ที่แห่งนี้มืดและแคบ เต็มไปด้วยกลิ่นอับเน่าเหม็นคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนจนหายใจแทบไม่ได้ หากไม่หายใจไปเลยคงง่ายกว่า ความทรมานเพราะหิวโหยจากการขาดน้ำกับอาหารมาหลายวัน ทั้งความเย็นยะเยือกสลับร้อนอบอ้าวจนเหงื่อโทรมกายบ่งบอกว่าช่วงใดคือเวลากลางวันหรือยามค่ำคืน แม้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ทว่าการอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่อันแสนน่ากลัวแห่งนี้ทำให้หดหู่ท้อแท้เหลือเกิน
ริมฝีปากซีดแห้งผากแตกจนขยับไม่ได้ ในคอแสบและสากระคายเพราะก่อนหน้านี้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแหบแห้ง น้ำลายที่กลืนลงคอแทบไม่มีอีกแล้ว อาการหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจค่อยๆ ลามเลียร่างกายอันไร้เรี่ยวแรง แม้จะรู้สึกว่าตนเองสั่นเทาไปทั้งกายใจหากความจริงกลับแทบไม่ขยับด้วยหมดหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว
หมดความหวัง หมดกำลังกายแรงใจ ยอมพ่ายแพ้ให้แก่มัจจุราชที่กำลังเอื้อมมือมาหา
ในเวลานี้ความตายคือทางรอด ทางที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากสถานที่อันน่าขยะแขยงนี้
‘ได้โปรด เอาชีวิตฉันไปเถิด ช่วยให้ฉันไปจากขุมนรกนี้เสียที’
หญิงสาววิงวอนขอความตายมานับครั้งไม่ถ้วน น้ำตาซึมขอบตาด้วยร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด รู้สึกราวสิ่งที่กำลังเอ่อคลอราวเป็นเลือดของตน เข้าใจคำว่าร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดดีทีเดียว
ความรู้สึกรับรู้เริ่มเลือนรางลงทีละนิด ริมฝีปากขาวซีดขยับมุมปากเล็กน้อยราวระบายยิ้ม
รับรู้ได้ว่าเวลาของตนมาถึงแล้ว มือบางผอมแทบจะเหลือเพียงกระดูกหุ้มข้อพยายามจะยกหากก็ไม่อาจทำได้
และแม้อยากไปจากโลกนี้เต็มทน ทว่าหัวใจดวงน้อยก็เศร้าสร้อยเหลือประมาณ เพราะนั่นเท่ากับว่าตนจะจากผู้ที่ตนรักสุดหัวใจไปตลอดกาล
‘ลาก่อนเพคะท่านชาย’
เจ็ดปีผ่านไป
รถคันโตหรูหราเคลื่อนมาจอดหน้าสโมสรซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ดีมีสกุลและชนชั้นสูง เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เพรียวกำยำเรียกสายตาของผู้คนทั้งชายหญิงให้มองตามด้วยความสนใจนับแต่ลงจากรถ แต่ละย่างก้าวมั่นคงหากไม่รีบร้อนพลางยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเข้าไปด้านในก็แจ้งกับบริกรว่าจองโต๊ะไว้ แล้วได้รับเชิญไปยังมุมภายในซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว หากคนในห้องอาการยังสามารถมองเห็นได้
แน่นอนว่านอกจากรูปลักษณ์ดึงดูดสายตาแล้ว ผู้คนที่มายังสโมสรแห่งนี้ย่อมรู้ว่าบุรุษผู้ดูสง่างาม ผ่าเผยภูมิฐานคือหม่อมเจ้าปกรณ์ อรรถพันธ์พงศ์ ทายาทเพียงหนึ่งเดียวในราชสกุลอรรถพันธ์พงศ์
ทว่านับจากนั่งดูรายการอาหารไปพลางรอผู้ที่นัดหมายเอาไว้นานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีใครปรากฏกาย คิ้วเข้มหนาเหนือแว่นใสขมวดเล็กน้อยหลังจากเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะปิดเมนูฉับ
เลยเวลานัดมานานเช่นนี้เห็นทีคงไม่มาเป็นแน่
ขณะกำลังจะลุกก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อร่างสูงโปร่งกว่ามาตรฐานหญิงไทย หากดูอรชรอ้อนแอ้นก็เข้ามาด้านหน้าประตู ทว่าหญิงสาวไม่ได้มาคนเดียว มีชายหนุ่มตามติดมาด้วย แต่เหมือนจะเพียงมาส่งเท่านั้นเพราะทั้งคู่ราวร่ำลา ชายคนนั้นจับมือบางไปจุมพิตพร้อมส่งสายตาหวานเชื่อมก่อนจากไป แล้วหญิงสาวจึงพูดคุยกับบริกรด้านหน้า อีกฝ่ายก็เดินนำมายังโต๊ะที่ตนนั่งอยู่
ทุกสายตาของผู้คนต่างมองตามหญิงสาวที่ดูสวยงามเฉิดฉาย ท่วงท่าการเดินมั่นใจยิ่งทำให้เจ้าตัวดูระเหิดระหง ใบหน้าขาวจัดมีสีเรื่อ สีผิวแม้ขาวซีดหากดูสุขภาพดี ความคมเข้มอย่างไทยผสมผสานชาติพันธุ์ตะวันตกส่งให้ดวงหน้าเรียวที่มัดผมหางม้านั้นยิ่งเด่นสะดุดตา
แต่การที่เจ้าตัวใส่เสื้อกีฬาแขนกุดกับกระโปรงสั้นบานพริ้วและรองเท้าผ้าใบนั่นต่างหากดึงสายตาผู้คนชั้นดีทีเดียวในดำริของท่านชาย
“ซอรี่ค่ะท่านชาย สนามเทนนิสอยู่ไกลมาก ดิฉันก็เลยมาช้า นี่ก็รีบสุดๆ แล้วนะคะ ดูสิ ชุดก็ไม่ได้เปลี่ยน เหงื่อเต็มตัว ท่านชายคงไม่รังเกียจนะคะ”
“ไม่เป็นไร เชิญ”
ท่านชายปกรณ์ยังพักตร์นิ่ง น้ำเสียงราบเรียบยามเอ่ยราวไม่ถือสา
“หิวมาก ท่านชายสั่งอาหารหรือยังคะ”
นั่งลงแล้วหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาเปิดรายการอาหารทันใด แทบจะไม่ใส่ใจสบเนตรคู่คมเข้มของท่านชายด้วยซ้ำ
“ยัง”
“อ้อ ดีเลย ขอดิฉันสั่งตามใจนะคะ”
“ตามสบาย”
ท่านชายตรัสสั้นกระชับ จะคิดว่าไม่พอพระทัยก็ย่อมได้ หากหญิงสาวไม่ได้สังเกตหรือไม่สนใจเสียมากกว่า เจ้าตัวเรียกบริกรแล้วสั่งอาหารมากมายหลายอย่างราวจะให้สมกับที่บอกว่าหิว
“หากเธอมีนัด ก็ไม่ควรรับนัดหมายของฉันในวันนี้”
เจ้าตัวย่นจมูกอย่างน่ารัก
“นานทีดิฉันจะมีเวลาได้ไปตีเทนนิสกับเพื่อนนี่คะ”
คำบอกนี้หมายความว่า ‘เพื่อน’ ของเธอนัดหลังท่านชาย
“อีกอย่างคุณอาของดิฉันบอกว่า นัดทานข้าวสักสองสามครั้ง หากรสนิยมไม่ตรงกัน ก็บอกได้ ท่านเข้าใจ ไม่เห็นจะต้องซีเรียสมาก”
หญิงสาวพูดพลางยักไหล่อย่างไม่คิดมากจริงๆ สีหน้าก็ดูผ่อนคลาย ไม่มีความรู้สึกผิดที่ตนมาผิดเวลา
“ฉันเข้าใจว่าชาวตะวันตก ซีเรียสเรื่องเวลา”
สีหน้ามั่นอกมั่นใจชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกเอ่ยกระทบกระเทียบ แต่เจ้าตัวก็ยิ้มบางออกมาได้
“แหม ดิฉันก็ขอโทษแล้ว แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสายนะคะ”
น้ำเสียงกับแววตาจากนัยน์ตาคู่งามตรงกันข้ามกับคำพูดโดยสิ้นเชิง มุมโอษฐ์ท่านชายขยับเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อถือ
“เธอจงใจแอนนาเบล ทั้งชุดที่เธอใส่ ทั้งผู้ชายที่มาส่ง เธอตั้งใจทำให้ฉันเสียหน้า เพราะรู้ว่าทุกสายตาจะจับจ้องมาที่เรา”
ริมฝีปากอิ่มเม้มนิดๆ หน้าชากับคำพูดตรงไปตรงมาอย่างรู้ทันของท่านชาย
“อันที่จริง ฉันก็คิดไว้ว่าทานข้าวกับเธอไม่กี่ครั้งแล้วคงพอหาคำปฏิเสธพี่ชายกลางได้ แต่วันนี้ก็ได้คำตอบเสียแล้ว เพียงบอกไปว่าเธอประพฤติตัวไม่ค่อยเหมาะสมนัก มีเพื่อนผู้ชายรับส่งทั้งที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย ไปไหนมาไหนตามลำพังสองคน แต่กลับแต่งตัวใส่เสื้อแขนกุดกระโปรงสั้น คงพอฟังขึ้นอยู่บ้าง ถ้าฉันปฏิเสธเธอกับพี่ชายกลาง”
จากที่แสดงออกว่าไม่แยแสสิ่งใด ดวงหน้าสวยกลับเริ่มซีด
“ท่านชายจะฟ้องคุณอาหรือ”
“ฉันไม่ใช่เด็ก ไม่ถูกใจสิ่งใดก็บอกตามตรง ไม่ถือว่าฟ้อง”
ความฉุนเฉียวแล่นริ้วแม้จะพยายามระงับสีหน้าแต่คงไม่เป็นผลอยู่ดี หญิงสาวอยากแย้งไปนักว่า นี่เรียกว่าฟ้องชัดๆ แต่เพราะตนทำตัวเอง การพยายามไล่แขกที่ออกจะเยอะเกินไปกลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว หากคุณอาชายกลางรู้เข้ามีหวังถูกบ่นหูชา
‘โธ่ พลาดท่าให้ท่านชายตั้งแต่เดตแรกเสียแล้ว อิซซี่’
=====
ตอนแรกมาแล้วจ้า ท่านชายเรียกแอนนาเบล แต่ทำไมเจ้าตัวเรียกตัวเองว่าอิซซี่ รอติดตามได้เลยค่า สองสาวฝาแฝดยังชอบป่วนเหมือนเดิม ^^
แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไร ฝากเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
เฟซบุ๊กเพจ รสิตา เพียงพิณ
https://twitter.com/rasitawriter
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว