ตอนที่ 7 นางยิ้มแล้วหรือ
จ้าวอวี้หร่านแข้งขาอ่อนแรง ยังดีที่ซ่งหมิงเจิงประคองไว้ได้ทัน
ไออุ่นจากร่างกายของเขาทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามา นอกจากนี้ยังมีกลิ่นเฉพาะของความเป็นชายพุ่งมาด้วย นิสัยเผด็จการเหมือนเช่นเคย คิ้วเรียวงามของนางขมวดขึ้นนิดๆ แต่ก็กลับมาแสดงสีหน้าเรียบเฉยอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หัวใจของซ่งหมิงเจิงพลันร้อนรุ่มกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เมื่อประคองร่างของนางที่กำลังอ่อนแรง เขาถึงรู้สึกว่าตนสามารถแบกนางได้ด้วยมือเดียว แต่เขาไม่ได้ลืมตัวจนเสียกริยา แม้ว่าตนจะตื่นเต้นกับนางมากแค่ไหน เขาก็สามารถสงบใจได้อย่างรวดเร็ว คิ้วเข้มขมวดจนเป็นคำว่า ‘ชวน[1]’
อาการบาดเจ็บของนางสาหัสกว่าที่คิด นางยังดื้อด้านดึงดันจะไปฟังการไต่สวนในคืนนี้ให้ได้ เขาหันไปสั่งทหารเสียงดัง “ยังไม่รีบยกเกี้ยวมาอีก!”
จ้าวอวี้หร่านไม่นึกว่าเขาจะตระเตรียมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ด้วย นางประเมินอาการบาดเจ็บของตนเองต่ำเกินไป นางไม่เกรงใจและไม่ได้ปัดมือเขาออก และยังยอมให้เขาประคองขึ้นเกี้ยว
ที่ผ่านมานางไม่ใช่คนใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา ไม่อย่างนั้นในภพชาติที่แล้วจะทำให้เขาออกจากเมืองหลวงอย่างราบรื่นได้อย่างไร
เมื่อแน่ใจว่านางนั่งลงดีแล้ว ซ่งหมิงเจิงจึงได้ให้คนมายกเกี้ยว ตนเองก็คอยเดินตามอยู่ด้านข้าง พร้อมผ่านบริเวณที่ทหารประจำการพักผ่อนอยู่ เขาคอยเฝ้าดูแลอยู่ด้านหลัง บนฝ่ามือยังหลงเหลือไออุ่นจากนาง ได้กลิ่นอำพันทองที่ถูกลมพัดพามาที่ปลายจมูก เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย ช่างเย้ายวนใจ ทำให้หัวใจสั่นไหวรุนแรง เขา...ดูเหมือนว่าจะใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว
เมื่อถึงบริเวณกระโจมที่แน่นขนัด จ้าวอวี้หร่านจึงพบว่าตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นพื้นที่ว่างเปล่ามีการเพิ่มกระโจมอีกสิบกว่าหลัง และยังมีการใช้รั้วไม้กั้นเขตแยกออกมา นี่น่าจะเป็นทหารที่ติดตามซ่งหมิงเจิงกลับมายังเมืองหลวง ทหารประจำกายของเขา
ที่แท้พวกเขาก็มุ่งไปยังบริเวณที่แบ่งแยกเขตแดนนี่เอง พอเกี้ยวมาถึงส่วนใจกลางจึงได้หยุดลง จ้าวอวี้หร่านรับรู้ได้ว่ามาถึงที่แล้ว
นางอาการดีขึ้นแล้ว จึงลงจากเกี้ยวเอง ในตอนนี้ซ่งหมิงเจิงก็ไม่ได้เดินหน้าเข้าไปประคองนางอีก เมื่อแน่ใจแล้วว่านางไม่ต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงไม่ได้ผลีผลามเข้าไป
“ทุกคนถูกคุมตัวไว้ที่นี่หมดแล้ว คนที่ขนย้ายอาหารม้ากับคนให้อาหารม้าขององค์ชายน่าสงสัยที่สุด”
ซ่งหมิงเจิงเดินไปข้างหน้าเพื่อเปิดม่านให้นาง
ภายในกระโจมถูกปิดตายมาตลอด ผู้ที่ถูกขังไว้มีอยู่เจ็ดถึงแปดคน เวลาผ่านไปนานกว่าครึ่งวัน ภายในคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ จ้าวอวี้หร่านขมวดคิ้วมุ่น
ซ่งหมิงเจิงเห็นว่านางขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ ก็รู้สึกขำขันอยู่ในใจ
ช่างบอบบางเสียจริง กลิ่นเหม็นแค่นี้ก็ดมไม่ได้
นางเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ คงใช้ชีวิตสุขสบายมาแต่ไหนแต่ไร
เขาจึงสั่งการทหารประจำกาย “นำตัวออกมาทีละคน ไต่สวนด้านนอกนี้”
ทหารลากคนที่ถูกมัดออกมาหนึ่งคนทันที คนผู้นั้นถูกปิดปากไว้ ใบหน้าซีดขาวราวกับศพ บนพื้นที่ว่างมีทหารเอาเสาเข็มมาฝังไว้แน่นอยู่ก่อนแล้ว ผู้ต้องสงสัยคนนั้นถูกมัดเข้ากับเสา ซ้ำยังมีการก่อกองไฟไว้ในกระถาง หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกส่งไปอยู่ตรงหน้าจ้าวอวี้หร่าน
รูปการณ์เช่นนี้ จะต้องใช้วิธีการลงทัณฑ์อย่างแน่นอน
จ้าวอวี้หร่านนั่งลงบนเก้าอี้ราชครูที่ถูกย้ายมา แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ลมยามค่ำคืนก็เย็นจนเข้ากระดูก นางที่สวมเสื้อคลุมแล้วยังรู้สึกหนาว จึงยื่นมือไปอังไฟในกระถาง
ซ่งหมิงเจิงเห็นเข้าดังนั้น จึงให้คนเอาถ่านมาเติม จากนั้นการไต่สวนจึงเริ่มขึ้น
เป็นเรื่องปกติที่เมื่อถามคำถามไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา ก็ไม่อาจใช้ไม้อ่อนต่อไปได้อีก ทหารได้รับสัญญาณจากซ่งหมิงเจิง จึงนำเอาเหล็กที่เผาไว้ในกระถางไฟจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำออกมา
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตัดผ่านท้องฟ้าอันเงียบสงัดของค่าย ซ้ำยังถูกลมโบกพัดประหนึ่งเสียงภูตผี
“เสียงอะไร”
ทหารที่เฝ้ายามอยู่ทั่วทั้งค่ายต่างขนลุกขนพองเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนั้น แต่เมื่อลองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง ก็พบว่าที่แท้เป็นเสียงกรีดร้องของคน
เวลาแบบนี้ เหตุใดจึงมีเสียงเช่นนี้เกิดขึ้น
ทันใดนั้น ทุกคนก็สืบจนรู้ว่าองค์รัชทายาทและซู่อ๋องกำลังไต่สวนโดยการลงทัณฑ์ และยังคาดเดาต่อไปอีกว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องที่วันนี้องค์รัชทายาทตกจากหลังม้าจนได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีใครกล้าก้าวขาออกจากกระโจม ต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดเล่นได้
ทว่าในตอนนี้ ทางด้านองค์ชายรองและพระสนมหลี่เฟยนั้นรู้สึกหวาดหวั่นเป็นที่สุด เอาแต่จับตามองเพราะกลัวว่าต่อไปจะมีคนบุกเข้ามา แล้วลากตัวพวกเขาออกไปไต่สวนด้วยการลงทัณฑ์เช่นเดียวกัน
ภายในกระโจมขององค์ชายใหญ่อวี้อ๋องมีแสงไฟส่องสว่างเช่นกัน พระสนมอวี้หวังเฟยนอนขดตัวอยู่บนแท่นบรรทมด้วยสีหน้าซีดเซียว หลายครั้งที่รวบรวมความกล้าเรียกเขามาเข้านอน แต่ก็ถูกเมินเฉย อวี้อ๋องนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าโต๊ะทำงานจนกระทั่งการไต่สวนหยุดลง เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังอยู่นานก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก เมื่อทั้งค่ายยังคงเงียบสงบ เขาจึงได้เอี้ยวตัวเดินอ้อมฉากบังลมแล้วขึ้นมาพักผ่อนบนแท่นบรรทมในที่สุด
แปดผู้ต้องสงสัยถูกลงทัณฑ์ทั้งหมด ล้มลงหายใจรวยรินอยู่บนพื้น ผิวหนังหลุดลอก เรือนร่างชุ่มไปด้วยเลือด
กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งไปทั่วบรรยากาศโดยรอบ ตลบอบอวลจนหายใจลำบาก สองมือของจ้าวอวี้หร่านกำที่วางแขนเก้าอี้ไว้แน่น สีหน้าซีดเซียว
ทั้งแปดคนถูกไต่สวนจนเสร็จสิ้นแล้วแต่กลับไม่ได้ให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเสียจากเสียงร้องขอให้ละเว้นชีวิต
ซ่งหมิงเจิงกลับมีสีหน้าเฉยชา ผลลัพธ์เช่นนี้ความจริงก็เป็นดังที่เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้ว
หากว่าสามารถทำให้รับสารภาพออกมาง่ายดายขนาดนั้น แผนการที่ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังวางไว้ก็คงไร้ประโยชน์เต็มที สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือกระทั่งคนที่ใช้เบี่ยงเบนความสนใจต่างไม่มีผู้ใดปริปากออกมาเลยสักคน ประเด็นนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
เขาคิดว่าผู้บงการน่าจะใช้โอกาสนี้โยนความผิดให้ผู้อื่น อย่างน้อยที่สุดก็โยนความผิดให้องค์ชายรองมู่อ๋องซึ่งเป็นผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
หากผู้บงการไม่ได้วางแผนผิดพลาด เช่นนั้นก็คงเป็นการวางแผนที่ล้ำลึก
สัญชาตญาณของเขาบอกว่าคืออย่างหลัง
สงบเสงี่ยมไว้ รอจนสบโอกาสค่อยลงมือ
“องค์ชาย ดูเหมือนว่าคืนนี้คงไม่ได้ความคืบหน้าแล้ว” ซ่งหมิงเจิงหันหน้าไปมองนาง เห็นนางเม้มริมฝีปากแน่น จึงถามซ้ำอีก “องค์ชายคิดจะจัดการคนเหล่านี้อย่างไร”
คนพวกนี้ไม่พลั้งปากแม้แต่คำเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ม้าของนางถูกวางยาด้วยเมล็ดสลอด การกระทำชัดแจ้งเช่นนี้ คนเหล่านี้จะไร้มลทินได้อย่างไร ก็แค่ดื้อด้านปากแข็งไม่ยอมปริปากเท่านั้น
ในสายตาของจ้าวอวี้หร่าน นี่คือการยั่วยุอย่างไม่ต้องสงสัย
ยั่วยุบารมีของนางในฐานะผู้สืบทอดราชบัลลังก์
นัยน์ตาของนางเปล่งประกายดุจคมกริชที่สะท้อนแววเย็นยะเยือกออกมา
ซ่งหมิงเจิงรู้ความคิดของนางและพอจะเดาได้ว่านางคิดจะทำอะไร นึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “หากองค์ชายเชื่อใจกระหม่อม ก็มอบคนเหล่านี้ให้กระหม่อมจัดการก่อนเป็นการชั่วคราว กระหม่อมรับรองว่าจะทำให้องค์ชายพอพระทัยได้แน่นอน”
ในที่สุดจ้าวอวี้หร่านก็หันหน้าไปมองเขา แสงจันทร์ตกกระทบลงบนคิ้วคู่งามของเขา สีหน้าที่เย็นชาคล้ายจะถูกทำให้ดูความอ่อนโยนลง
นางจ้องมองเขาที่นิ่งเงียบ ราวกับกำลังไตร่ตรองอยู่
นางกำลังชั่งน้ำหนักคำพูดของเขาอยู่
ซ่งหมิงเจิงเข้ามาเมืองหลวงเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ความคิดและการกระทำไม่ต่างจากในความทรงจำของนาง ทว่าเขาในตอนนี้กลับยังไม่สำแดงความทะเยอทะยานที่ควรจะมีออกมาให้เห็น จะทำสิ่งใดล้วนปรึกษาหารือกับนางก่อนทุกครั้ง
นางชักรู้สึกลังเลขึ้นมาแล้ว
“องค์ชาย บางเรื่องยืมมือกระหม่อมทำแทน ย่อมดีกว่าลงมือด้วยองค์เอง องค์ชายเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ ในสายตาบรรดาขุนนาง ผู้สืบทอดราชสมบัติเป็นผู้ที่ชาญฉลาดและมีเมตตา อย่าได้ให้หนูสกปรกไม่กี่ตัวบ่อนทำลายชื่อเสียงของพระองค์เลย”
คำพูดของเขาทำให้จ้าวอวี้หร่านตกใจ
เขารู้ว่านางจะทำอะไร
นางยิ้มออกมา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ที่แท้เสด็จอาก็คิดเผื่อข้า เช่นนั้นก็ลำบากเสด็จอาแล้ว” ขณะที่พูด นางก็ลุกขึ้นยืนพลางจัดเสื้อคลุม สีหน้ากลับมาดูสดใสแล้ว
ในเมื่อเขาหวังดี นางก็จะรับความหวังดีนี้เอาไว้ นางในช่วงเวลานี้ของชาติที่แล้ว ความจริงยังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างสนิทสนม
ซ่งหมิงเจิงก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน มองเห็นลวดลายสายน้ำไหลแผ่วเบาที่ปักด้วยด้ายเงินดิ้นทองบนเสื้อคลุมของนาง นางเหลือเพียงภาพด้านหลังทิ้งไว้ให้เขา จากนั้นขึ้นเกี้ยวแล้วจากไปทันที
เมื่อนางแยกจากไปพักใหญ่ ซ่งหมิงเจิงจึงได้ขยับกายเล็กน้อยหลังจากยืนนิ่งจนร่างแข็งทื่อ แล้วไพล่มือไว้ด้านหลัง
เมื่อครู่นางยิ้มหรือ คงจะใช่ แม้เจตนาจะไม่ชัดเจน ตีความได้ไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ คือนางหันมายิ้มให้เขาแล้ว
จ้าวอวี้หร่านก่อนขึ้นครองราชย์ ความคิดความอ่านดูคล้ายไม่ค่อยละเอียดถี่ถ้วน มักทำให้รู้สึกว่าผิดเพี้ยนไปจากในความทรงจำที่มีอยู่บ้าง หรือเป็นเพราะเขาคิดมากไปเอง
**ติดตามตอนต่อไปก่อนใครได้ที่ https://www.readawrite.com/a/479f65d0cc66d3c61f0eb371be8d3ccd
[1] 川คำว่า ชวน แปลว่าสายน้ำ ซึ่งในที่นี้อธิบายถึงคิ้วที่ขมวดจนเป็นเส้นสามเส้นเหมือนภาพอักษรจีนของคำนี้
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว