ต้องรักรัญจวน ตอน: รุ่นพี่

บทที่ 1 แรกพบสบตา

ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าในสวนอันร่มรื่น รอบล้อมไปด้วยมวลดอกไม้นานาพันธุ์ พิธีวิวาห์กลางแจ้งในสวนถูกจัดขึ้นที่นี่


นี่เป็นวันๆ หนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ “มาเรีย” หญิงสาววัย 23 ปี ผู้ที่กำลังสวมชุดเจ้าสาวสีขาวนวลตา ศีรษะของเธอถูกคลุมด้วยผ้าคลุมผมเจ้าสาวสีขาวบางเบา ในมือถือช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อโต เจ้าสาวในลุคที่ตัวเธอคิดว่าวันนี้คือวันที่เธองดงามที่สุดในชีวิต ค่อยๆ เดินก้าวออกมากลางงานพิธีวิวาห์


เจ้าบ่าวในวันนี้ของเธอ “ปีเตอร์” แฟนหนุ่มที่คบหาดูใจกับมาเรียมาประมาณ 4 ปี ชายหนุ่มที่วันนี้พร้อมที่จะสาบานว่าจะเป็นสามีและใช้ชีวิตร่วมกับเธอตลอดไป เขาอยู่ในชุดสูทเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดตาทั้งตัว พร้อมส่งรอยยิ้มยืนรอเธออยู่กลางลานพิธีวิวาห์


เจ้าสาวจึงค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในลานพิธีอย่างช้าๆ เพื่ออวดโฉมความงามให้ทุกคนในงานวิวาห์ได้รับชมอย่างเต็มที่


แต่แล้วก่อนที่เจ้าสาวจะเดินไปถึงตัวเจ้าบ่าว และเริ่มพิธีกล่าวคำปฏิญาณนั้น


จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่าลงมากลางตัวของปีเตอร์ดังเปรี้ยง! ทั้งๆ ที่สภาพอากาศในวันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าโปร่ง แม้แต่วี่แววของเมฆฝนหรือแม้แต่น้ำฝนสักหยดก็ไม่มีแท้ๆ ปีเตอร์ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตคาที่ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้เป็นจุดใหญ่ๆ ทั่วร่าง อันเกิดจากปฏิกิริยาาการเกิดความร้อนสูง ที่เกิดจากที่ร่างกายได้รับกระแสไฟฟ้าปริมาณมหาศาลอย่างกะทันหัน


แขกทุกคนในงานวิวาห์ต่างตื่นตระหนัก มีเสียงกรีดร้องด้วยความช็อกสุดขีดระงมไปทั่ว


เจ้าสาวที่บัดนี้กลายเป็นม่ายตั้งแต่พิธีวิวาห์ยังไม่ทันเสร็จสิ้นดี จากช่วงเสี้ยววินาทีที่แล้วตัวเธอยังเป็นหญิงสาวที่กำลังเข้าสู่พิธีวิวาห์ด้วยสีหน้าแช่มชื่นแท้ๆ แต่ในตอนนี้ ตัวเธอนั้นกลับกลายเป็นหญิงหม้ายไปเสียแล้ว


มาเรียเข่าทรุดลงไปกับพื้น ภาพตรงหน้ามาเรียนั้นช่างน่ากลัวและชวนช็อกซะจนสติสัมปชัญญะของมาเรียหยุดการทำงานชั่วคราว เธอจึงได้แต่ตัวนิ่งแข็งทื่อ เหมือนได้รับคำสาปจากดวงตาของปีศาจงูเมดูซ่า


พิธีวิวาห์ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน แขกในงานต่างรีบพากันแยกย้ายกลับบ้านกลับช่อง แม้แต่บาทหลวงผู้ประกอบพิธีเองยังอกสั่นขวัญผวา จนถึงต้องสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า


ยังดีที่พ่อของมาเรียยังพอมีสติอยู่บ้าง จึงรีบโทรเรียกรถฉุกเฉินมา ถึงแม้ว่ามันจะสายไปแล้ว ในการช่วยเหลือปีเตอร์ให้มีชีวิตรอดก็ตาม


หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายทุกอย่างสงบลง


มาเรีย เจ้าสาวที่เพิ่งสูญเสียคนรักไปหมาดๆ เธอขังตัวเอง เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องนอน ทั้งๆ ที่ตัวเองยังอยู่ในชุดเจ้าสาว ท่ามกลางความเป็นห่วงเป็นใยของพ่อแม่ของเธอที่ได้แต่มองลูกสาวของตน เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของคนรัก อย่างไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย



จากยามเช้าถึงยามเย็น จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์เป็นหนึ่งเดือน


เคยมีคำกล่าวที่ว่า ให้กาลเวลาเป็นตัวช่วยเยียวยาจิตใจ ในตอนนี้มาเรียเองก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ เพราะกาลเวลาก็ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถึงแม้แค่จะเล็กน้อย ตัวเธอในตอนนี้ก็เริ่มคิดได้แล้ว ว่าจะบ่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความเศร้าแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้ เธอจะต้องเข้มแข็งและเดินหน้าก้าวต่อไป ปีเตอร์ที่ตอนนี้น่าจะอยู่บนสวรรค์แล้วจะได้ไม่รู้สึกเป็นห่วงเธออีก


“พ่อคะ แม่คะ มีชุดสีดำที่จะใส่สำหรับงานศพของปีเตอร์ไหมคะ ถ้าไม่มีเดี๋ยวพวกเราไปซื้อกันวันหยุดสุดสัปดาห์นี้กันนะ”


ในที่สุด มาเรียก็ยอมเดินไปบอกพ่อแม่ของเธอว่า เธอทำใจเรื่องการจากไปของปีเตอร์ได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ของมาเรียอยากได้ยินมานานแล้ว


ตอนแรกพวกเขาเห็นว่า มาเรียยังช็อกและยังทำใจไม่ได้เรื่องของปีเตอร์ พวกเขาจึงยังไม่กล้ารีบจัดงานศพตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งทางฝั่งพ่อแม่ของปีเตอร์เองก็เห็นด้วย และยอมเลื่อนพิธีฝังศพของปีเตอร์ไป จนกว่ามาเรียจะทำใจได้


“แม่เองมีชุดเดรสแขนยาวสีดำอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อใหม่หรอก และทางพ่อล่ะ?”


“สูทดำกับเนกไทดำก็มีอยู่แล้ว” ถึงจะเก่าไปหน่อย ปัดฝุ่นซะหน่อยก็ยังดูเหมือนใหม่แล้วล่ะ”


“ของหนูเองก็น่าจะมีชุดสีดำอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าพ่อกับแม่ไม่ซื้อใหม่ หนูก็ไม่อยากซื้อใหม่ให้เปลืองเงินอยู่คนเดียวเหมือนกันค่ะ”


มาเรียตัดสินใจว่า จะลองรื้อดูข้าวของเครื่องใช้ที่เก็บไว้ในห้องนอนของตัวเอง เผื่อว่าจะเจออะไรที่เหมาะกับจะใส่ในงานศพของปีเตอร์บ้าง


พอรื้อตู้เสื้อผ้าไปสักพัก มาเรียก็เจอกล่อง CD เพลงเก่าๆ ที่มีฝุ่นเกาะพอสมควรอยู่กล่องหนึ่ง อยู่ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าที่ปกติจะไม่ได้เปิดมันออกมาบ่อยๆ


เมื่อมาดูดีๆ แล้ว เธอพบว่ากล่อง CD เพลงกล่องนั้น มันคือ CD เพลงที่เธอได้อัดเอาไว้ สมัยเธอทำวงเพลงร็อกเมทัลตอนอยู่ไฮสคูลนั่นเอง


“คิดถึงสมัยตอนไฮสคูลจังเลยแฮะ...”



มาเรียนึกภาพถึงวันเก่าๆ ที่ตนเองเคยเป็นนักร้องนำและมือกีตาร์ของวง วงที่เธอและเพื่อนๆ อีก 2 คนก่อตั้งขึ้นมา วงของมาเรียเป็นวงเพลงเมทัลหญิงล้วน ประกอบด้วยนักร้องนำและมือกีตาร์สาวบ้าพลังจอมว้าก มือกลองสาวร่างโตแรงช้าง และมือเบสสาวพูดน้อยแต่ต่อยหนัก มาเรียและเพื่อนตอนนั้นแต่งหน้าแต่งตัวแบบที่พวกตนคิดว่า “นี่แหละโคตรเฟี้ยว สมกับเป็นนักร้องเมทัล” แบบที่ดูๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่คนชอบแนวนี้ไปเลย ก็จะถูกมองแบบประหลาดๆ และถูกนิยามให้ว่า ยัยพวกนี้มันบ้าไปแล้วแน่ๆ


มาเรียมานั่งนึกสภาพตัวเองในตอนนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ยังอดขำตัวเองไม่หาย


หลังจากจบช่วงไฮสคูลเข้ามหาวิทยาลัย เธอกับเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง วงเพลงเมทัลก็ถูกยุบไป มาเรียกลับมาแต่งตัวและใช้ชีวิตอย่างหญิงสาวปกติ และได้เริ่มพบรักกับปีเตอร์ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย


มาเรียไม่เคยบอกให้ปีเตอร์รู้เลยว่า เธอเคยเป็นนักร้องแนวเพลงเมทัลสมัยเรียนไฮสคูล มาเรียอยากจะให้ภาพพจน์ของเธอในสายตาของปีเตอร์ ดูเป็นหญิงสาวผู้งดงามมากกว่าที่จะเป็นยัยบ้าแต่งหน้าเป็นผี เธอจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ยังไงซะอดีตก็คืออดีต ถ้าไม่ใช่เรื่องน่าอวดอะไรก็เก็บไว้ในซอกหลืบจะดีกว่า



ในขณะที่มาเรียกำลังเพลิดเพลินกับภาพในความทรงจำเก่าๆ อยู่นั้นเอง กล่อง CD เพลงที่อยู่ในมือเธอก็เกิดแสงวูบวาบสีแดงระเรื่อขึ้น


มันค่อยๆ ฉายภาพแสงวงแหวนพร้อมลวดลายอันแปลกประหลาดไปที่พื้นบริเวณใต้ฝ่าเท้าของมาเรีย ไม่ทันที่มาเรียจะได้พิจารณาและรับรู้การปรากฏตัวของเวทมนตร์ประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้น จู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วห้อง


มาเรียรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังลอยอยู่ในห้วงอวกาศอันว่างเปล่า และในอีกชั่วไม่กี่เสี้ยววินาที มาเรียก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เหมือนแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้ง ดึงร่างของเธอร่วงลงไปข้างล่าง


มาเรียเกิดอาการวิงเวียนบ้านหมุน ประดุจเหมือนตัวเธอกำลังเล่นเครื่องเล่นเฮอร์ริเคนอยู่ในสวนสนุก ที่ต่อรอบเพิ่มพิเศษให้อย่างที่ตัวเธอไม่เต็มใจ


เมื่ออาการเวียนหัวหยุดลง พอมาเรียรู้สึกตัวอีกที เธอก็พบว่า ที่ที่เธอกำลังยืนอยู่นี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธออีกต่อไปเสียแล้ว


มาเรียไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่จะนิยามเรียกมันว่าอะไรดี


สภาพแวดล้อมจากที่สายตาประเมินได้ ท้องฟ้าเป็นสีแดงดั่งเลือด บรรยากาศทั่วบริเวณมีหมอกสีแดงเหมือนสนิมปกคลุมเป็นระยะๆ พื้นดินเต็มไปด้วยหินสีดำหยาบรูปทรงปลายแหลมงอกแทงขึ้นอยู่ทั่วทุกที มีรอยแยกเล็กๆ ระหว่างพื้นมากมายเป็นช่องที่เห็นลาวาไหลผ่านอยู่ข้างใต้ แถมยังมีหินภูเขาไฟที่รูปทรงดูคล้ายกับหัวกะโหลกมนุษย์เกาะกลุ่มกันซ่อนอยู่ตามพื้นบางส่วนอีกด้วย


มาเรียเคยเห็นภูมิทัศน์แบบนี้คล้ายๆ กันมาก่อนในหนังแนวแฟนตาซีและเกม มันเป็นภาพของพวกฉากในนรก เป็นที่ของพวกปีศาจหรือจอมมารอะไรเทือกนั้น ภาพทิวทัศน์ที่น่าจะเห็นได้แต่ในหนังหรือเกมทำไมมันมาอยู่ต่อหน้าของเธอได้เช่นนี้กัน? ถ้านี่เป็นความฝันละก็ คงจะเป็นฝันที่สมจริงมากที่สุดในชีวิตของเธอเลยทีเดียว


มาเรียลองหยิกแก้มตัวเองแรงๆ ดูหนึ่งที่


“โอ๊ย!”


มาเรียรู้สึกเจ็บตรงบริเวณที่เธอหยิกไปพอสมควรเลยทีเดียว นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ว่าเธอไม่ได้ฝันไปแต่อย่างใด


“หรือว่า...ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในนรกแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย!?”


และพอมาเรียมองลงมายังตัวเธอลง เธอก็พบว่าตัวเองอยู่ในชุดเจ้าสาว ชุดเดียวกับตอนที่เธอเข้าพิธีวิวาห์เมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้วเสียด้วย


“แล้วไหงฉันถึงใส่เจ้าสาวอยู่ได้ล่ะเนี่ย!?”


ยังไม่ทันที่มาเรียจะได้บ่นพึมพำกับตัวเองดี เธอก็พบว่า มีกลุ่มของสัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่งวิ่งตรงมายังทิศที่เธอยืนอยู่!


สัตว์ร้ายพวกนี้ เดินสองขาคล้ายไดโนเสาร์ พวกมันมีฟันแหลมคมจำนวนมากเหมือนฉลาม ผิวหนังกร้านเหมือนหินทราย ตัวสีแดงเหมือนเลือดช้ำหนอง มีดวงตาแสนน่ากลัวที่เปล่งประกายสีทองจนเห็นได้ชัดจากระยะไกล


มาเรียรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณโดยทันทีว่า ต้องรีบจ้ำอ้าวซะแล้ว!


ด้วยชุดเจ้าสาวที่มีกระโปรงยาวเทอะทะ มาเรียจึงวิ่งก้าวได้ไม่สะดวกเท่าไรนัก เธอวิ่งหนีอย่างกระหืดกระหอบ ทั้งหนักชุด ทั้งเหนื่อย ทั้งตกใจ ถึงแม้สติสตางค์ของเธอจะยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไร แต่ในวินาทีนี้ สิ่งเดียวที่มาเรียคิดออกได้คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองก้าวขาวิ่งไปเรื่อยๆ วิ่งหนีสิ่งที่กำลังจะหมายเอาชีวิตของเธอ ถ้าไม่วิ่งละก็ต้องโดนพวกมันกินแน่!


เมื่อมาเรียพยายามวิ่งได้ไม่เท่าไร เธอก็พบว่า ชายกระโปรงกำลังเกี่ยวอยู่กับหินแหลมๆ ก้อนหนึ่งบนพื้น เธอพยายามดีงชายกระโปรงให้หลุดออกมาจากก้อนหิน ในขณะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังวิ่งเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ


“หน็อย! หลุดซะทีสิ” มาเรียพยายามดึงชายกระโปรงสุดแรงเกิด ในที่สุดกระโปรงส่วนที่โดนหินเกี่ยวอยู่ก็หลุดแยกออกไปได้สำเร็จ ตอนนี้มาเรียใส่ชุดเจ้าสาวที่กระโปรงขาดวิ่นเป็นทางยาว สภาพไม่น่าดูเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจเรื่องความสวยความงามอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน


มาเรียรีบเร่งฝีก้าวหนีพวกสัตว์ประหลาดต่อไป พวกมันยังไม่มีทีท่าจะหยุดไล่ตามเธอง่ายๆ


โชคดีที่มาเรียมองเห็นโพรงเล็กๆ อยู่ริมทาง มันเป็นปากโพรงใต้ดินที่มีความกว้างพอดีตัวเธอ ให้เธอสามารถมุดลงไปได้ แต่เป็นปากโพรงที่เล็กเกินไปสำหรับพวกสัตว์ประหลาด


มาเรียรีบวิ่งไถลตัวเข้าไปในโพรงนั้น เธอเข้าไปในโพรงได้สำเร็จ แต่พวกสัตว์ประหลาดได้แต่ยืนส่งเสียงเห่าหอนอยู่หน้าปากโพรง


มาเรียอาศัยจังหวะนี้ รีบเข้าไปในโพรงให้ลึกขึ้น เธอพบว่าจากปากโพรงที่มีขนาดเล็ก พอเข้าไปลึกด้านในแล้วกลับเป็นถ้ำใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ ภายในถ้ำมีแหล่งกำเนิดแสงจากเส้นบนผนังถ้ำที่คล้ายกับลาวากำลังกระจายตัวอยู่ในก้อนหิน มันเปล่งแสงออกมาจนมาเรียสามารถมองเห็นภายในถ้ำได้อย่างชัดเจน


มาเรียพอจะหายใจได้อย่างโล่งอกขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ตัวเธอน่าจะปลอดภัยจากพวกสัตว์ประหลาดข้างนอกนั่นแล้ว แต่ตอนนี้เธอจะเจออันตรายอะไรในถ้ำอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว


เพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝันอยู่อีกครั้ง เธอจึงตบหน้าตัวเองอีกสองที ตบด้านนซ้ายหนึ่งที แล้วก็ตบด้านขวาอีกหนึ่งที


“โอ๊ย! เจ็บๆ ”


น่าเสียดาย เรื่องที่ผ่านมานี้ไม่ใช่ความฝัน ถ้าหากว่ามันเป็นเพียงแค่ฝัน เธอคงดีใจกว่านี้ ถึงแม้มันจะเป็นฝันร้าย แต่มันก็ยังเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น


มาเรียนั่งคุดคู้กลุ้มใจอยู่บนพื้น เธอไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี จะออกไปนอกถ้ำก็ต้องเจอสัตว์ประหลาดไล่ล่าอีกแน่ จะอยู่ในถ้ำนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ท่าจะไม่ได้ ไม่รู้จะเจออะไรอีกบ้าง จะเอาตัวรอดในโลกประหลาดแห่งนี้ยังไง แล้วเอาจริงๆ เธอตายแล้วหรือ ถึงมาอยู่ในนรกได้ ตัวเธอนั้นแค่กำลังหาชุดที่จะใส่ไปงานศพปีเตอร์ในตู้เสื้อผ้าอยู่แท้ๆ ไม่น่ามีเหตุอะไรได้เลยที่เธอจะตายแล้วลงมาที่นรก ต่อให้ตายไปแล้วเธอก็น่าจะขึ้นสวรรค์มากกว่า เพราะเธอไม่ได้เป็นคนชั่วอะไรนักหนาซะหน่อย กะอีแค่ชอบเล่นเพลงเมทัลแทนที่จะร้องเพลงสวดในโบสถ์ มันบาปถึงขั้นต้องลงนรกเลยหรือไงกัน


ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังคืบหน้ามาทางมาเรีย พร้อมกับเสียงลากของขนาดใหญ่ที่ครูดไปกับพื้นหิน มาเรียคิดว่า หากคราวนี้ต้องเจอกับสัตว์ประหลาดที่หมายจะเอาชีวิตเธออีก เธอจะสู้กับมัน ถึงแม้จะต้องกลายเป็นอาหารของพวกมัน ก็ยังดีกว่าหลบซ่อนอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ


มาเรียเจอหินปลายแหลมก้อนหนึ่ง ซึ่งถือได้เหมาะมือเธอพอดี เธอหยิบมันขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ เพื่อทิ่มแทงศัตรู


เธอยืนนิ่งแน่สนิท สูดหายใจเข้าลึกๆ ในมือกำก้อนหินไว้แน่น เธอเตรียมตัวเตรียมใจตัวเองไว้ ว่าคราวนี้ หากเจออะไรก็ตามคงไม่วิ่งหนี เพราะไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว เธอจะขอสู้ตายถึงแม้จะสู้มันไม่ได้สักนิดเลยก็ตาม


“ย๊าก!!! ” มาเรียวิ่งเข้าชาร์ตสิ่งลึกลับที่อยู่ตรงหน้า เธอวิ่งเข้าไปพร้อมกับหัวสมองอันว่างเปล่า ยังไม่ทันจะได้คิดด้วยซ้ำว่าโจมตีมันตรงไหนก่อนดี แต่การไม่คิดอะไรมากแล้วรวบรวมความกล้าบ้าบิ่นทั้งหมดออกมา มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่มาเรียนึกออกตอนนี้ เอาวะ ตายเป็นตาย!



หลังจากที่วิ่งหน้าตั้งไปสุดแรงเกิด เธอก็ต้องเบรกตัวเองเอาไว้แทบจะหน้าทิ่มพื้น


เพราะสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเธอ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดแสนร้ายกาจแต่อย่างใด แต่มันคือแพะตัวเล็กๆ หน้าตาบ้องตื้นที่ยืนสองขา ดูคล้ายพวกตุ๊กตามาสคอตมากกว่าที่จะเป็นปีศาจร้าย


“โว้วๆ ๆ ใจเย็นก่อนแม่สาวน้อย กระผมมาดีนะขอรับ อย่าทำหน้าทำตาซะโหดจะฆ่าจะแกงกันอย่างนี้เลย เดี๋ยวจะหมดสวยซะก่อนนะขอรับกระผม”


“ห๊ะ!? แกพูดภาษาคนได้ด้วย? ”


“อย่าเอากระผมไปรวมกับพวกฟันแหลมไร้สมองข้างนอกนั่นกับปีศาจสุดหล่ออย่างกระผมนะขอรับ กระผมชื่อ เมท ยินดีที่ได้รู้จักนะขอรับกระผม”


“ส่วนคุณผู้หญิงสุดสวยตรงหน้ากระผมนี่ มีชื่อว่าอะไรงั้นหรือขอรับ? โปรดช่วยแนะนำตัวให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่หูของกระผมหน่อยนะขอรับ”


“อา...ฉันชื่อมาเรียน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เมท”


มาเรียรู้สึกโล่งใจอย่างมาก ที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ไม่ใช่ปีศาจร้ายอย่างที่เธอคิดเอาไว้ แถมเจ้าปีศาจตัวนี้ยังพูดคุยกับเธอได้อีกต่างหาก อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยจะได้ไม่เหงา และจะได้ถามเรื่องของดินแดนแห่งนี้ ที่ที่เธอหลงมาได้อีกด้วย


“เมท นายพอตอบฉันได้ไหม? ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกัน?”


“ปีศาจที่ชาญฉลาดอย่างกระผม พอเดาออกได้อยู่แล้วล่ะขอรับ ว่าคุณมาเรียเป็นมนุษย์ที่บังเอิญถูกส่งตัวจากโลกมนุษย์ มายังดินแดนแห่งนี้ใช่ไหมล่ะขอรับ? ”


“อา...ใช่แล้วล่ะ”


ถึงแม้มาเรียจะรู้สึกรำคาญกับวิธีการพูดและคำลงท้ายแปลกๆ ของเจ้าแพะนี่อยู่สักหน่อย แต่ดูท่าว่าเมทน่าจะเป็นปีศาจที่เป็นมิตร และฉลาดพอที่จะพึ่งพาได้อยู่บ้าง


“อย่างที่คุณมาเรียเห็น ที่นี่คือนรก ดินแดนของเหล่าปีศาจ และโลกหลังความตายล่ะขอรับ”


“เอ่อ หมายความว่าฉันตายไปแล้วงั้นเหรอ?”


“เปล่าๆ คุณมาเรียยังไม่ตายหรอกนะขอรับ คุณมาเรียเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกส่งมายังแดนนรก ด้วยการอัญเชิญแบบพิเศษน่ะขอรับ”


“การอัญเชิญแบบพิเศษงั้นเหรอ?”


“ใช่แล้วล่ะขอรับกระผม คุณมาเรียถูกอัญเชิญมาโดยไอ้นี่ แบล็กซับบาธ กีตาร์ไฟฟ้าสีดำที่คุณผู้หญิงเห็นอยู่นี่แหละขอรับ”


มาเรียเพิ่งสังเกตเห็นว่า เจ้าแพะตัวน้อย กำลังถือเชือกที่มัดอยู่กับกีตาร์ไฟฟ้าตัวหนึ่ง เสียงที่เกิดจากการลากของหนักครูดกับพื้นหินน่าจะมาจากเจ้าสิ่งนี้เป็นแน่


“อย่างที่คุณผู้หญิงเห็น กระผมเป็นเพียงปีศาจตัวน้อยๆ ไม่มีพละกำลังมากพอจะยกไอ้นี่ได้ จึงต้องลากมันแทนอย่างนี้ มันจะโกรธกระผมเพราะมีรอยขีดข่วนซะหน่อยบ้างก็คงช่วยไม่ได้ กระผมอุตส่าห์พามันมาหาคนที่มันอัญเชิญมาให้ก็บุญแล้วนะขอรับ”


“เมื่อกี้นี้นายพูดว่า พามาหาคนที่อัญเชิญมา หมายถึงฉันงั้นเหรอ? ”


“ใช่แล้วล่ะขอรับ แบล็กซับบาธไม่ใช่กีตาร์ธรรมดาๆ แต่เป็นอาวุธแห่งเจ้านรก มันจึงมันพลังพิเศษอยู่หลายอย่างเลยล่ะขอรับ หนึ่งในความสามารถนั้นก็คือ มันสามารถอัญเชิญผู้ใช้คนใหม่มาได้ เมื่อนรกเกิดเหตุฉุกเฉิน จนเจ้านรกที่เป็นเจ้าของแบล็กซับบาธคนเดิม ไม่สามารถต่อสู้ได้น่ะขอรับ”


“ปกติแล้วเจ้าแบล็กซับบาธจะอัญเชิญผู้ที่สามารถใช้ ท่วงทำนองแห่งแดนโลกันตร์ หรือก็คือที่มนุษย์เรียกว่า เพลงเมทัล ได้นั่นแหละขอรับ แต่กระผมไม่นึกเลยว่า คนที่แบล็กซับบาธเรียกมาจะเป็นสุภาพสตรีในชุดเจ้าสาวแบบนี้นะขอรับ”


“เอ่อ..ขอฉันเรียบเรียงความคิดในหัวก่อนแป๊บนะ”


“หมายความว่า ฉันถูกเรียกมาที่นี่เพื่อกอบกู้นรก อะไรแบบนี้เหรอ? ”


“ใช่แล้วล่ะขอรับ เพราะคุณมาเรียคือผู้ที่สามารถใช้ท่วงทำนองแห่งโลกันตร์ได้ยังไงล่ะขอรับ คุณมาเรียจึงเป็นผู้ที่ถูกแบล็กซับบาธเลือกมา และสามารถใช้แบล็กซับบาธ ต่อกรกับเหล่าปีศาจที่ทำลายความสงบสุขของนรกได้ยังไงล่ะขอรับ”


“เดี๋ยวนะ...เอ่อ จะให้ฉันไปสู้กับปีศาจด้วยกีตาร์นี่ได้ไง ขนาดเมื่อกี้ฉันเจอพวกปีศาจมาไล่ล่ามา ฉันยังต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาหลบอยู่ในถ้ำเลย แล้วอีกอย่าง มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างฉันจะไปสู้ปีศาจได้ยังไงกัน! ”


“แต่คุณมาเรียก็สามารถใช้ท่วงทำนองแห่งโลกันตร์ได้ใช่มั้ยล่ะขอรับ”


“เอ่อ...ถ้าหมายถึงเพลงเมทัลละก็ ฉันพอเล่นได้อยู่ แต่ฉันเองก็เลิกเล่นมานานแล้วนะ ตอนนี้ก็ไม่อยากเล่นเพลงเมทัลแล้วด้วย แล้วไหงคนที่ถูกอัญเชิญมาต้องเป็นฉันด้วยเล่า คนที่เล่นเพลงเมทัลได้ก็มีเยอะแยะแท้ๆ ”


“เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของเจ้าแบล็กซับบาธ กระผมเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันขอรับ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม คุณมาเรียจะต้องใช้เจ้านี่ไปสู้แล้วล่ะขอรับ”


“แต่...ฉัน...ไม่...”


จู่ๆ ทั่วทั้งถ้ำก็เกิดแรงสะเทือนไปทั่วประดุจแผ่นดินไหว มาเรียหยุดชะงักพร้อมหันมองไปทั่วอย่างร้อนรน


“เมท รู้มั้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ!? ”


“แถวนี้เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของ เบฮีมอธ ปีศาจที่เป็นจ้าวอาณานิคมของถ้ำใต้ดินแห่งนี้น่ะขอรับ แรงสั่นสะเทือนนี่คงเกิดจากเจ้านั่นแน่ๆ ”


“ฟังดูแล้วไอ้เจ้าเบฮีมอธนี่น่าจะเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งน่าดูนะ ว่าแต่เราจะหนีมันยังไงดีเมท? ”


“พวกเราก็ไม่มีทางหนีมันพ้นแน่ๆ อยู่แล้วล่ะขอรับกระผม”


“แล้วเราควรจะทำยังไงกันดี!? ”


“จะหนีทำไมล่ะขอรับ สู้มันซะสิขอรับ”


“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ตอนนี้คุณมาเรียไม่มีสิทธิ์เลือกแล้วนะขอรับ มีหนทางเดียวคือต้องสู้อย่างเดียวเท่านั้นนะขอรับกระผม”


“แต่ฉันอุตส่าห์สัญญากับตัวเองแล้วว่า จะไม่เล่นเพลงเมทัลอีกแล้ว...”


“คงต้องยกเลิกสัญญาไปก่อนชั่วคราวนะขอรับ”


“กะแค่ดีดกีตาร์มันจะไปปราบปีศาจได้ยังไงกันน่ะ? ”


“มีทางเดียวคือต้องลองดูนะขอรับ ไม่ลองไม่รู้นะขอรับกระผม”


ในระหว่างที่มาเรียกำลังลังเลอยู่นั้น ปีศาจเบฮีมอธก็เข้ามาถึงตัวพวกเธอจนได้ มันเจาะรูผนังถ้ำเป็นรูใหญ่ดั่งอุโมงค์ยักษ์ เจ้าปีศาจร้ายยืนหน้าเข้ามาส่งเสียงคำรามใส่ทั้งสอง รูปร่างของมันคล้ายกับฮิบโป แต่มีงวงและงายื่นออกมาเหมือนช้าง มีเขาโค้งยาวสีดำดั่งกระทิง โดยเขาทั้งสองข้างของมันเป็นสว่านไว้ขุดเจาะ ที่สามารถขุดเจาะได้แม้กระทั่งเหล็กกล้าอีกด้วย


ในตอนนี้มาเรียได้รับรู้แล้วว่า ศึกนี้ไร้ทางหนีทุกช่องทาง มีเพียงหนทางเดียวเพื่ออยู่รอด คือการต่อสู้กับปีศาจจ้าวแห่งบาดาลตรงหน้าเท่านั้น


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว