หลงรัก(เจ้า)สาวไซด์ไลน์

บทที่1. จะเอายังไง

ที่แห่งนี้มืดและแคบ เต็มไปด้วยกลิ่นอับเน่าเหม็นคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนจนหายใจแทบไม่ได้ หากไม่หายใจไปเลยคงง่ายกว่า ความทรมานเพราะหิวโหยจากการขาดน้ำกับอาหารมาหลายวัน ทั้งความเย็นยะเยือกสลับร้อนอบอ้าวจนเหงื่อโทรมกายบ่งบอกว่าช่วงใดคือเวลากลางวันหรือยามค่ำคืน แม้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ทว่าการอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่อันแสนน่ากลัวแห่งนี้ทำให้หดหู่ท้อแท้เหลือเกิน

ริมฝีปากซีดแห้งผากแตกจนขยับไม่ได้ ในคอแสบและสากระคายเพราะก่อนหน้านี้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแหบแห้ง น้ำลายที่กลืนลงคอแทบไม่มีอีกแล้ว อาการหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจค่อยๆ ลามเลียร่างกายอันไร้เรี่ยวแรง แม้จะรู้สึกว่าตนเองสั่นเทาไปทั้งกายใจหากความจริงกลับแทบไม่ขยับด้วยหมดหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว

หมดความหวัง หมดกำลังกายแรงใจ ยอมพ่ายแพ้ให้แก่มัจจุราชที่กำลังเอื้อมมือมาหา

ในเวลานี้ความตายคือทางรอด ทางที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากสถานที่อันน่าขยะแขยงนี้

‘ได้โปรด เอาชีวิตฉันไปเถิด ช่วยให้ฉันไปจากขุมนรกนี้เสียที’

หญิงสาววิงวอนขอความตายมานับครั้งไม่ถ้วน น้ำตาซึมขอบตาด้วยร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด รู้สึกราวสิ่งที่กำลังเอ่อคลอราวเป็นเลือดของตน เข้าใจคำว่าร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดดีทีเดียว

ความรู้สึกรับรู้เริ่มเลือนรางลงทีละนิด ริมฝีปากขาวซีดขยับมุมปากเล็กน้อยราวระบายยิ้ม

รับรู้ได้ว่าเวลาของตนมาถึงแล้ว มือบางผอมแทบจะเหลือเพียงกระดูกหุ้มข้อพยายามจะยกหากก็ไม่อาจทำได้

และแม้อยากไปจากโลกนี้เต็มทน ทว่าหัวใจดวงน้อยก็เศร้าสร้อยเหลือประมาณ เพราะนั่นเท่ากับว่าตนจะจากผู้ที่ตนรักสุดหัวใจไปตลอดกาล

‘ลาก่อนเพคะท่านชาย’


เจ็ดปีผ่านไป

รถคันโตหรูหราเคลื่อนมาจอดหน้าสโมสรซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ดีมีสกุลและชนชั้นสูง เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เพรียวกำยำเรียกสายตาของผู้คนทั้งชายหญิงให้มองตามด้วยความสนใจนับแต่ลงจากรถ แต่ละย่างก้าวมั่นคงหากไม่รีบร้อนพลางยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเข้าไปด้านในก็แจ้งกับบริกรว่าจองโต๊ะไว้ แล้วได้รับเชิญไปยังมุมภายในซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว หากคนในห้องอาการยังสามารถมองเห็นได้

แน่นอนว่านอกจากรูปลักษณ์ดึงดูดสายตาแล้ว ผู้คนที่มายังสโมสรแห่งนี้ย่อมรู้ว่าบุรุษผู้ดูสง่างาม ผ่าเผยภูมิฐานคือหม่อมเจ้าปกรณ์ อรรถพันธ์พงศ์ ทายาทเพียงหนึ่งเดียวในราชสกุลอรรถพันธ์พงศ์

ทว่านับจากนั่งดูรายการอาหารไปพลางรอผู้ที่นัดหมายเอาไว้นานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีใครปรากฏกาย คิ้วเข้มหนาเหนือแว่นใสขมวดเล็กน้อยหลังจากเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะปิดเมนูฉับ

เลยเวลานัดมานานเช่นนี้เห็นทีคงไม่มาเป็นแน่

ขณะกำลังจะลุกก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อร่างสูงโปร่งกว่ามาตรฐานหญิงไทย หากดูอรชรอ้อนแอ้นก็เข้ามาด้านหน้าประตู ทว่าหญิงสาวไม่ได้มาคนเดียว มีชายหนุ่มตามติดมาด้วย แต่เหมือนจะเพียงมาส่งเท่านั้นเพราะทั้งคู่ราวร่ำลา ชายคนนั้นจับมือบางไปจุมพิตพร้อมส่งสายตาหวานเชื่อมก่อนจากไป แล้วหญิงสาวจึงพูดคุยกับบริกรด้านหน้า อีกฝ่ายก็เดินนำมายังโต๊ะที่ตนนั่งอยู่

ทุกสายตาของผู้คนต่างมองตามหญิงสาวที่ดูสวยงามเฉิดฉาย ท่วงท่าการเดินมั่นใจยิ่งทำให้เจ้าตัวดูระเหิดระหง ใบหน้าขาวจัดมีสีเรื่อ สีผิวแม้ขาวซีดหากดูสุขภาพดี ความคมเข้มอย่างไทยผสมผสานชาติพันธุ์ตะวันตกส่งให้ดวงหน้าเรียวที่มัดผมหางม้านั้นยิ่งเด่นสะดุดตา

แต่การที่เจ้าตัวใส่เสื้อกีฬาแขนกุดกับกระโปรงสั้นบานพริ้วและรองเท้าผ้าใบนั่นต่างหากดึงสายตาผู้คนชั้นดีทีเดียวในดำริของท่านชาย

“ซอรี่ค่ะท่านชาย สนามเทนนิสอยู่ไกลมาก ดิฉันก็เลยมาช้า นี่ก็รีบสุดๆ แล้วนะคะ ดูสิ ชุดก็ไม่ได้เปลี่ยน เหงื่อเต็มตัว ท่านชายคงไม่รังเกียจนะคะ”

“ไม่เป็นไร เชิญ”

ท่านชายปกรณ์ยังพักตร์นิ่ง น้ำเสียงราบเรียบยามเอ่ยราวไม่ถือสา

“หิวมาก ท่านชายสั่งอาหารหรือยังคะ”

นั่งลงแล้วหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาเปิดรายการอาหารทันใด แทบจะไม่ใส่ใจสบเนตรคู่คมเข้มของท่านชายด้วยซ้ำ

“ยัง”

“อ้อ ดีเลย ขอดิฉันสั่งตามใจนะคะ”

“ตามสบาย”

ท่านชายตรัสสั้นกระชับ จะคิดว่าไม่พอพระทัยก็ย่อมได้ หากหญิงสาวไม่ได้สังเกตหรือไม่สนใจเสียมากกว่า เจ้าตัวเรียกบริกรแล้วสั่งอาหารมากมายหลายอย่างราวจะให้สมกับที่บอกว่าหิว

“หากเธอมีนัด ก็ไม่ควรรับนัดหมายของฉันในวันนี้”

เจ้าตัวย่นจมูกอย่างน่ารัก

“นานทีดิฉันจะมีเวลาได้ไปตีเทนนิสกับเพื่อนนี่คะ”

คำบอกนี้หมายความว่า ‘เพื่อน’ ของเธอนัดหลังท่านชาย

“อีกอย่างคุณอาของดิฉันบอกว่า นัดทานข้าวสักสองสามครั้ง หากรสนิยมไม่ตรงกัน ก็บอกได้ ท่านเข้าใจ ไม่เห็นจะต้องซีเรียสมาก”

หญิงสาวพูดพลางยักไหล่อย่างไม่คิดมากจริงๆ สีหน้าก็ดูผ่อนคลาย ไม่มีความรู้สึกผิดที่ตนมาผิดเวลา

“ฉันเข้าใจว่าชาวตะวันตก ซีเรียสเรื่องเวลา”

สีหน้ามั่นอกมั่นใจชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกเอ่ยกระทบกระเทียบ แต่เจ้าตัวก็ยิ้มบางออกมาได้

“แหม ดิฉันก็ขอโทษแล้ว แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสายนะคะ”

น้ำเสียงกับแววตาจากนัยน์ตาคู่งามตรงกันข้ามกับคำพูดโดยสิ้นเชิง มุมโอษฐ์ท่านชายขยับเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อถือ

“เธอจงใจแอนนาเบล ทั้งชุดที่เธอใส่ ทั้งผู้ชายที่มาส่ง เธอตั้งใจทำให้ฉันเสียหน้า เพราะรู้ว่าทุกสายตาจะจับจ้องมาที่เรา”

ริมฝีปากอิ่มเม้มนิดๆ หน้าชากับคำพูดตรงไปตรงมาอย่างรู้ทันของท่านชาย

“อันที่จริง ฉันก็คิดไว้ว่าทานข้าวกับเธอไม่กี่ครั้งแล้วคงพอหาคำปฏิเสธพี่ชายกลางได้ แต่วันนี้ก็ได้คำตอบเสียแล้ว เพียงบอกไปว่าเธอประพฤติตัวไม่ค่อยเหมาะสมนัก มีเพื่อนผู้ชายรับส่งทั้งที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย ไปไหนมาไหนตามลำพังสองคน แต่กลับแต่งตัวใส่เสื้อแขนกุดกระโปรงสั้น คงพอฟังขึ้นอยู่บ้าง ถ้าฉันปฏิเสธเธอกับพี่ชายกลาง”

จากที่แสดงออกว่าไม่แยแสสิ่งใด ดวงหน้าสวยกลับเริ่มซีด

“ท่านชายจะฟ้องคุณอาหรือ”

“ฉันไม่ใช่เด็ก ไม่ถูกใจสิ่งใดก็บอกตามตรง ไม่ถือว่าฟ้อง”

ความฉุนเฉียวแล่นริ้วแม้จะพยายามระงับสีหน้าแต่คงไม่เป็นผลอยู่ดี หญิงสาวอยากแย้งไปนักว่า นี่เรียกว่าฟ้องชัดๆ แต่เพราะตนทำตัวเอง การพยายามไล่แขกที่ออกจะเยอะเกินไปกลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว หากคุณอาชายกลางรู้เข้ามีหวังถูกบ่นหูชา

‘โธ่ พลาดท่าให้ท่านชายตั้งแต่เดตแรกเสียแล้ว อิซซี่’


=====

ตอนแรกมาแล้วจ้า ท่านชายเรียกแอนนาเบล แต่ทำไมเจ้าตัวเรียกตัวเองว่าอิซซี่ รอติดตามได้เลยค่า สองสาวฝาแฝดยังชอบป่วนเหมือนเดิม ^^

แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไร ฝากเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ

เฟซบุ๊กเพจ รสิตา เพียงพิณ

https://twitter.com/rasitawriter

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว