลุกขึ้น แต่กลับพบว่าเธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับ จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าที่แขนข้างซ้ายมีเข็มขนาดใหญ่ฝังลงไปใต้กล้ามเนื้อ เลือดสีแดงข้นกำลังไหลไปตามสายยางระโยงรยางค์ไปสู่เครื่องมือทางการแพทย์บางอย่างที่กำลังส่งเสียงเบา ๆ มีไฟตัวเลขแสดงค่าบางอย่างกะพริบเป็นระยะ ๆ จากนั้นเลือดของเธอก็ไหลออกจากเครื่องเข้าสู่ร่างกายเธออีกครั้งเป็นเช่นนี้หมุนวนไปเรื่อย ๆ
“หนูเป็นอะไรคะ”
คำถามแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากบางซีดด้วยความตระหนกอย่างสุดขีด กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ
บัดนี้นางจันทร์ปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากออกมา จะขยับปากพูดทีไหรเสียงสะอื้นก็กลบจนหมด แม่ไม่สามารถตอบเธอได้อีกแล้ว ส่วนน้องชายก็ยืนก้มหน้าหลบตาใบหน้าที่เคยดื้อรัน บัดนี้กับเศร้าหมอง
ความทรงจำสุดท้ายผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ก่อนที่เธอจะสลบไป เธอวิ่งขึ้นไปบนชั้น 6 ของตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อยับยั้งไม่ให้อาจารย์ธาวินเกิดอุบัติเหตุจากการถูกตัดสายเบรก จากนั้น เธอก็หมดสติไป
- แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น –
- ฉันมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร –
- แล้วสลบไปนานแค่ไหน แล้วทำไมแม่ต้องร้องไห้-
อิงดาวถามตนเองซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าในใจ และก่อนที่ความคิดสับวุ่นวายจะผุดขึ้นมามากกว่านี้ นางพยาบาลในชุดสีขาว สวมหมวกคาดแถบดำก็เดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า
“คนไข้ฟื้นแล้วรึค่ะ อีกประมาณสิบนาทีเครื่องก็จะฟอกเลือดเสร็จแล้วค่ะ จากนั้นนอนพักสักสามสิบนาทีนะคะ เพื่อปรับสมดุลเพราะผู้ป่วยเพิ่งเข้ารับการฟอกเลือดเพื่อล้างไตเป็นครั้งแรก อีกทั้ง ตอนนี้ร่างกายคนไข้ค่อนข้างอ่อนแอนอนพักสักหน่อยค่อยกลับบ้านได้ค่ะ”
พยาบาลอธิบายขณะที่กำลังไล่สายตาไปตามสายยางเพื่อตรวจดูว่ายังอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อป้องกันเข็มเลื่อนหลุด เพราะหากเข็มขยับอาจจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ โดยเฉพาะเด็กสาวคนนี้เส้นเลือดเธอก็คงจะเปราะบางไม่ต่างจากร่างผอมบางของเธอที่นอนซมอยู่บนเตียง
“คุณพยาบาลคะ ดิฉันป่วยเป็นอะไรคะ”
อิงดาวถามพยาบาลที่กำลังทำอะไรบางอย่างกับเครื่องมือทางการแพทย์ที่กำลังสูบเลือดของเธอออก
พยาบาลคนนั้นหันกลับมามองคนไข้สาวบนเตียง จากนั้นก็มองดูญาติของเธอที่กำลังกลั้นสะอื้นอยู่ข้างเตียง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หล่อนเห็นมันจนชินตา บางครั้งญาติกำลังใจดีกว่าคนไข้ บางครั้งเป็นคนไข้เสียเองที่ต้องปลอบญาติ และเธอเองก็เป็นเพียงผู้ที่ช่วยให้ความเจ็บปวดทางกายบรรเทาลง ส่วนกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นนั้น อยู่ที่ตัวของคนไข้เอง
“คนไข้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายค่ะ”
พยาบาลตอบไปตามหน้าที่
คำตอบนั้นทำให้อิงดาวอึ้งไปชั่วขณะ โรคไตวายเรื้อรังเท่าที่เธอเคยทราบมา มักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงวัยที่มีโรคประจำตัวเป็นความดัน หรือเบาหวานไม่ใช่เหรอ แล้วเธอป่วยได้อย่างไร
“หนูจะป่วยได้ไงคะคุณพยาบาล หนูเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่เองนะคะ”
คำถามคล้ายกับยังไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาจาดปากบางซีด ดวงตาอิดโรยของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
พยาบาลจึงอธิบายให้เธอฟังต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า
“โรคไตวายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยค่ะ แม้แต่เด็กทารกที่เพิ่งคลอดก็เป็นได้ค่ะ ส่วนในกรณีของคนไข้นั้นซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวระยะแรกที่เป็นจึงไม่แสดงออก และพบได้น้อยมาก คือ หนึ่งพันคนจะพบผู้ป่วยโรคไตในวัยนี้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น เมื่อเป็นหนักเข้าจะเริ่มอ่อนเพลีย ตัวซีดมากขึ้น ตาเหลือง มือเท้าบวม ปวดท้อง และผิวหนังมีรอยคล้ำเป็นจ้ำ ๆ”
สิ่งที่พยาบาลบอกล้วนตรงกับอาการที่อิงดาวเป็นทั้งหมด มันตอกย้ำให้หญิงสาวยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
“โรคนี้เป็นโรคทางกายภาพไม่มีทางรักษาหาย ต้องใช้วิธีการฟอกเลือดล้างไตเพื่อต่อชีวิตไปเรื่อย ๆ สำหรับคนไข้เป็นระยะสุดท้ายแล้วต้องมาฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 4 – 5 ชั่วโมงนะคะ”
พยาบาลอธิบายให้คนไข้ฟังจนครบ เพราะคนไข้โรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่จะต้องรักษาตลอดชีวิต หากคนไข้เข้าใจโรคที่เกิดขึ้นและดูแลรักษาตนเองควบคู่กับการฟอกเลือดกก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี ซึ่งขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนไข้ด้วย
เมื่อคนไข้ยังคงนิ่งไม่มีคำถามเพิ่มเติม พยาบาลจึงหันไปเอ่ยกับญาติคนไข้ที่กำลังเช็ดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างว่า
“รบกวนคุณแม่มาชำระค่าใช้จ่ายในการฟอกเลือดที่ห้องจ่ายเงินด้วยค่ะ”
“เท่าไหร่คะ”
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของญาติคนไข้ แต่กลับเป็นคนไข้สาวบนเตียงที่รีบถามขึ้น
“ประมาณสามพันห้าร้อยบาทในครั้งแรกนี้ค่ะ แต่ครั้งต่อไปก็ประมาณ สองพันกว่าบาทจ้า ส่วนตัวเลขที่แน่ชัดต้องถามที่ห้องจ่ายเงินนะคะ”
พูดจบพยาบาลก็เดินออกไปดูคนไข้ที่เตียงอื่น ๆ ต่อไป จากนั้น ตะวันก็พยุงนางจันทร์ให้ลุกขึ้นไปยังห้องจ่ายเงิน ปล่อยให้อิงดาวนอนจมอยู่กับความคิดเพียงลำพัง
อิงดาวเม้มริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดถึงค่ารักษาพยาบาล หากค่าฟอกเลือดแต่ละครั้งประมาณสองพันกว่า อาทิตย์หนึ่งฟอกสามครั้ง รวมค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะต้องมาที่โรงพยาบาลตกเดือนละประมาณสามหมื่นบาท เงินจำนวนนี้แม้แต่เงินเดือนของเธอและรายได้จากการขายข้าวแกงยังไม่พอสำหรับเงินที่ต้องสูญเสียไปเพื่อยื้อลมหายใจของหล่อนเอาไว้
.........................................................................
หลังออกจากโรงพยาบาลอิงดาวนอนพักฟื้นที่บ้านหนึ่งวัน เมื่อรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้ เธอจึงมาที่สำนักงานวิจัยเพื่อยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ
แม้หัวหน้าสำนักงานจะคัดค้าน เพราะเห็นว่าโรคไตวายเรื้อรังนี้หากฟอกเลือดล้างไตก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เหมือนกับคนปกติ และทำงานให้กับสำนักงานได้เช่นเดิม แต่อิงดาวก็ให้เหตุผลที่หัวหน้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สวัสดิการของมหาวิทยาลัยไม่ครอบคลุมเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่สามารถเบิกได้ อีกทั้ง การที่ต้องไปฟอกเลือดอาทิตย์ละสามครั้ง จะทำให้รบกวนเวลาทำงานของสำนักงานด้วย ดังนั้น หัวหน้าสำนักงานจึงยินยอมลงนามในใบลาออกให้กับอิงดาวด้วยความเศร้าใจ
“อิง ๆ จะลาออกจริง ๆ เหรอ”
ใหม่เดินเข้ามาหาเพื่อนสาว ที่กำลังเก็บของที่โต๊ะทำงาน ไม่ได้เจอกันเพียงแค่สองวัน นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่มีพลังเต็มเปี่ยมจะดูผอมซูบและไร้เรี่ยวแรงได้ขนาดนี้ เธอรู้แค่ว่าหญิงสาวป่วยกะทันหันจึงต้องลาออก แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร
“อืม อิงไม่อยากเป็นภาระให้กับสำนักงานนะ”
อิงดาวตอบเสียงเบา พยายามยิ้มให้เพื่อนเพื่อให้เห็นว่าเธอยังเข้มแข็ง แต่รอยยิ้มของเธอช่างฝืนยิ่งนัก
“อิงไม่เคยเป็นภาระเลยนะ ในทางตรงกันข้าม อิงช่วยงานพวกพี่ ๆ ได้เยอะเลย เปลี่ยนใจไม่ได้เหรอ”
พี่มุตาเดินเข้ามาสมทบ เมื่อรู้ข่าวว่าอิงดาวยื่นหนังสือลาออกกับหัวหน้า เธอก็รู้สึกใจหายไม่น้อยที่ต้องสุญเสียพนักงานเก่ง ๆ และขยันขันแข็งอย่างอิงดาวไป
“ขอบคุณค่ะ พี่ตา ที่ชมหนูตลอดเลย แต่อิงคงอยู่ทำงานต่อไม่ได้แล้วจริง ๆ ค่ะ” อิงดาวตอบได้เพียงเท่านั้น ก้อนแข็ง ๆ ก็วิ่งมาจุกที่ลำคอ น้ำใส ๆ ก็รื้อขึ้นมา ประโยคหลังที่เธอจะบอกกับทุกคนจึงไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ เธอบอกกับทุกคนไม่ได้ว่า โรคที่เธอเป็นนั้นไม่มีทางรักษาหาย ต้องฟอกเลือดจึงจะมีลมหายใจอยู่ได้ แต่ค่าฟอกเลือดแต่ละครั้งนั้นแพงเหลือเกิน คนจน ๆ อย่างเธอจึงไม่มีเงินมากพอที่จะต่อชีวิตให้กับตนเอง
“อิงดาว”
ใหม่เรียกชื่อเพื่อนด้วยความสงสาร เพราะเห็นเพื่อนกลั้นน้ำตาเอาไว้ สุดท้ายมันก็หยดเผาะลงพื้นโต๊ะ
“อืม ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ”
พี่มุตาเอ่ยเสียงเบา เบือนหน้าไปทางอื่น กลัวว่าตนเองจะร้องไห้ไปกับหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ พี่มุตา”
อิงดาวยกมือไหว้ขอบคุณพี่สาวที่เคยทำงานร่วมกันมาเป็นครั้งสุดท้าย เธอจะจำมิตรภาพดี ๆ ที่เกิดในสำนักงานแห่งนี้ไว้ในใจเสมอ
เมื่อร่ำลากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในสำนักวิจัยเรียบร้อยแล้ว เธอจึงขอตัวออกมาเลย เพราะเกรงว่าหากอยู่ต่อ น้ำตาของเธออาจจะท่วมสำนักงานแน่ ๆ เธอไม่อยากทิ้งงานที่รัก ไม่อยากจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ไม่อยากไปจากสำนักงาน แต่โรคที่เธอเป็นบังคับให้เธอต้องละทิ้งทุกอย่างเพราะเวลาชีวิตของเธอเหลือน้อยเต็มที
และคนที่หล่อนอยากเจอมากที่สุด ก่อนที่จะไม่ได้กลับมาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกแล้วคือ รองศาสตราจารย์ ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ เพื่อนที่สำนักงานบอกกับเธอว่า เมื่อสองวันก่อน มีข่าวลือว่ารถของอาจารย์ธาวิน ถูกนักศึกษาตัดเบรก โชคดีที่ ดร.ประชา โทรไปเตือนทัน จึงทำให้อาจารย์ธาวินประคองรถไว้ได้ และไม่เกิดอุบัติเหตุแต่อย่างใด ในเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอถูกกล่าวถึงว่าเป็นเพียง “เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง” เท่านั้น
แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเธอคือคนที่ช่วยอาจารย์ธาวินเอาไว้ แต่นั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่อาจารย์ธาวินปลอดภัย เพียงเท่านี้หล่อนก็ดีใจมากแล้ว
สองเท้าของอิงดาวก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ตอนนี้จวนเจียนจะเที่ยงแล้ว ถ้าเธอไปถึงที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ในช่วงเวลาที่อาจารย์ธาวินพักเที่ยงพอดี บางทีเธออาจจะได้มีโอกาสเจออาจารธาวินเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ และเธอก็จะได้คืนผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับบอกขอบคุณกับเขาเสียที
“เอ๊ะ”
อิงดาวชะงักฝีเท้าลง เพราะเห็นรถยุโรปสีเงินวาวคันหนึ่งกำลังแล่นออกมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ เธอไม่แน่ใจว่าใช่รถของอาจารย์ธาวินหรือไม่ เธอจึงหยุดมองรถคันนั้น และเมื่อมันแล่นเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น จึงมองเห็นอาจารย์ธาวินเป็นคนขับ ด้านข้างมีอาจารย์สาวสวยคนที่เธอเห็นเดินคู่กันกับอาจารย์ธาวินเมื่อหลายก่อน
“อาจารย์ธาวินคะ”
อิงดาวตะโกนเรียกพลางโบกมือให้รถหยุด วันนี้เธอจะต้องคืนผ้าเช็ดหน้าให้เขาให้ได้ แต่คนในรถดูเหมือนว่าจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย ทั้งคู่พูดคุยและยิ้มให้กันและกัน
“อาจารย์คะ หยุดก่อนค่ะ อาจารย์ธาวิน”
อิงดาววิ่งตามรถจนสุดกำลัง วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้เจอเขา หากพลาดโอกาสนี้ไป ทั้งชีวิตนี้หล่อนก็คงไม่มีโอกาสบอกความในใจกับเขาอีกแล้ว
ตึก ตึก ตึก
ยิ่งร่างผอมเร่งฝีเท้าวิ่งตามมากขึ้นเท่าไหร่ รถยุโรปสีเงินวาวคันนั้นก็เหมือนยิ่งไกลออกไปมากเท้านั้น อิงดาวรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ลมหายใจติดขัด
“โอ๊ย !”
อิงดาวล้มลงไปกับพื้นเพราะข้อเท้าพลิก แสงแดดยามเที่ยงแผดความร้อนระอุออกมาจนเธอรู้สึกทุกอย่างพร่ามัวไปหมด แม้แต่รถยุโรปสีเงินวาวคันนั้นก็หายลับไปจากสายตา
“อาจารย์ธาวิน”
เธอเรียกชื่อเขาออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง สวรรค์ช่างใจร้ายกับเธอนัก ขอแค่ได้เจอหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียง น้อยใจตนเอง ที่เกิดมามีบุญเท่านี้ เป็นได้แค่เพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่คู่ควรกับรองศาสตราจารย์ผู้สูงส่ง
..............................จบตอน................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว