เจ้าพ่ออสูร-!! แจ้งอ่านฟรี !!

โดย  SUNISAYOK

เจ้าพ่ออสูร

!! แจ้งอ่านฟรี !!

เช้าวันรุ่งขึ้น ขบวนเสร็จขององค์รัชทายาท ได้กลับสู่เมืองหลวงตามกำหนดการ... ตระกูลฉี มิได้เว้นวางในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก็ได้จัดเตรียมงานเลี้ยงต่อในทันทีให้กับตระกูลซ่ง เรื่องที่ได้เปิดสำนักแห่งใหม่ในเมืองบุปผาแดง อีกทั้งยังดูเหมือนว่าสำนักจะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนมีผู้เข้าร่วมสำนักขวานวายุนับพันในเวลาอันสั้น...

ซุน จึงได้มีโอกาสเอ่ยร่ำลากับ ซ่งไห่เฟิง อย่างเป็นทางการอีกครั้ง เพราะหลังจากนี้ ซุน คงอยู่ที่เรือนตระกูลฉี ไปจนถึงวันที่ออกจากเมืองแห่งนี้เพื่อความปลอดภัยของตน คงไม่มีโอกาสได้กลับไปยังตระกูลซ่งอีกแล้ว... ชายชรา เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ เนื่องด้วยหากไม่มีเด็กหนุ่มผู้นี้ ตระกูลซ่ง คงยากที่จะกลับมาลืมตาอ้าปากอีกครั้ง...

“ขอบคุณเจ้ามากนัก... ตระกูลซ่ง จะไม่มีวันลืมเจ้า ศิษย์สำนักคนแรกของพวกเรา”

เด็กหนุ่ม ประสานมือน้อมนับด้วยความสุภาพ...
“ตระกูลซ่ง ก็มีบุญคุณที่สอนสั่งเคล็ดวิชาให้กับข้าเช่นกัน... แม้ข้าจะไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้แล้ว แต่ข้าจะทำให้ชื่อเสียงของ เพลงขวานวายุตระกูลซ่ง ได้เป็นที่ขจรไกลในเส้นทางของข้า...”

ซุน ยังหยิบยื่นเต้าสุราให้กับชายชรา...
“สุราเต้านี้ มีนามว่า สุราสลายระทม... ผู้อาวุโสมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังจากการถูกตระกูลเกาเล่นงานเมื่อ 5 ปีก่อน สุรานี้จะช่วยฟื้นฟูร่างกายท่านจากภายใน รักษาควบคู่ไปกับวิชาแพทย์ จะเป็นผลดีกับตัวท่าน...”

ซ่งหย่งไห่ เผยรอยยิ้มชรา...
“เช่นนั้นขอน้อมรับไว้ด้วยใจ...”

เจ้าหมีใหญ่ รวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลซ่ง ต่างพากันเข้ามาโอบกอด ซุน แทนคำขอบคุณ... ขาดก็แต่ ซ่งจื่อฮุ่ย ที่ดูเหมือนว่านางจะเซื่องซึมอยู่วงนอกมาตลอด ไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับ ซุน ตั้งแต่ที่เข้ามาถึง แน่นอนว่า ซุน เองก็พอจะทราบถึงเหตุผลของนาง ทุกสิ่งต้องใช้เวลาสักระยะ...

งานเลี้ยงจัดถูกจัดขึ้นเล็ก ๆ ไม่ได้เชื้อเชิญแขกอื่นใดจึงมีเพียง ตระกูลฉี และตระกูลซ่ง แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูล ในอดีตเคยมีความแน่นแฟ้นต่อกัน จวบจนการสูญเสีย ซ่งหยุนไห่ ไปเมื่อ 19 ปีก่อน ทำให้เริ่มมีระยะห่างเกิดขึ้นทีละน้อย...

ในปีนั้นเกิดโรคระบาดร้ายแรงในเมืองบุปผาแดง ซึ่งโรคระบาดแตกต่างไปจากการถูกพิษ ดังนั้นต่อให้เป็นชนชั้นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งก็สามารถป่วยตายได้... ในปีนั้นมีผู้คนหลายหมื่นต้องล้มตาย ตระกูลซ่งเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก สมาชิกตระกูลหลักต่างพากันล้มตายจนหมด เหลือก็แต่ ซ่งจื่อฮุ่ย ที่ ณ เวลานั้นยังอายุเพียงไม่กี่เดือน แต่นางกลับรอดชีวิตได้ราวปาฏิหาริย์

ช่วงเวลาในตอนนั้น ซ่งไห่เฟิง ได้พากลุ่มผู้เยาว์จำนวนหนึ่งออกไปทำธุระที่ต่างเมือง เมื่อกลับมาถึงก็พบเพียงความเศร้าสลด จนเกือบทำให้ตระกูลใหญ่ต้องล่มสลาย… ซึ่งต่อมาภายหลังกลุ่มผู้เยาว์เหล่านั้น ก็คือกลุ่มสมาชิกตระกูลซ่งสายเลือดรองไปปัจจุบัน

ในปีนั้น ฉีเฟยเทียน ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้มากนัก เพราะปีนั้นทั่วทั้งเมืองล้วนแล้วแต่เผชิญวิกฤตจากโรคระบาด ความรุ่งเรืองทั้งหมดที่สร้างต่างถดถอย ไหนเลยที่ เจ้าเมือง จะเข้าช่วยเหลือตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นพิเศษได้ กว่าจะฟื้นฟูเมืองแห่งนี้ให้กลับมาเป็นดังเดิม ก็ต้องใช้เวลานับสิบปี

ตระกูลซ่ง จึงได้แต่กัดฟันก้าวเดินเรื่อยมาจากมรดกที่ยังหลงเหลือ... จวบจนเผชิญวิกฤตอันโหดร้ายอีกครั้งเมื่อ 5 ปีก่อน จากฝีมือของ เกาทงหลิน และลุกลามมาถึง ณ ปัจจุบัน... แต่ยังนับเป็นโชคที่สวรรค์ได้ส่ง ซุน มาช่วยแก้ไขชะตากรรมอันโหดร้าย...

“หากตระกูลหาน ยังมาระราน ก็สามารถเข้ามาปรึกษาข้าได้... แต่ส่วนตัวติดว่าตระกูลหาน ก็คงไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น เพราะคงกำลังย่ำแย่อยู่เช่นกัน...” ฉีเฟยเทียน กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“หึหึ... ขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่เป็นห่วง แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้โอกาสในครั้งนี้เป็นเพียงสายลมชั่วคราว จะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพายุที่โหมกระหน่ำความรุ่งเรืองให้กลับคืนสู่ตระกูลอีกครั้งให้จงได้...” ซ่งไห่เฟิง กล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก

ณ สวนพฤกษา...

ซ่งจื่อฮุ่ย ถูก ซุน ชักชวนให้ออกมาที่นี่... หวังจะเปลี่ยนความเศร้าสลดของนางให้กลับมาร่าเริงดังเดิม น่าเสียได้ที่สุดยอดไม้ตายชักชวนดื่มสุราของเด็กหนุ่มไม่อาจใช้กับนางได้ ดูท่าคงจะเหมาะใช้กับเหล่าผู้ชราเสียมากกว่า...

“ไหนว่าเจ้าจะไม่โกรธเคืองข้าอย่างไร?” เด็กหนุ่ม เอ่ยถาม

“ความโกรธ กับความเศร้าเสียใจมิอาจถูกนับรวมกัน... ข้าไม่เคยโกรธเคืองเจ้าที่เลือกเส้นทางของตนเอง แต่ข้าเสียใจที่ไม่มีสิ่งใดจะเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้...” นางกล่าว

ทำเอา ซุน กระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย...
“ข้าไม่อาจให้ความหวังใด ๆ กับเจ้าได้ เพราะเส้นทางของข้านั้นเต็มไปด้วยอันตราย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายวันตายพรุ่ง... แม่นางซ่ง อีกไม่นานเจ้าคงพบเจอคนที่เหมาะสมสำหรับเจ้าแน่นอน”

“เจอคนที่เหมาะสม?! หากข้ายังกล้าเปิดใจล่ะก็นะ... ครั้งแรกที่ข้าเปิดใจขึ้น กลับถูกหลอกลวงโดย เกาทงหลิน... ครั้งที่สองเมื่อข้าเปิดใจ ก็กลับถูกเจ้าทอดทิ้งโดยเจ้า?!” นางกล่าวขึ้นพลางจ้องมองมายัง ซุน ด้วยแววตาที่เจ็บปวด...

“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น... เจ้ากำลังให้ข้ารู้สึกแย่ไปด้วย...” ซุน ไม่ถนัดนักในการรับมือสตรี

ซ่งจื่อฮุ่ย รู้ดีว่าต่อให้นางพูดสิ่งใด ก็คงมิอาจฉุดรั้งชายหนุ่ม ทั้งยังสร้างความลำบากใจให้กับ ซุน มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงสูดลมหายใจลึก ก่อนจะสืบเท้าเข้ามายืนเบื้องหน้า ซุน จนแทบจะแนบชิด สายตาของทั้งสองจดจ้องกัน อย่างน้อย ซุน ก็ไม่อ่อนหัดถึงขั้นจะเลี่ยงหลบสายตาของหญิงสาว...

“ข้าขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง... แล้วข้าจะไม่เรียกร้องอะไรอีกเลย...” นางกล่าวเน้นหนัก

“เจ้าอยากได้อะไร?!”

นางคล้ายจะพยายามเอ่ยแต่สุดท้ายก็อึกอัก พลางใบหน้าแดงระเรื่อขึ้น...

“อะไร?!” ซุน ถามย้ำ

“จะ...จูบข้า!”

“!!!!!!!!!!!” เด็กหนุ่มพลันเบิกตาโพรง
“จูบเจ้า?! ตอนนี้?! ที่นี่?!”

“ใช่... อย่างน้อย ข้าก็อยากได้รับความทรงจำและความรู้สึกดี ๆ จากเจ้าบ้าง...” นางกล่าวพลางเลี่ยงหลบสายตา หน้าของนางแดงประหนึ่งผลลูกท้อ ทั้งยังจิตใจสั่นไหว บ่งบอกว่านางใช้ความกล้าอย่างมากในการกล่าวออกไป...

ซุน อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเจือจาง เมื่อเห็นนางแสดงความกล้าเพียงนี้แล้ว ตนที่เป็นบุรุษไหนเลยจะหดคอเป็นเต่าอยู่ได้... ชายหนุ่มยกมือขึ้นแผ่วเบาสัมผัสไปที่แก้มของหญิงสาว ลูบเส้นผมของนางทัดใบหูเพื่อให้ใบหน้าเปล่งประกายความงามอันเด่นชัด

ก่อนที่ ซุน จะใช้ปลายนิ้วช้อนปลายคางของนางให้หันตรง รู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านของนางอย่างชัดเจน ริมฝีปากของนางอิ่มเอมน่าสัมผัส สายตาของนางเต็มไปด้วยความวิงวอน... มันทำให้ ซุน ตัดสินใจโน้มตัวลง ประกบริมฝีปากนั้นอย่างแผ่วเบา

กาลเวลาโดยรอบราวกับถูกหยุดลง...
มีเพียงเสียงหัวใจของทั้งคู่ ที่เต้นโครมครามรุนแรง...

หญิงสาวรู้สึกราวกับได้รับการเติมเต็ม นางหลั่งน้ำตาออกมาโดยมิอาจห้ามปราม... ก่อนที่ทั้งสองจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกจากกันอย่างช้า ๆ ดวงตายังคงประสานจดจ้อง...
“ขอบคุณ...” นางกล่าวแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้ม

“ดูแลตัวเองให้ดี... แล้วก็อย่าได้ไปหลอกลวงคนต่างถิ่นเหมือนเมื่อก่อนอีกล่ะ...” ซุน กล่าวทั้งรอยยิ้มเช่นนั้น ก่อนจะลูบศีรษะของนางเบา ๆ

“ก็ไม่รู้สิ... ที่เราทั้งคู่ได้เจอกัน ก็เพราะข้าทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?!” นางยอมหัวเราะออกมา ก่อนนางจะสูดลมหายใจลึกเข้าไปปรับเปลี่ยนอารมณ์ตนเองมิให้ฟุ้งซ่าน

“ข้าต้องกลับไปที่งานแล้ว ในฐานะตัวแทนตระกูลซ่ง ยังไม่ได้ขอบคุณท่านเจ้าเมืองอย่างเป็นทางการเลย... เจ้าเองก็รีบตามไปล่ะ” หญิงสาวกล่าวขึ้น ก่อนนางจะหันหลังจากไปทันที นางดูคล้ายจะพอใจในสิ่งที่นางสามารถทำได้ แม้จะเป็นความทรงจำอันแสนสั้น แต่ก็นับว่าล้ำค่ามากแล้วสำหรับตัวนาง...

ซุน เองก็คงจดจำรอยยิ้มหลังการจูบของนางไม่มีวันลืมเลือน... เด็กหนุ่มมองดู ซ่งจื่อฮุ่ย เดินลับตาไป ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางหันกลับมายังด้านหลัง...
“จะไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรือ?! กับการแอบดูเช่นนี้...”

ฉีลู่ชิง สะดุ้งเล็กน้อย นางแอบอยู่หลังกำแพงในสวน... ก่อนนางจะค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ... “ทะ...ที่นี่มันสวนในเรือนข้า และข้าก็ไม่ได้แอบดูพวกเจ้าทั้งคู่ หากแต่เพียงไม่อยากออกมาขัดจังหวะเท่านั้นเอง...”

ซุน สวมกอดอกทั้งรอยยิ้ม...
“แล้วเจ้าจะหน้าแดงไปใย?! ทำเหมือนกับว่าพวกเราทั้งสองมิเคยจูบกัน?!”

หญิงสาวถลึงตาโดยพลัน... หวนนึกถึงในคืนที่ต่อสู้กับ อสรพิษทะเล (ตอนที่ 10)
“เหลวไหว!! ครั้งนั้นมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ ไม่อาจเรียกว่าเป็นการจูบ!!”

ซุน ได้แต่หัวเราะ หึหึ ในลำคอ...
“นั่นสินะ สิ่งนั่นจะเรียกว่าเป็นการจูบได้อย่างไร?! ก็เมื่อกลิ่นทรายและกลิ่นโลหิตในวันนั้น มันช่างแตกต่างจากความอ่อนโยนเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน...”

ฉีลู่ชิง ได้ยินเช่นนั้นก็กำหมัดแนบแน่น...
“ถูกต้อง!! สิ่งที่ข้าจะจดจำเกี่ยวกับตัวเจ้า มีเพียงรอยเตะที่บนแก้มนี้เท่านั่นแหละ!!”

นางก้าวเดินจากไปด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด... หากแต่ ซุน อดไม่ได้ที่จะขบขัน อย่างน้อยก็รู้สึกว่าจิตใจที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของนาง เริ่มที่จะหลอมละลายลงมาบ้างแล้ว ต่อให้นางเป็นหญิงสาวที่งดงามเพียงใด แต่หากจิตใจนางยังคงเย็นชาเหมือนในอดีต ก็คงห่างไกลจากคำว่ามีเสน่ห์...

..............................................

เรือนตระกูลหาน...

หญิงสาวผู้หนึ่ง โพกผ้าคลุมศีรษะ ก้าวเดินอย่างละแวดระวังเข้ามายังประตูหลังเรือนตระกูลหาน... ก่อนที่นางจะค่อย ๆ ปลดผ้าคลุมออก จึงชัดเจนว่านางเป็นบ่าวจากเรือนตระกูลฉี หนึ่งในผู้ที่เคยช่วย ซุน แต่งกายเมื่อวันก่อน...

ในศาลาท่าน้ำใกล้กับประตูด้านหลัง มีชายฉกรรก์คนหนึ่งกำลังจิบสุราเฝ้ารออยู่ ซึ่งคนผู้นี้หาใช่ใครอื่น แต่เป็น หานห้าว พี่ชายของ หานเฉียง ที่ต้องการจะหาทางแก้แค้นให้น้องชายตน... หญิงสาวเดินตรงเข้ามาทันทีด้วยสีหน้าเป็นกังวล...

“ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับ เหยาซุน มาบ้าง?!” หานห้าว เค้นเสียงถาม

“อีก 2 สัปดาห์ ข้าได้ยินมาว่า เหยาซุน จะหาทางออกจากเมืองนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง... แต่เรื่องช่วงเวลา และเส้นทาง ยังไม่ได้ถูกกำหนดชัดเจน...” นางกล่าวขึ้นกับ หานห้าว ค่อนข้างชัดเจน ว่านางคือสายสืบที่ ห้านหาว ส่งเข้าไปแฝงตัวในตระกูลฉีนานหลายปีแล้ว ด้วยความที่นางเป็นหญิงสาวไร้วรยุทธ จึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจและถูกจับสังเกต

หานห้าว วางแผนหาทางเล่นงานตระกูลฉี ตามลำพังมาหลายปี มีความเด็ดเดี่ยวและกล้าเสี่ยงตัดสินใจมากกว่า หานเต้าหยี ผู้เป็นบิดาหลายเท่า... หานห้าว วางแผนเพื่อเฝ้ารอโอกาสที่ตนจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหานแทนที่บิดา โดยคิดจะตั้งตนเป็นใหญ่เหนือตระกูลฉีให้ได้ในสักวัน...

แต่ในตอนนี้ มีเรื่องความแค้นของน้องชายเข้ามาคั้นกลางเสียก่อน หานห้าว จึงใช้ให้สายลับที่ตนได้ส่งแทรกซึมเข้าไป พยายามสืบค้นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ เหยาซุน เป็นพิเศษ เพื่อหาโอกาสเข้าเล่นงาน...

“อีกสองสัปดาห์งั้นหรือ?” หานห้าว แสยะยิ้มชั่วร้าย


..................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว