เพลิงแพศยา-ระแคะระคาย

โดย  บุษบาหนึ่งหรัด

เพลิงแพศยา

ระแคะระคาย

"เดี๋ยว เจซีหยุดก่อน นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย อยากเดือดร้อนหรือไง?"

"เธอสิจะเดือดร้อนถ้ายังคิดจะอยู่กับยัยผีนั่นอีก เธอเป็นอะไรของเธอห๊ะทิ ทำไมยอมให้เขารังแกแบบนี้ ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ"

"นายไม่เข้าใจหรอก ตอนนี้นายก็กำลังทำให้ฉันเดือดร้อน"

กะทิสะบัดมือออกจากฝ่ามือแกร่งที่ฉุดข้อมือเธอลากออกมาจากห้องถ่ายแบบท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

"เอาสิ ถ้ากลับเข้าไปอีกเจอดีแน่"

"นายอย่ามายุ่งเรื่องนี้เลย พิพิมเป็นน้องสาวฉัน ฉันต้องกลับไปดูแลเธอ"

"ไม่ให้ไป! น้องบ้าอะไรจะทำกับพี่แบบนี้ เค้าคิดว่าเธอเป็นพี่จริงๆหรือเปล่า?"

"......"

เขาพึ่งรู้ว่ายัยเด็กเวรนั่นเป็นน้องสาวเธอ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินมาผ่านๆ ว่าในบ้านหลังนั้นยังมีพี่ชายกับน้องสาวเธออยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเพราะคนเดียวที่อยู่ในความคิดเขาก็คือเธอ ดังนั้นคำพูดที่โพล่งออกไปเมื่อสักครู่จึงไม่ได้ผ่านการทบทวนอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกจุกในอกจนพูดไม่ออก ซึ่งพอเห็นสายตาสลดของยัยกะทิบูด คนที่พูดไม่คิดจึงรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาไม่น่าปากพล่อยเลยจริงๆ

"ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่ายัยนั่นเป็นน้องเธอนี่"

"ไม่เป็นไร ขอบใจที่เป็นห่วง นายกลับเข้าไปข้างในเถอะ อย่าทำเสียงานเพราะเรื่องแค่นี้เลย"

เธอเข้าใจดีว่าที่เจซีทำไปเพราะเขาเป็นห่วง แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันคงไม่คุ้มหากต้องมาเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้ เธอรู้ดีว่าที่ต้องเผชิญเรื่องยุ่งๆทั้งวันนั้นเป็นเพราะพิพิมต้องการแกล้งเธอ และมันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเธอก็ชินแล้ว

"ไม่กลับหรอก ฉันไม่มีอารมณ์แล้ว ป่านนี้เค้าคงเก็บของยกเลิกถ่ายกันแล้วด้วย"

"เฮ้ออ.. นายไม่น่าใจร้อนเลยจริงๆ"

"ก็ถ้ามีใครมาทำอะไรคนที่เรา.. "

"คนที่เราอะไร?"

"เปล่า ช่างเหอะ จะไปไหนต่อหรือเปล่า พอดีตอนนี้ว่างจะอาสาไปส่งให้ถึงที่"

เจซีรีบเปลี่ยนเรื่องเป็นอย่างอื่นกะทันหัน เขาเกือบหลุดปากบอกความรู้สึกออกไปแล้วเชียว ซึ่งหากยัยกะทิบูดรู้ว่าเขาชอบเธออยู่มีหวังได้โดนยัยนี่ทึ้งผมหลุดออกเป็นกระจุกแน่

"งั้นไปส่งที่ร้านได้มั๊ย ไหนๆก็ไม่มีถ่ายแล้ว เหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าผับจะเปิด ขอไปขายรองเท้าหาตังค์ก่อนแล้วกัน"

"ปะ ไปไหนก็ไป"

ว่าแล้วเจซีก็คว้ามือเธอไปกุมไว้แล้วจูงพาไปขึ้นรถอย่างอารมณ์ดี หารู้ไม่ว่าตอนนี้ภาพที่เขาอยู่กับเธออย่างสนิทชิดเชื้อนั้นถูกมือดีรัวชัตเตอร์เก็บทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ได้ทุกอิริยาบถเลยทีเดียว

.

.

"บอสจะกลับบ้านเลยหรือว่าจะแวะไปที่ไหนก่อนมั๊ยครับ?"

"กลับบ้านก็แล้วกัน"

หลังจากประชุมเครียดมาทั้งวันศดิศจึงอยากกลับไปพักผ่อน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เขารับตำแหน่งใหม่ในฐานะประธานผู้บริหารสูงสุดต่อจากคุณปู่ ดังนั้นจึงมีหลายอย่างให้ต้องจัดการจนกว่าระบบงานบริหารที่เขาวางไว้จะลงตัว

"คุณท่านคงจะมีความสุขมากนะครับที่บอสกลับมาอยู่ด้วยแบบนี้ บอกตรงๆนะครับ เมื่อก่อนผมคิดว่าคุณทิเป็นหลานสาวท่านจริงๆ ขนาดคุณท่านยังเคยเอ่ยปากเองเลยว่าจะยกสมบัติทุกอย่างให้คุณทิคนเดียว"

เลขาส่วนตัวที่เคยทำงานกับอัศวินมาหลายปีเอ่ยขึ้นเพื่อชวนคุยคลายเครียดขณะรถติด ศดิศหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอเมื่อนึกภาพตามที่เลขาบอก ยัยหนูกะทิคนนั้นคงจะสนิทกับปู่เขามาก ช่วงที่เขาไม่อยู่เธอก็คงมาเล่นที่บ้านบ่อยๆ ยิ่งนึกถึงเสียงเจื้อยแจ้วที่ได้ยินเจ้าตัวพูดกับปู่เขาเมื่อหลายวันก่อนแล้วรอยยิ้มตรงมุมปากก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

"ตอนนี้กี่ทุ่มแล้ว?"

"จะสองทุ่มแล้วครับ บอสลืมอะไรไว้ที่บริษัทเหรอครับ?"

"เปล่า"

ใบหน้าหล่อเหลาหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง เวลานี้ผับที่เธอทำงานอยู่คงยังไม่เปิด หากจะไปหาที่ดูดบุหรี่เงียบๆเพื่อกวนประสาทใครบางคนสักหน่อยก็คงทำไม่ได้แล้ว ดังนั้นเป้าหมายเขาจึงยังคงเป็นการกลับไปทานข้าวที่บ้านพร้อมคุณปู่เช่นเคย

"อาตฤณ"

เจซีเรียกอาหนุ่มเสียงดังพร้อมกับวิ่งเข้ามากอดด้วยความดีใจ

"โห ทำไมแก่แล้วหล่อแบบนี้ล่ะครับ"

หลังจากที่เจซีไปส่งกะทิที่ร้านรองเท้าของเธอแล้วเขาก็ถูกยัยนั่นไล่ออกมาอย่างหมดสภาพ ดังนั้นเขาจึงวนรถกลับมาบ้านเพื่อรอพบอาหนุ่มที่ไม่ได้เจอกันนาน แต่เมื่อห้าปีก่อนตอนเขาไปถ่ายละครที่อเมริกาก็ได้แวะไปเยี่ยมศดิศกับคุณลุงคุณป้าที่นั่นด้วย ซึ่งตอนนั้นกับตอนนี้ศดิศก็ยังคงความหล่อแถมยังหนุ่มแน่นอยู่มากเอาไว้ได้เสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว

"หึหึ.. เขาเรียกว่าหล่อสมวัย"

"จิ๊จิ๊.. แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วมั๊ง ผมว่าอาต้องมีของดี"

ศดิศเพียงขยิบตาหนึ่งข้างแล้วส่งยิ้มมีเสน่ห์ให้หลานชายที่ยืนอ้าปากหวอ เขาเข้าใจแล้วว่าไอ้ท่าทางแบบนี้เขาไปได้มาจากไหน ที่แท้..

"ไปทานข้าวกันเถอะ ป่านนี้คุณปู่หิวแย่แล้ว"

"ครับ"

สองอาหลานเดินกอดคอกันเข้าไปในบ้านหลังจากที่ทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว ต่างจากอีกคนที่ตอนนี้กำลังร้อนรนใจเนื่องจากระหว่างเดินทางไปทำงานที่ผับต่อในค่ำคืนนี้ แต่กลับได้รับสายจากปรเมษฐ์ผู้เป็นพ่อโทรตามให้กลับบ้านด่วน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่มั่นใจได้เลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เพราะปรเมษฐ์ไม่เคยโทรหาเธอเลยสักครั้งนอกเสียจากว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

"พี่ทิมาแล้วค่ะคุณพ่อ ฮึ่ก คุณพ่อต้องทำโทษพี่ทินะคะ ฮื่ออ.. พิพิมถูกทีมงานหัวเราะเยาะเหมือนตัวตลกแล้วก็เสียงานโฆษณาไปเพราะพี่ทิคนเดียว"

ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้ามาในห้องโถงดี เสียงหวานปนสะอื้นของพิพิมก็ลอยเข้าหูเธอมาเสียก่อน และจากที่ได้ยินก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องเมื่อตอนบ่ายนั่นเอง

ใบหน้าหวานของลูกสาวคนเล็กอันเป็นที่รักของทุกคนซบอยู่ตรงอกผู้เป็นบิดาและสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ส่วนพราวรุ้งก็นั่งปลอบประโลมลูบหัวลูบหางประคบประหงมอยู่ข้างๆด้วยสายตาเจ็บปวดเหลือคณาเมื่อเห็นน้ำตาของลูกสาวสุดที่รัก

"คุณพ่อ.."

กะทิเข้ามาในห้องแล้วเอ่ยเรียกบิดาเสียงเบาด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว ปรเมษฐ์ตวัดสายตาดุดันมองลูกสาวอีกคนที่เขาเกลียดแสนเกลียด ก่อนจะจับพิพิมให้ผละออกโดยมีพราวรุ้งโอบร่างแน่งน้อยเข้าไปกอดเอาไว้ แล้วผุดลุกขึ้นด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเกรี้ยวกราดจนคนตัวเล็กถึงกับยืนตัวสั่น

"มานี่เลยนังตัวดี!"

ฝ่ามือหนาของผู้เป็นพ่อคว้าไม้หวายเส้นขนาดเขื่องเอาไว้พร้อมทั้งย่างสามขุมเข้ามาหาลูกอีกคนอย่างน่ากลัว ก่อนจะง้างแขนขึ้นจนสุดแล้วฟาดไม้หวายลงไปตรงกลางหลังร่างบอบบางสุดแรงโดยไม่ถามไถ่ใดๆ ทั้งสิ้น

ฟุ่บบ!

"คุณพ่อ!!"

กะทิร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ไม้หวายขนาดเขื่องฟาดลงมาเพียงครั้งเดียวและอานุภาพของมันก็รุนแรงพอที่จะทำให้แผ่นหลังบอบบางปริแตกเป็นรอยยาวจนเลือดซึมออกมาติดเสื้อที่สวมอยู่ให้เห็นทันที

ฟุ่บบ! ฟุ่บบ!!

ร่างบอบบางล้มลงเมื่อถูกบิดากระหน่ำฟาดลงมาไม่ยั้ง สองมือน้อยยกขึ้นพนมกราบอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาขณะลนลานหนีบทลงโทษที่แสนโหดร้ายโดยไม่มีโอกาสได้อธิบายสักคำว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมายังไง

"ต้องเอาให้หราบจำค่ะคุณ ยัยทิอิจฉาพิพิมที่เป็นดารามีหน้ามีตาสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัว แบบนี้ต้องตีให้สันดานขี้อิจฉาไม่เหลือค่ะ"

พราวรุ้งลุกขึ้นมาช่วยจับร่างบอบบางที่ดิ้นรนหนีตายเอาไว้ให้สามีลงโทษได้ถนัด ดังนั้นร่างกายที่บอบช้ำอยู่แล้วจึงแทบหมดแรงช่วยเหลือตัวเองได้อีกต่อไป

ปรเมษฐ์เองก็รัวไม้หวายฟาดใส่แผ่นหลังบุตรสาวไม่ยั้งอย่างหน้ามืดตามัวท่ามกลางสายตาและรอยยิ้มสะใจของพิพิมและพราวรุ้ง เสียงกรีดร้องที่ดังลั่นคฤหาสน์ช่างบาดลึกไปถึงหัวใจของส้มและศรีนวลที่พากันยืนหลบอยู่ห่างๆไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยคุณหนูของตัวเองออกมา

"ป้า ฮื่ออ ป้า ทำยังไงดี จะช่วยคุณหนูยังไงดี?"

"ฮึ่ก กูก็ไม่รู้ ฮื่ออ โธ่ คุณหนู.."

"ป้า ฮื่ออ คุณหนูจะไม่ไหวแล้วป้า ฮื่ออ"

จากหัวอกคนที่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย มีหรือเธอจะทนดูความโหดร้ายผิดมนุษย์มนาที่ผู้เป็นพ่อหยิบยื่นให้ลูกได้ขนาดนี้ ต่อให้ต้องถูกไล่ออกเธอก็ยอม เธอจะไม่ทนให้คนในบ้านหลังนี้ข่มเหงรังแกคุณหนูของเธออีกต่อไปแล้ว

"กูจะไปหาคุณท่านอัศวิน ฮึ่ก มึงไปบอกตาบุญไว้ ถ้าเขาไล่ออกกูก็จะออก"

"ฉันไปด้วย ฮื่ออ ฉันก็ไม่อยู่"

"ไป ไปหาคุณท่าน"

ว่าแล้วศรีนวลกับส้มก็ทั้งจูงทั้งประคองกันวิ่งออกไปจากมุมที่หลบอยู่ เพื่อหวังพึ่งบารมีของใครอีกคนที่ไม่ใช่เจ้านายของตัวเองให้มาช่วยคุณหนูที่เธอรักเหมือนลูกในอุธรณ์

"คุณท่าน คุณท่านเจ้าขา ฮื่ออ คุณท่านอัศวิน"

"ป้า ป้ามาทำไมดึกดื่น คุณท่านเข้านอนแล้ว"

ชะเอมแม่บ้านใหญ่ของที่นี่ลุกออกมาดูตรงหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งเรียกตอนดึก แล้วผู้ที่มาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นป้าศรีนวลกับส้มผู้เป็นแม่บ้านของบ้านข้างๆกันนี่เอง

"ชะเอม เอ็งช่วยฉันทีเถอะ ฮื่ออ คุณหนูถูกนายท่านตีจนจะหมดแรงอยู่แล้ว"

"ห๊าา!!"

"ช่วยไปขอร้องคุณท่านให้มาช่วยคุณหนูที ฮื่ออ ฉันไหว้ล่ะ ช่วยคุณหนูด้วย"

"ป้าไม่ต้องไหว้ๆ รออยู่นี่นะ ฉันจะไปเรียนคุณท่านเดี๋ยวนี้"

ชะเอมเปิดประตูให้ป้าศรีนวลกับส้มเข้ามานั่งรอข้างในแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยหัวใจที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ แค่รู้ว่ากะทิถูกพ่อใจร้ายตีปางตายเธอก็ตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว สงสารคนตัวเล็กเหลือเกินที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง

"เกิดอะไรขึ้นครับป้าเอม ใครมากดกริ่งดังลั่นบ้านเลย?"

เจซีงัวเงียลุกขึ้นมาดูเพราะตอนที่กำลังเคลิ้มหลับเสียงออดก็ดังขึ้นติดๆกันจนเขานอนไม่หลับ พอๆกับศดิศที่เปิดประตูห้องทำงานออกมาด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน

"คุณเจซีอย่าพึ่งถามอะไรป้าตอนนี้เลยค่ะ ป้าขอไปปลุกคุณท่านก่อน"

ชะเอมรีบเอ่ยตัดบทแล้ววิ่งผ่านหน้าเจซีไป สองอาหลานก็ยิ่งสงสัยจึงได้ตามชะเอมไปติดๆ

ก๊อกก๊อกก๊อก!!

"คุณท่าน คุณท่านขา คุณท่านหลับหรือยังคะ?"

"มีเรื่องด่วนอะไรถึงกับต้องปลุกคุณปู่ดึกขนาดนี้?"

"โธ่ คุณตฤณคะ ก็หนูทิที่บ้านโน้นสิคะถูกท่านนายพลตีจนจะหมดแรงแล้ว"

"อะไรน๊ะ!"

เจซีโพล่งขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ อาการสะลึมสะลืองัวเงียเมื่อสักครู่หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้ยินว่ากะทิถูกพ่อทำร้ายอย่างหนัก

ปัง ปัง ปัง ปัง!!

"คุณปู่ คุณปู่ช่วยทิด้วย คุณปู่ตื่น!!"

ฝ่ามือหนาของดาราหนุ่มรัวทุบประตูห้องนอนผู้เป็นปู่เสียงดังปึงปัง ขณะที่ศดิศวิ่งกลับเข้าไปหยิบกุญแจรถในห้องนอนออกมาเพื่อที่จะพาปู่ไปบ้านหลังนั้นด้วยความไว

"เสียงดังเอะอะอะไรกัน นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามแล้ว"

ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับผู้อาวุโสสูงสุดของบ้าน อัศวินยังคงอยู่ในชุดนอนที่เป็นเสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงแพรเนื้อนุ่มเดินออกมาพร้อมไม้ตะพดข้างกาย

"คุณปู่อย่าพึ่งบ่น ไปช่วยทิก่อน ตอนนี้ทิถูกตีจนสลบไปแล้ว"

"ว่าไงน๊ะ!"

คิ้วสีดอกเลาขมวดเข้าหากันพร้อมทั้งโพล่งเสียงดังด้วยความตกใจ เรื่องใส่ไฟนี่ไว้ใจเจซีเถอะ แต่เพราะต้องเอาปู่ไปบ้านนั้นตอนนี้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

"เอารถไปเถอะครับ ไวกว่า"

ทั้งสองหนุ่มช่วยกันประคองปู่ลงไปขึ้นรถที่ชั้นล่าง จากนั้นรถคันหรูก็ถูกขับออกไปโดยมีชะเอมกับศรีนวลและส้มลอดช่องประตูเล็กที่กะทิใช้ผ่านไปมาระหว่างสองบ้านตามไปติดๆ

เสียงกรีดร้องเจ็บปวดยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องแม้จะแผ่วลงมากแล้วก็ตาม ช่างทรมานและบาดหัวใจคนที่ได้ยินจนต้องขบกรามแน่นระงับความโกรธเอาไว้ อัศวินแทบไม่เชื่อว่าจะต้องมาเห็นภาพทารุณแสนโหดร้ายที่ผู้เป็นพ่อกระทำต่อลูกสาวแท้ๆทั้งๆที่เขาอายุปูนนี้แล้วจริงๆ

"หยุดนะ!"

ชายชราตวาดเสียงกร้าวพร้อมทั้งปรี่เข้าไปยกไม้ตะพดขึ้นกันแส้หวายที่ปรเมษฐ์กำลังหวดลงมาบนร่างบอบบางได้ทันท่วงที

"คุณท่านอัศวิน"

ปรเมษฐ์ผงะถอยหลังออกไปด้วยความตกใจและเกรงกลัวต่อบารมีของอัศวินที่เพียงแค่เอ่ยชื่อคนกว่าครึ่งประเทศก็รู้ดีว่าชายชราผู้นี้มีอิทธิพลมากแค่ไหน

ร่างบอบบางนอนขดตัวเข้าหากันราวกับหนอนขณะที่ข้อมือทั้งสองข้างก็ถูกพราวรุ้งจับล็อกเอาไว้ เสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่ที่สวมอยู่ก็เต็มไปด้วยคราบเลือดอันเกิดจากการถูกผู้เป็นพ่อกระหน่ำตีจนผิวบอบบางเป็นแผลแตกเหวอะหวะแทบไม่มีพื้นที่ว่างให้เห็น

"ทิ!!"

"อ๊ายย!"

เจซีปรี่เข้าไปผลักพราวรุ้งออกจากร่างบอบบางแล้วประคองคนที่แทบหมดสติขึ้นมากอดแนบอก ทันทีที่ได้สัมผัสร่างบอบบางดาราหนุ่มก็หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

"ทิ ทิได้ยินมั๊ย ไม่เป็นไรนะ ทำใจดีๆไว้ อาตฤณ!"

ศดิศเองก็ตกใจกับภาพที่เห็นไม่ต่างกัน หากไม่มาเห็นกับตาเขาคงไม่เชื่อแน่ว่ายังมีพ่อที่กล้าตีลูกจนเลือดอาบไปทั้งตัวได้ขนาดนี้ กระทั่งได้ยินเจซีเรียกให้เข้าไปหา เขาถึงได้ถลาเข้าไปโอบร่างบอบบางที่รู้สึกว่าหากสัมผัสแรงกว่านี้ร่างกายเธออาจแตกสลายได้

"ต้องพาทิไปโรงพยาบาลก่อน"

"ไม่ได้!"

ปรเมษฐ์โพล่งขึ้นทันทีเมื่อได้ยินว่าจะมีคนพากะทิไปโรงพยาบาล ถ้ามีใครรู้เรื่องลูกคนนี้เขาและครอบครัวอาจจะลำบาก อีกทั้งหากคนนอกรู้ว่ากะทิเป็นพี่สาวของพิพิมแล้วด้วยจะยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่

"ต้องทำกันขนาดนี้เลยหรือ หนูทิทำอะไรผิดถึงได้ลงโทษกันเอาปางตายขนาดนี้"

อัศวินถามขึ้นอย่างเหลืออดเหลือทน หากเป็นสมัยหนุ่มเขาคงได้ปรี่เข้าไปชกหน้าไอ้นายพลใจอีกาคนนี้แล้วเป็นแน่ ปรเมษฐ์เองแม้จะไม่พอใจที่อัศวินบุกเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วยตัวเองทั้งๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยย่างกรายเข้ามาที่นี่เลยสักครั้ง คงเป็นเพราะนังลูกตัวดีนี่น่ะสิที่แอบไปหว่านเสน่ห์คนแก่จนเขารักและเอ็นดูขนาดนี้

"เป็นเรื่องในครอบครัวของผมครับ ขอร้องคุณท่านอย่าเข้ามายุ่ง"

"หึ! เห็นทีจะไม่ยุ่งไม่ได้ ถ้าจะฆ่าจะแกงลูกตัวเองได้ลงคอก็ยกเด็กคนนี้ให้ฉันเถอะ หากเลี้ยงแล้วเสียข้าวสุก เลี้ยงแล้วมันไม่รักดี เลี้ยงแล้วมันเป็นตัวซวย ก็ยกให้ฉัน ฉันจะขอเอาไปเลี้ยงเอง"

ปรเมษฐ์แทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดเลยว่าอัศวินจะรักเด็กคนนี้ถึงขนาดเอ่ยปากขอเอาไปเลี้ยงเอง ดวงตาคมของนายพลใหญ่ตวัดมองลูกสาวซึ่งถูกศดิศกอดไว้แนบอกด้วยสายตาจงเกลียดจงชังโดยไม่พูดอะไร ที่เขายังเกรงอกเกรงใจอัศวินขนาดนี้ก็เพราะครอบครัวเขาตั้งแต่รุ่นพ่อตาได้เป็นหนี้นายท่านผู้นี้อยู่จำนวนมหาศาล เพราะฉะนั้นจะพูดอะไรออกไปจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

"คุณแม่"

พิพิมเองก็ตกใจไม่ต่างกันเมื่อได้ยินว่าอัศวินจะขอกะทิไปเลี้ยงดูเอง พราวรุ้งถลึงตามองบุตรสาวให้เงียบเอาไว้ก่อน แม้ในใจจะร้อนรนที่นายท่านใหญ่แห่งตระกูลอัศวเทวากุลถึงกับเอ่ยปากขอนังเด็กเหลือขอนี่ไปเลี้ยง แบบนี้จะเรียกว่าบุญหล่นทับเลยก็ว่าได้ แต่เธอจะยอมให้นังเด็กคนนี้ได้ดีกว่าลูกเธอไม่ได้แน่นอน ไม่มีทาง..

"คงต้องขออภัยคุณท่านด้วยนะคะ แต่กะทิเป็นลูกของเรา และเราก็มีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้เธอเป็นคนดีอยู่ในโอวาทของพ่อแม่เท่านั้น"

"สั่งสอนโดยการเฆี่ยนให้ตายแบบนี้น่ะเหรอ แล้วคนนั้นล่ะ สั่งสอนเหมือนกันหรือเปล่า?"

ปลายไม้ตะพดชี้ไปที่พิพิมจนเจ้าตัวสะดุ้งรีบถอยไปหลบอยู่หลังผู้เป็นแม่ ขณะเดียวกันเธอก็ถูกทั้งศดิศและเจซีมองด้วยสายตาสมเพชจนรู้สึกอายไม่กล้ามองหน้าใคร ส่วนปรเมษฐ์และพราวรุ้งเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน หากอัศวินจะถามถึงความเท่าเทียมระหว่างพิพิมกับกะทิ ยังไงมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

"ไม่ว่าพวกเธอจะว่ายังไงฉันก็จะเอาเด็กคนนี้ไป ถ้ามีปัญหาก็ไปคุยกันที่โรงพัก ตฤณ เจซี พาน้องกลับบ้านเรา"

อัศวินพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ เขารู้ดีว่ายังไงปรเมษฐ์ก็ไม่กล้าขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเรื่องของกะทิแน่ ดวงตาคมกล้าของผู้ที่ผ่านโลกมามองปรเมษฐ์ด้วยสายตาจริงจังเสียจนคนเป็นพ่อแท้ๆรู้สึกละอาย

ศดิศที่ยังคงโอบกะทิเอาไว้สอดมือช้อนอุ้มร่างบอบบางสั่นระริกขึ้นแนบอกก้าวตามผู้เป็นปู่ออกไปโดยมีเจซีรั้งหลังให้

"คุณแม่ คุณพ่อ มันไปแล้ว บ้านนั้นเค้าเอาตัวมันไปแล้ว"

"หุบปาก!"

ปรเมษฐ์ตวาดสั่งบุตรสาวเสียงดัง แค่ท่านอัศวินมาที่นี่เขาก็รู้สึกเสียหน้ามากพอแล้ว แล้วนี่ยังมาเสียลูกสาวอีกคนไปโดยที่เขาไม่ได้อะไรตอบแทนเลยสักนิด อย่างน้อยได้ค่าน้ำชาคืนสักหน่อยก็ยังดี

"นี่คุณทำไมต้องขึ้นเสียงกับลูกของเราด้วย ดูสิ พิพิมกลัวจนตัวสั่นแล้ว"

"คุณก็อีกคน ทำเสียเรื่องหมด ผมล่ะปวดหัวกับพวกคุณจริงๆเลย"

"ขอโทษค่ะท่านนายพล คุณนาย"

ขณะที่สามคนพ่อแม่ลูกกำลังหัวเสียกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ ป้าศรีนวล ส้ม และลุงบุญก็พากันเข้ามาในห้องพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าและสัมภาระที่ดูเหมือนจะพากันย้ายที่อยู่อย่างไรอย่างนั้น

"พวกเรามาขอลาออกค่ะ"

"พูดอะไรบ้าๆป้า จะมาลาออกอะไรตอนนี้ จะออกก็ต้องรอให้ฉันได้คนใช้ใหม่ก่อนสิ"

"นั่นเป็นปัญหาของคุณนายค่ะ"

"ว่าไงนะ!"

"พวกเราขอลาค่ะ"

พูดจบศรีนวลก็หันหลังกลับเดินนำหน้าลุงบุญกับส้มออกไปราวนางพญา ต่างจากพราวรุ้งที่ทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างคนหมดแรง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นังเด็กเหลือขอนั่นก็ถูกคนอื่นเอาไปฟรีๆ คนใช้ในบ้านก็มาพากันลาออกไปเสียหมด ตกลงวันนี้คนที่ซวยจริงๆคือเธอใช่ไหมนี่

.

.

กะทิถูกพามาที่บ้านอัศวเทวากุลในที่สุด ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้หมดสติไปแล้ว อัศวินนั้นห่วงนักห่วงหนากลัวว่ายัยหนูกะทิจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้

"ตามหมอประจำตัวฉันมาเร็วๆ"

"ค่ะคุณท่าน"

ชะเอมที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ไม่ห่างรีบถอยออกไปทำตามที่นายท่านสั่งโดยเร็ว

"ทิ ได้ยินปู่มั๊ยลูก หนูอยู่บ้านปู่นะ ปลอดภัยแล้วนะเด็กดีของปู่"

ชายชราอดน้ำตาคลอไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าเด็กน้อยที่เขาเอ็นดูเหมือนลูกหลานแท้ๆถูกทำร้ายสาหัสขนาดนี้ก็ยิ่งโกรธปรเมษฐ์ที่ใจดำทำกับลูกได้ลงคอ

"คุณปู่พักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมกับเจซีจะช่วยกันดูน้องเอง"

ศดิศแตะแผ่นหลังผู้เป็นปู่เพราะเป็นห่วงสุขภาพกลัวว่าจะล้มป่วยไปอีกคน อัศวินจับฝ่ามือเล็กของกะทิขึ้นมาบีบกระชับเบาๆถ่ายทอดความห่วงใยก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ผู้เป็นหลานรับช่วงดูแลเธอต่อ

"อื้มม.. ปู่ฝากด้วยนะตฤณ เจซี"

"ครับ"

สองอาหลานรับปากขึ้นพร้อมกันแล้วลุกไปส่งผู้เป็นปู่ที่ห้องนอน ก่อนจะกลับมาเฝ้าคนตัวเล็กที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงใหญ่อีกครั้ง

"คุณตฤณกับคุณเจซีก็ไปพักผ่อนเถอะค่ะ คุณหมอกำลังมา เดี๋ยวป้าจะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนูทิก่อน"

"เดี๋ยวเราออกไปรอข้างนอก ป้าทำธุระเสร็จแล้วค่อยออกไปเรียกก็แล้วกัน"

"เอ่อ.. อย่างนั้นก็ได้ค่ะ"

"ปลอดภัยแล้วนะทิ จุ๊บ"

เจซีโน้มใบหน้าลงไปกระซิบบอกยัยตัวดีของเขาที่หลับไม่ได้สติพร้อมทั้งจุมพิตหน้าผากนูนเบาๆก่อนจะถูกฝ่ามือหนาของตฤณกระชากเส้นผมบนหนังศีรษะขึ้นสุดแรงแล้วลากออกไปข้างนอกด้วยกัน

"โอ๊ยย! อาเป็นไรไปเนี่ย?"

"อย่าทำแบบนั้นอีก"

ตฤณบอกเสียงเรียบด้วยใบหน้าเข้มขรึม เจซีมองอาหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจแล้วลูบผมตัวเองป้อยๆเพราะเจ็บหนังศีรษะจนน้ำตาเล็ด ส่วนตฤณเพียงเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานเพื่อดูดบุหรี่รอเวลาที่ป้าชะเอมจะออกมาเท่านั้น


~~~~~~O~~~~~~



โปรดติดตามตอนต่อไป


มาแล้วน๊าา มาอยู่บ้านนี้แล้วน๊าาา

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว