คำพูดพี่เลห์วนอยู่ในหัวผมทั้งวันทั้งคืน และมันเป็นเหตุผลให้ผมต้องหยุดซื้อของกินไปแขวนไว้หน้าห้องพี่เลห์ ไม่ใช่ว่าผมทำตามที่พี่เลห์บอกหรอก แต่เพราะผมยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้เรื่องนี้มันเคลียร์ดี
ผมเลยตัดสินใจ...เดินไปเคาะประตูห้องพี่เลห์ในตอนเย็นของวันต่อมา...
ก๊อก ๆ ๆ
บอกเลยว่าเสียงเคาะประตูไม่ดังเท่าใจผมที่กำลังเต้นแรงตอนนี้
ทำไมวินาทีที่รอพี่เลห์เปิดประตู มันถึงได้ตื่นเต้นราวกับกำลังลุ้นผลสอบก็ไม่รู้
แอ๊ด...
เจ้าของห้องโผล่ทั้งตัวมาให้ผมเห็น การเผชิญหน้ากับพี่เลห์คือความโลกหยุดหมุนจริง ๆ
“มีอะไร...” น้ำเสียงเยือกเย็น ประกอบกับแววตาชวนขนลุกมองมาที่ผมด้วยท่าทีเรียบนิ่ง พี่เลห์ออกมายืนพิงกรอบประตูรอฟังผมพูด สองมือยกขึ้นกอดอก
“ผมขอจีบพี่นะครับ” ผมเริ่มต้นเรื่องโต้ง ๆ ไปแบบนี้เลย ไม่มีอารัมภบทใด ๆ ทั้งสิ้น ผมใจร้อน
ทว่า...ปฏิกิริยาของพี่เลห์คือ...นิ่ง
“ผมแค่อยากทำอะไรให้พี่ ผมมีความสุขที่ได้เห็นหน้าพี่ ได้อยู่ข้าง ๆ พี่ พี่เป็นพลังบวกของผมเลยนะ พี่รู้ป่าว”
“ตัวกูเองรู้สึกว่าตัวเองมีแต่พลังลบ แล้วมึงเอาความรู้สึกว่ากูเป็นพลังบวกให้มึงมาจากไหน...”
พี่เลห์กำลังหาว่าผมโกหก ปลิ้นปล้อน พูดไม่จริงแน่ ๆ เลย “พี่รู้สึกของพี่แบบนั้น แต่สำหรับบางคนที่มองพี่ ไม่ได้มองแบบนั้นไงครับ”
“งั้นพลังบวกก็มาจากความรู้สึกของมึง ไม่ใช่มาจากกู”
“แต่พี่เป็นต้นเหตุให้ผมรู้สึกถึงพลังบวกไงครับ”
“...”
เราสองคนจ้องหน้ากัน พี่เลห์ไม่ยอมพูดว่าอนุญาตให้ผมจีบแน่ ๆ แต่ผมจะจีบอ่ะ เอาดิ...ผมจะสู้สักตั้ง จะทำให้พี่เลห์รู้ว่า ผมจริงใจและชอบพี่มากจริง ๆ
“พี่เลห์...ผมชอบพี่จริง ๆ นะ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบพี่ ทั้ง ๆ ที่ได้ยินใคร ๆ พูดกันว่าพี่ไม่มีหัวใจแล้ว แต่ผมดันชอบพี่ ชอบมาก ๆ เลยด้วย ชอบเหี้ย ๆ เลยอ่ะ...” มันไม่มีคำพูดไหนจะแทนความรู้สึกของผมได้เท่ากับคำนี้แล้วมั้งตอนนี้ แต่พี่เลห์ก็ยังนิ่งอยู่เลย “ต่อให้พี่ปฏิเสธผมแค่ไหน พี่รู้มั้ย ว่ามันยิ่งทำให้ผมชอบพี่ขึ้นไปอีก...”
“กูชอบมึง”
พี่เลห์โพล่งออกมา ตัดบทพูดของผมทุกอย่าง และทำให้ผมค้างเติ่งไปหลายวินาทีด้วย
พี่เลห์...เพิ่งบอกว่าชอบผมอ่ะ
พี่เลห์บอกชอบผมอ่ะ!!!!!!!!!!!!
“กูต้องพูดแบบนี้ใช่มั้ยมึงถึงจะหยุดรังควานกู”
กรรม! พี่เลห์ประชดหรอกเหรอ หงอยเลยใจผม เพราะผมพูดว่ายิ่งพี่ปฏิเสธผมยิ่งชอบ พี่เลห์แม่งก็เล่นสวนกลับมาว่าชอบผมเหมือนกันเพื่อให้ผมเลิกยุ่ง
พี่เลห์คนจริงว่ะ
“โถ่! ผมดีใจเก้อเลย...” ผมว่าออกไปเสียงหงอย แต่บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้หงอยหนักขนาดจะล้มเลิกความตั้งใจ ผมอยากให้พี่เลห์เห็นในใจผมจริง ๆ ว่าผมโคตรจะสู้แค่ไหน ผมไม่เคยดึงดันอยากจีบใครขนาดนี้มาก่อน กับผู้หญิงก็ไม่เคยเป็นหนักขนาดนี้ ถ้าเธอคนนั้นปฏิเสธผมด้วยสีหน้าและแววตาแบบพี่เลห์ บอกตรง ๆ ว่าผมถอยตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นแล้ว
แต่พอเป็นพี่เลห์ ทำไมถึงกลายเป็นข้อยกเว้นทุกอย่าง
“ไม่ว่าพี่จะพูดแบบไหนอ่ะ ผมก็ชอบพี่ทั้งนั้นแหละ” ผมเถียงออกไปอย่างดื้อดึง
“...” พี่เลห์ถอนหายใจด้วยสีหน้าติดหงุดหงิด ก่อนจะเสมองไปทางอื่นอย่างรำคาญ
แต่ผมก็ยังมองว่าพี่เท่ห์ว่ะ...บาดใจผมเหลือเกิน
ตอนแรกก็เขินพี่มันอยู่ แต่ตอนนี้ทำไมผมถึงกล้าขึ้นมาก็ไม่รู้ กล้าพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไปหมดเลย แต่มันโคตรดีเลยว่ะ ผมรู้สึกดีสุด ๆ ที่ได้พูดความในใจต่อหน้าพี่เลห์
“จะทำอะไรก็เรื่องของมึง แต่อย่าเอาของกินมาแขวนหน้าห้องกูอีก”
ผมยิ้มกว้างออกมา ดีใจจนเนื้อเต้น แม้ไม่ได้อนุญาตตรง ๆ แต่มันคือการอนุญาตให้ผมจีบแบบอ้อม ๆ แน่ ๆ ผมขอทึกทักเอาเองแล้วกัน ทว่าพอพี่เลห์เห็นผมยิ้ม พี่แม่งก็กลับเข้าห้องปิดประตูใส่หน้าผมเลย
แต่ผมดันยืนยิ้มอยู่ตรงประตูซะงั้น ทีนี้แหละ ผมจะมาแวะมาหาให้พี่เลห์ จะมาเห็นหน้าทุกเช้าเย็น ให้เหม็นหน้าผมไปข้างหนึ่งเลย
และผมจะไม่เอาของกินมาแขวนที่ประตูแบบที่ทำทุกเช้าอีกแล้ว
แต่จะเอามาให้ถึงห้องและถึงมือทุกเช้าเองเลย
ไม่ให้แขวนของกินหน้าห้อง ผมก็ถือทั้งถุงมายืนดักรอพี่อยู่หน้าห้องครับ แล้วด้วยความกลัวว่าพี่เลห์จะหนีผมไปมหา’ลัยแต่เช้า ผมเลยมาดักรอหน้าห้องตั้งแต่ตีห้า ผมอาจจะเว่อร์ แต่จากการโต้ตอบของพี่เลห์เมื่อวานแล้ว ทำให้ผมต้องคิดเผื่อไว้สองชั้นเลยจริง ๆ คนอย่างพี่เลห์ฉลาดเป็นกรด เอาแน่เอานอนไม่ได้ นึกจะหายก็หาย ไม่รู้เป็นคนหรือแวมไพร์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย หาตัวยากยิ่งกว่าอะไรดี
ผมนั่งเล่นนอนเล่นอยู่หน้าห้อง มือถือเป็นเพื่อนที่แสนดีที่สุดในช่วงเวลารอคอยที่แสนน่าเบื่อแบบนี้ แต่เพราะจุดหมายปลายทางคือความหอมหวาน ผมก็อดทนได้แม้จะต้องขัดใจกับความเบื่อหน่ายในการรอ
และจริงดังคาด พี่เลห์ออกจากห้องมาตอนหกโมงเป๊ะ มันเช้าเกินไปที่จะไปมหา’ลัย ผมไม่แน่ใจว่าพี่เลห์มีเรียนตอนกี่โมง แต่ส่วนใหญ่แล้วคาบเรียนในมหา’ลัยจะเริ่มตอนแปดโมงเช้า คอนโดนี้กับมหา’ลัยก็ใช่ว่าจะไกลกันขนาดที่ต้องรีบเดินทางไปเพราะกลัวรถติด เอาจริง ๆ มันไม่ใช่ในเมืองหลวง เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องรถติดหนักขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นมีอยู่เหตุผลเดียวที่พี่เลห์รีบออกจากห้องขนาดนี้ก็คือ กลัวเจอผม
บอกแล้วว่าพี่เลห์ฉลาดทันคน โดยเฉพาะคนอย่างผม พี่เลห์สั่งไม่ให้ผมหิ้วถุงของกินมาแขวนไว้ และพี่มันต้องคิดในใจไว้แน่ ๆ ว่าผมไม่น่าจะเชื่อฟัง และคิดว่าคงมาดักรอพี่มันแน่ ๆ
ถึงไม่สนิทกับพี่เลห์อย่างเพื่อน ๆ เขา แต่จากการที่ผมใส่ใจในทุกอย่างที่เป็นพี่เลห์ ผมเลย...รู้ ราวกับเป็นคนสนิท
โคตรภูมิใจในตัวเองเลย...
พี่เลห์มองหน้าผมนิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไรออกมา และผมคาดว่าสีหน้าเอือม ๆ แบบนั้นคงเป็นสีหน้าที่กำลังคิดในใจว่า กะแล้วเชียวว่าต้องเห็นผมอยู่หน้าห้อง
พี่เลห์ก้มหน้าลงมามองผมที่นั่งอยู่ข้างประตูพิงฝาผนัง ผมยิ้มกว้างให้เขาแล้วรีบลุกขึ้นยืน
“นี่ครับ...” ผมยื่นถุงของกินในมือให้อย่างเร็วรี่ ยังคงยิ้มสดใสให้อีก แม้จะได้รับสีหน้าบูด ๆ กลับมาก็เถอะ
“บอกแล้วไง...” พี่เลห์กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเนิบ ๆ ทว่าผมรู้ว่าพี่จะพูดอะไร เลยสวนกลับไปทันทีว่า
“ผมไม่ได้เอามาแขวนนะ ผมเอามาให้เองกับมือ” ยืดอกบอกไปอย่างภาคภูมิใจ พี่บอกว่าอย่าเอามาแขวนเองนะเมื่อวาน คำพูดพี่มันมัดตัวพี่ดิ้นไม่หลุดเองนะจ้า
ขณะเดียวกันพี่มันก็เหมือนจะรู้ตัวเองว่าพูดอะไรไว้ คงนึกหงุดหงิดใจที่ไม่ได้เอ่ยสั่งห้ามให้ชัดเจน
“ไปเรียนด้วยคนสิครับ” ผมหน้าด้านไปเลยจ้า ขอติดรถพี่มันไปด้วย ถ้าไม่ทำแบบนี้ ชาตินี้ก็คงไม่ได้ใกล้ชิดขนาดนี้อีกแล้ว ทำไรได้ก็ทำละวะผมตอนนี้
พี่เลห์มองตาดุใส่ผม น่ากลัวชิบหาย แต่เท่ห์มากกว่า ผมเลย...ไม่รู้สึกกลัว...เท่าไหร่หรอก…มั้ง
“พี่ไปเรียนคนเดียว ขับรถไปคนเดียว เปลืองน้ำมันไปเปล่า ถ้ามีผมนั่งไปด้วย จะได้ช่วยประหยัดมากขึ้นนะครับ”
“มากไปแล้วนะ...” เสียงพี่เลห์ดุมาก ผมล่ะกลัวจริง ๆ ว่าพี่มันจะชกหน้าผม และตะคอกกลับมาว่าไม่ให้ไปด้วย
แต่ผมหน้าด้านอ่ะ
“ผมสัญญาว่าจะไม่กวนพี่”
“ที่ทำอยู่นี่เรียกอะไร” พี่มันสวนกลับมาซะผมจุก
“จีบไงครับ” แต่ผมก็เฉลียวฉลาดเหมือนกันนะครับ
“...” พี่เลห์เงียบ แต่สายตาไม่เงียบนะครับ มันดังก้องไปด้วยคำที่ผมคิดว่าถ้าตามันพูดได้คงพูดออกมาว่า ไปให้พ้นกูสักทีอะไรประมาณนี้
“ผมอยากจีบพี่ให้ติด”
“….มึงจะเสียใจที่ทำแบบนี้”
พี่เลห์พูดทิ้งไว้แค่นั้น แล้วเดินหนีผมเลย ผมยืนงงอยู่ครู่เดียว แต่ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองงงนานหรอก รีบวิ่งตามพี่มันไปเพื่อจะไปมหา’ลัยพร้อมกัน ทิ้งประโยคสุดท้ายของพี่เลห์ไว้เบื้องหลัง ไว้ผมสนิทกับพี่ให้ได้ก่อน แล้วค่อยถามละกันว่าหมายความว่ายังไง
แต่ว่า...พี่ยังไม่รับของกินจากมือผมเลยนะพี่เลห์
หอบแฮ่กเลยตู!
พี่เลห์เดินเร็วชิบหาย ตอนแรกคิดว่าพี่เลห์จะพารถไปเรียน ที่ไหนได้พี่มันรำคาญผมถึงขนาดลงทุนเดินไปเรียนเลยอ่ะ สิบกิโลเมตรมันก็ไม่ได้ทำให้เหนื่อยอะไรมากมายหรอก ถ้าผมไม่พยายามวิ่งบ้างเดินบ้างเพื่อให้ทันพี่มันอ่ะ
หมดกันความโรแมนติกที่จะเดินเคียงข้างกันไปเรียน คนหนึ่งก้าวขาที่โคตรยาวไปเรื่อย ๆ และเร็วด้วยโดยไม่สนใจไยดีคนที่ขาสั้น ๆ ซึ่งพยายามก้าวตามให้ทันเลยสักนิด นี่พี่มันกำลังแกล้งให้ผมวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้าหรือไง
“พี่เลห์...แฮ่ก ๆ” ผมเรียกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ โน้มตัวลง สองมืดยันเข่าสองข้าง หายใจเข้าออกถี่ ๆ พี่เลห์หยุดยืนนิ่งเมื่อมาถึงหน้ารั้วมหา’ลัยแล้ว ผมพยายามไล่ความเหนื่อยหอบออกไปเพื่อจะอ้าปากถามคำถามพี่เลห์ได้
“พี่แม่ง! ผมคิดว่าพี่จะพารถมา ไม่อยากอยู่ใกล้ผมถึงขนาดต้องลงทุนเดินมาเรียนเลยเหรอครับ”
“ประหยัดน้ำมัน...”
ฉึก!
เหมือนมีมีดแหลม ๆ จากทิศทางใดก็ไม่รู้พุ่งมาปักอกผมเต็มรัก พี่เลห์แม่ง เอาคำพูดผมมาย้อนผมอ่ะ ผมเถียงไม่ออกจริง ๆ การเดินมาเรียนแบบนี้คือ...ประหยัดน้ำมันอย่างแท้จริงเลยว่ะ
พี่เลห์เดินหายเข้าไปในโรงเรียน โดยที่ปล่อยให้ผมยืนอ้าปากค้าง ตกตะลึงกับความคิดพี่มันอย่างนึกไม่ถึงเลย
ว่าแต่ว่าของกินของพี่ยังอยู่ในมือผมอยู่เลยนะพี่เลห์...
น้ำเต้าหู้ น้ำชาเขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาว และขนมจีบซาลาเปาก็ตกเป็นของไอ้นินจาไปโดยปริยาย ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่มัวแต่มองตาพี่มันเพื่อลับคมกัน โดยลืมไปทุกทีว่าต้องยื่นถุงของกินใส่มือพี่มันให้ได้ แต่ไม่เป็นไร วันพระไม่ได้มีหนเดียว แต่เอาจริง ๆ วันพระเดือนนึงมีแค่ไม่เกินห้าวันเอง การที่ผมอยากเจอหน้าพี่เลห์มันเอาไปเทียบกับวันพระไม่ได้ว่ะ มันมีน้อยวัน การเจอหน้าพี่เลห์ต้องเทียบกับ...
เทียบกับอะไรไม่ได้เลยต่างหาก เพราะผมอยากเจอพี่มันทุกวัน
“เป็นไรไอ้พูห์...ทำหน้าซังกะตายแต่เช้า” ไอ้นินจาถาม หน้าผมอาจจะดูซังกะตายเพราะผมหงุดหงิดที่ไม่ได้เอาของกินยัดใส่มือพี่เลห์สำเร็จ แต่เอาจริง ๆ ในใจโคตรมีความสุขที่อยู่เคียงข้างพี่เลห์วันนี้ แม้ว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นที่โรยไปด้วยหยาดเหงื่อก็ตาม
“มึงแย่งของกินพี่เลห์ไป”
ไอ้นินจาวางขวดน้ำชาเขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาวลง แล้วหันหน้ามามองผม
“เรื่องแค่นี้มึงถึงกับทำหน้าปวดขี้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“มึงมันตะกละ” ผมพาล แค่นั้นเอง แต่ไอ้นินก็ทำแค่ส่ายหน้าเบา ๆ ไม่ต่อปากต่อคำกลับมา “เรื่องคนเก่งเป็นไง คืนดีกันยัง”
ไอ้นินจาหยุดดื่มน้ำ แล้วหันมามองหน้าผม ในใจผมแอบหวังว่ามันจะไม่มีเรื่องดราม่านะ
“คุยแล้ว...”
“แล้วยังไง จบตรงไหน”
“ตรงที่เตียง”
“ห้ะ!!” ผมแม่งดีดตัวนั่งตรงอย่างตกใจ ไอ้นินจามันมาเร็วเคลมเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ เพิ่งย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันไม่ทันพ้นเดือนด้วยซ้ำ เมื่อวานผมมัวแต่คิดเรื่องพี่เลห์ เลยไม่ได้อัพเดทเรื่องของมันเลย
“มึงจะตกใจอะไร กูแค่จับมันกดลงเตียงเพราะมันไม่ยอมฟังกูอธิบาย ตอนกูไปถึงห้องก็แม่งกำลังเก็บเสื้อจะหนีออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว กูเห็นกูก็ตกใจดิ รีบเข้าไปฉวยข้อมือมันไว้ บอกว่าฟังกูอธิบายก่อน มันแม่ง ไม่ได้ทำหน้าโกรธอะไรนะ แต่หน้านิ่งมาก แล้วยังเดินหน้าเก็บเสื้อผ้าอยู่นั่น ทำเหมือนไม่ได้ยินที่กูพูด แล้วมึงว่าคนอย่างกูจะทำไง กูจับแม่งกดลงไปนอนบนเตียงขึ้นคร่อมไว้ ไมให้หนีได้อ่ะ ทีแบบนี้ละตัวสั่นเชียว ตอนกูบอกว่าจะอธิบายแม่งไม่ยอมฟัง เป็นไงล่ะ กลัวกูเอาจริง ๆ เลยตั้งใจฟังกูพูดเลย”
ผมยู่ปาก สีหน้าคือตะลึงไปเลย “มึงแม่ง...สุดยอดว่ะ”
“สุดยอดอะไรล่ะ ยังไม่ได้สอดใส่อะไรเลย”
“ไอ้เชี่ย! กูหมายถึงพฤติกรรมมึงอ่ะ มาเฟียชัด ๆ”
“...” ไอ้นินจาถอนหายใจออกมาแทน
“แล้วมึงคุยยังไง คนเก่งยอมอยู่กับมึงต่อเหรอวะ”
“มึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าให้อ่อนโยน...”
“มึงทำด้วยเหรอ”
“ไม่ได้อยากทำ แต่วินาทีนั้นก็จำเป็นป่ะวะ แล้วมันได้ผลไงมึง กับคนเก่งมันใช้ไม้แข็งได้ไม่นานหรอก”
“แล้วคนเก่งเข้าใจมึงเหรอ แบบว่ามันรู้แล้วใช่มะว่ามึงชอบมันอ่ะ”
“อืม กูก็บอกไปตรง ๆ นั่นแหละ กูบอกว่าถ้ามันรังเกียจกู ก็ย้ายออกไปเลย แต่ถ้าไม่และอยากจะให้โอกาสกู ก็ช่วยอยู่ต่อ กูสัญญาไปแล้วว่าจะไม่ทำอะไรที่...มันไม่ชอบและไม่เต็มใจ”
ผมหัวเราะหึ ๆ “จริงเหรอว้า” ใจร้อนอย่างนินจาจะอดทนได้สักกี่น้ำ
“นาทีนี้ต้องจริงป่ะวะ กูเลือกอะไรได้ล่ะ ใจกูเหลวเป็นน้ำแล้วพอคิดว่าคนเก่งจะไปอยู่ที่อื่น”
“แคร์ด้วยเหรออย่างมึง ดูท่าทางอยากได้อะไรก็ต้องได้ และได้ด้วยวิธีของมึงอ่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นวิธีเอาใจใคร”
“ยกเว้นคนเก่งไงมึง กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมกูยอมได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ ครั้งกูหงุดหงิดเวลาคนเก่งมันดูเอาแต่ใจ ไม่สนใจกู เมินกู หรือไม่ทำอะไรตามที่กูสั่ง กูอยากจับมาตีให้รู้สำนึกว่าอย่างมาท้าทายคนอย่างกู แต่พอเอาเข้าจริง กูกลายเป็นแมวเลยว่ะ โดนมันอ้อนหน่อยก็ลืมอะไรไปหมดแล้ว”
ผมหัวเราะ “ยังไม่ได้มาเป็นเมีย แต่พูดได้เต็มปากว่ากลายเป็นทาสเมียไปซะแล้ว ยินดีด้วยกับตำแหน่งพ่อบ้านใจกล้านะมึง”
“ว่าแต่มึงเถอะ เรื่องพี่เลห์ไปถึงไหน”
“ถึงห้อง” ผมก็ตอบแบบกำกวมไปบ้างเหมือนกัน แต่เหมือนไอ้นินจะรู้ทันผม
“ได้เข้าห้องเหรอมึงอ่ะ” มันถามสวนกลับมา หน้าชาไปสิ
“ก็แค่ยืนอยู่หน้าห้อง”
“หึ...” น้ำเสียงฟังดูรักกูจริง ๆ “ไปทำไรล่ะ”
“แต่เอาจริง ๆ พี่เลห์มาหากูที่ห้องก่อนนะ”
ไอ้นินจาเลิกคิ้วสูง “เป็นไปได้เหรอวะ”
“ก็ไม่ได้มาเพราะพิศวาสอะไรกูหรอก แค่มาขู่กูว่าอย่าเอาของกินไปแขวนไว้หน้าห้องพี่มันอีกอ่ะ”
ไอ้นินจาหัวเราะ “พี่มันรู้จักห้องมึงด้วยเหรอ”
“นั่นแหละที่กูสงสัย รู้ได้ไง หรือว่าถามจากเคาน์เตอร์ด้านล่างคอนโด”
“แล้ววันนี้มึงไม่ได้เอาของกินไปแขวนที่ห้องพี่มัน?”
“ไม่แขวนละ แต่กูเอาไปยื่นให้ตรงหน้าเลย แต่พี่มันดันไม่รับ นี่กูว่าจะหาวิธีใหม่ แขวนหน้าห้องโดนห้าม ยื่นให้กับมือไม่รับ กูว่า...เอาไปให้ถึงตึกวิศวะไปเลยน่าจะดี”
ไอ้นินจามองนิ่ง ๆ มาที่ผม “มึงมีแรงขับเคลื่อนที่รุนแรงมากไอ้พูห์ โคตรจะกระตือรือร้น”
“มึงต้องไปเป็นเพื่อนกู”
“ไปคณะวิศวะ?”
“อืม พรุ่งนี้ ถ้าพี่เลห์ไม่รับของกูอีก กูจะเอาไปให้ถึงคณะ”
และอย่างที่พูดเลยพี่เลห์ไม่รับของที่ผมซื้อให้ เขาเดินหนีผมในตอนเช้า และผมก็ตามเขาไปไม่ทันนั่งรถของเขาด้วย ผมเลยต้องโบกวิน ไม่ก็รถสองแถวไปเรียนอย่างเคยเหมือนทุกเช้า
พ่อแม่ผมมีตังค์ก็จริงแต่ไม่ได้ซื้อรถไว้ให้ผมใช้หรอก พวกท่านบอกว่าถ้าผมอยากได้ก็ซื้อเอง ผมรู้ว่าลึก ๆ แล้วท่านคงเป็นห่วงความปลอดภัยของผมมากกว่า และที่สำคัญตัวผมเองยังรู้สึกว่าไม่อยากขับรถให้เป็นเพิ่มภาระของท้องถนนและพ่นไอเสียออกมาเพิ่มภาวะโลกร้อน ใช้บริการรถขนส่งไปน่ะดีแล้ว
อีกอย่างผมคิดเผื่อไว้ด้วยว่าวันหนึ่งที่ผมจีบพี่เลห์ติด ผมก็จะได้นั่งรถพี่เลห์เอง คิดถึงตรงนี้ก็แอบหัวเราะนิดหน่อยกับไอเดียที่แสนจะเข้าข้างตัวเองของผม
ผมชวนไอ้นินจาไปบุกคณะวิศวะในช่วงเช้า ความจริงพวกเรามีเรียนกันตอนประมาณสิบเอ็ดโมง แต่เพราะคนเก่งมีเรียนวิชาเสริมของมันเลยต้องตื่นเช้า และไอ้นินจามันเลยตื่นตาม ผมเลยได้โอกาสชวนมันไปเป็นเพื่อน
ผมบอกแล้วว่าถ้าพี่เลห์ไม่รับของกินของผมอีก ผมจะตามไปถึงคณะวิศวะ
“มึงคิดว่ามึงจะหาตัวพวกพี่เลห์เจอหรือไงไอ้พูห์” นินจาเอ่ยถามขณะที่กำลังยืนเท้าสะเอว สายตากวาดมองไปรอบบริเวณคณะวิศวะเพื่อมองหาบุคคลที่ผมต้องการเจอตัว
“ไม่เจอก็แค่กลับ” ผมตอบ สายตาก็กวาดมอง ก่อนจะเดินเร็ว ๆ ไปทั่ว ๆ
“มึงนี่น้า จริงจังกับเรื่องเรียนให้ได้แบบนี้มั่งสิ” ถึงมันจะบ่นแต่มันก็เดินตามผมมา และยังช่วยมองหาอีก
“มึงก็เหมือนกูมั้ยล่ะเรื่องเรียน”
“เถียงคำไม่ตกฟากจริง ๆ”
“กูก็เรียนรู้เรื่องเถียงจากมึงอ่ะ” ผมเถียงกับมันไปมา แต่ตาของเราสองคนก็ช่วยกันหา
บอกตรง ๆ เลยว่าพวกเราเดินหากันรอบคณะจริง ๆ แม้แต่ซอกซอยก็ยังไปค้นหา ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าไม่เจอก็ต้องอยู่ในห้องเรียน แต่ในที่สุดผมก็ประสบความสำเร็จ ความรู้สึกในตอนที่เจอพี่เลห์นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ใต้ต้นไม้กับเพื่อนอีกสามคนไม่ต่างกับตอนที่เรียนจบม.6 ด้วยเกรดเฉลี่ยสามจุดแปดศูนย์เลย
โคตรดีใจ...
ผมรีบเดินเข้าไปหา แม้ใจจะประหม่าอยู่มาก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วผมควรหน้าด้านต่อไป และเดินหน้าอย่างไม่ลดละ
วินาทีที่ผมปรากฏกายตรงหน้าเขา พี่เลห์ก็ค่อย ๆ ละสายตาจากหนังสือช้า ๆ มามองผม และท่าทีที่ไม่แม้แต่จะตกใจยิ่งทำให้ใจผมแทบจะละลายไปอีก เพราะสายตาและท่าทางเขามันเท่ห์มากจริง ๆ พี่เลห์เป็นคนที่ไม่ต้องเก๊กเท่ห์ก็ดูเท่ห์ได้แบบอัตโนมัติเลย
ผมบอกแล้วว่าเขาเกิดมาเพื่อเท่ห์
“เฮ่ย! ไอ้น้องพูห์ มาอีกแล้วเหรอ” เสียงพี่เยวาดังขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้จักชื่อผมได้ยังไง เพื่อน ๆ เขาทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว ผมเลยเม้มยิ้มกว้างส่งไปให้ทุกคน ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ทีละคน ยกเว้นไว้คนเดียวคือพี่เลห์
“สวัสดีครับพี่ ๆ” ผมเอ่ย หันไปมองหน้าเพื่อนรักที่มาด้วยกันแวบหนึ่งก็เห็นมันยืนนิ่ง ๆ มองสถานการณ์เท่านั้น
“จะมาจีบไอ้เลห์อีกแล้วเหรอ...” พี่เยวายังคงถามต่อด้วยรอยยิ้มสนุก ๆ ผิดกับคนที่ถูกพาดพิงถึง ที่เอาแต่ทำหน้าไม่รับแขก ตอนนี้เมินผมไปทางอื่นเสียแล้ว และเมินกันด้วยสีหน้ารำคาญเสียเต็มประดาด้วย หนังสือก็ถูกปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่ถอนออกมาหนัก ๆ
“ผมแวะเอาน้ำเต้าหูกับของกินมาให้ครับ”
พี่เยวามองถุงในมือผม ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “น้ำเต้าหู้?” พี่เยวาทวนคำ มองหน้าผมด้วยคิ้วขมวดมุ่น ทำเอาผมงงไปเหมือนกัน
“เลห์...มึงชอบกินน้ำเต้าหู้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พี่เจโฮพหันไปถามพี่เลห์ ที่ตอนนี้หันมาสบตากับเพื่อน ๆ ตัวเองแล้ว
“....” ไร้คำตอบจากพี่เลห์เหมือนเคย
“น้องพูห์...น้องไม่รู้เหรอว่าเลห์มันไม่กินน้ำเต้าหู้” พี่วินเลจเอ่ยบอก นั่นทำให้ผมตาค้างไปทันที แล้วที่ผ่านมาพี่เลห์เอาน้ำเต้าหู้ที่ผมซื้อให้ทุกเช้า...ไปไหน?
หรือว่า...พี่เลห์เอาไปทิ้งมาตลอด นี่หรือเปล่าถึงเป็นเหตุผลที่พี่เลห์มาบอกผมว่าไม่ให้ซื้อชองไปแขวนหน้าประตูอีกแล้ว พี่เลห์ไม่อยากให้เสียของเลยมาห้ามผม
หรือจริง ๆ แล้วพี่เลห์พยายามจะบอกผมเป็นนัย ๆ ว่าพี่เลห์ไม่ชอบน้ำเต้าหู้ แต่ผมดันไม่เข้าใจ
เหมือนพี่เลห์จะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร เขาเลยมองหน้าผม แต่ก็ยังนิ่งขรึมอยู่ดี
“พี่เลห์...” ผมพึมพำเรียกชื่อพี่เลห์เบา ๆ ทว่าเจ้าตัวกลับลุกขึ้นหนีไปจากกลุ่ม ไม่ใช่แค่ผมที่งุนงงสงสัย เพื่อน ๆ เขาก็ดูท่าสงสัยเช่นเดียวกัน
“พี่เลห์ไม่กินน้ำเต้าหู้จริง ๆ เหรอครับ” ผมตัดสินใจหันไปถามพี่ ๆ
“ใช่...ตั้งแต่เข้ามหา’ลัย มันก็ไม่กินอีกเลย” พี่วินเลจตอบ
“แสดงว่าก่อนหน้านั้นพี่เลห์กินเหรอครับ”
“ก็กินอยู่นะ พวกพี่เคยไปนั่งกินปาท่องโก๋เช้า ๆ มันยังสั่งน้ำเต้าหู้มากินอยู่เลย แต่พอเข้ามหา’ลัย มันแทบไม่แตะ” พี่เจโฮพเอ่ยเสริม
“พี่เลห์แพ้น้ำเต้าหู้หรือเปล่าครับ”
“ไม่น่านะ ตอนม.ปลายก็กินอยู่ตลอด ไม่เห็นเป็นไร” พี่เจโฮพตอบอีกครั้ง
“แล้วทำไม...ถึงไม่กินซะล่ะครับ”
“อันนี้พวกพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อยากรู้ นายก็ไปถามมันเองสิ” พี่เยวาแนะด้วยรอยยิ้ม ๆ ตรงมุมปาก เขาเป็นคนที่ดูจะมีลับลมคมในมากที่สุดแล้วในกลุ่มเวลามองมาที่ผม
ผมคิดแต่เรื่องพี่เลห์ไม่กินน้ำเต้าหู้อยู่ทั้งวัน คิดเยอะจนเลยเถิดไปว่า การที่คนเราจะเลิกทำอะไร เลิกไปที่ไหน เลิกกินอะไรสักอย่างได้นั้น อาจจะเป็นเพราะเคยมีความทรงจำกับของเหล่านั้นร่วมกับคนสำคัญสักคน และมันกลายเป็นอดีตที่อยากลืมไปซะ
ทำไมใจผมมันวูบลงเมื่อคิดว่าพี่เลห์เคยมีคนรักมาก่อนและตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืม แต่ถึงผมจะรู้สึกแย่ลงแค่ไหน แต่ผมกลับไม่รู้สึกย่อท้อสักนิด ถ้าพี่เลห์เคยมีคนรักจริง ๆ ตอนนี้มันก็กลายเป็นแค่อดีตและผมคือปัจจุบันต่างหาก เท่าที่ผมสังเกต พี่เลห์ก็ไม่ได้มีแฟน และถ้าผมจะยังเดินหน้าจีบต่อไป มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรและไม่ผิดอะไรด้วย
ผมจะเดินหน้าจีบพี่เลห์ต่อ...เพิ่มเติมก็แค่ต้องรู้ให้ได้ว่าพี่เลห์เอาน้ำเต้าหู้ของผมที่แขวนไว้ให้ทุกเช้าไปทิ้งหรือเปล่าเท่านั้น
ผมกลับห้องมาในตอนเย็น มานั่งแหมะตรงโซฟาห้องตัวเองอย่างเหม่อ ๆ ในหัวยังมีแต่เรื่องพี่เลห์ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของผมตอนนี้มันคืออะไร ใจจริงผมอยากถามพี่เลห์มาก ๆ ว่าน้ำเต้าหู้ของผมลงท้องพี่เลห์บ้างหรือเปล่า แต่อีกใจ...ก็ดันกลัวคำตอบเหลือเกิน
แต่คิดดูเอาเถิดว่าความกลัวกับความอยากรู้อะไรมีมากกว่ากันในเมื่อตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าห้องพี่เลห์เรียบร้อยแล้ว
ผมเคาะประตูห้อง และรอคอย ประมาณเกือบสามสิบวินาทีกว่าพี่เลห์จะมาเปิดประตู ท่าทางพี่เขาไม่อยากต้อนรับผมเลยสักนิด
“เมื่อไหร่จะเลิก...” พี่เลห์เอ่ยไม่ทันจบ ผมก็สวนขึ้นมาขัดก่อนว่า
“น้ำเต้าหู้ที่ผมซื้อมาแขวนให้ทุกเช้าพี่เอาไปไหนครับ”
“...” พี่เลห์เงียบ มองหน้าผมนื่ง ผมจะทำยังไงให้ปากพี่เลห์ไม่หนักอย่างทุกวันนี้ดี
“พี่เอาไปทิ้งใช่มั้ยครับ”
“ไม่จำเป็นต้องรู้” ตอบ แต่ไม่เคลียร์ใจผมเลย
“พี่เลห์...ของผมซื้อให้นะครับ ผมมีสิทธิ์จะรู้ว่าพี่เลห์กินหรือไม่กิน”
“มึงซื้อให้กูแล้ว มึงจะมาทวงถามอะไร”
“แต่พี่ไม่ได้ชอบน้ำเต้าหู เพื่อน ๆ พี่บอกว่าพี่ไม่แตะต้องมันเลยตั้งแต่เริ่มเข้ามหา’ลัย”
“กลับไปซะ...” พี่เลห์ตั้งท่าจะหนีผมอีกแล้ว แต่ผมไม่ยอมหรอก ผมอยากรู้ให้ได้ว่าพี่เลห์ทิ้งมันจริงหรือเปล่า
“ไม่ครับ!...แค่บอกผม ว่ากินหรือทิ้ง”
“สำคัญอะไร?” พี่เลห์ย้อนถาม จนทำให้ผมกลับมาย้อนถามตัวเองในใจเหมือนกัน อาจจะเพราะผมคิดนานเกินไป พี่เลห์เลยถอยเข้าไปในห้อง ตั้งท่าจะปิดประตู ทว่าผมไวกว่าพยายามแทรกตัวเข้าไปบัง แต่ก็ทันแค่นิ้วมือตัวเองเกาะขอบวงกบเอาไว้
และ ปึ้ง!
“โอ๊ย!” ผมร้องลั่น เมื่อประตูงับโดนนิ้วมือผมทั้งสี่นิ้ว จังหวะที่รู้สึกว่าปิดประตูโดนนิ้วผม พี่เลห์ก็ง้างประตูออกอย่างรวดเร็วและปรี่เข้ามาดูนิ้วมือผมม
“ทำอะไรของมึง!” เขาตวาดผมเสียงดุ ถลึงตามองกันราวกับจะฆ่าจะแกง
ผมเจ็บอยู่นะพี่ ทำไมต้องมาทำหน้าน่ากลัวใส่กันอีก แค่นี้ใจก็แห้วมากพอแล้ว ผมยู่หน้าเพราะความเจ็บ ดึงมือตัวเองกลับมากุมเอาไว้ ก้มมองอย่างพูดอะไรไม่ออก ซึ่งพูดไม่ออกจริง ๆ เพราะเจ็บมาก
“มานี่!” พี่เลห์ไม่พูดอะไรมากนอกจากฉวยแขนข้างที่มือของผมปกติดึงรั้งเข้าไปในห้องเขา
ผมพูดอะไรไม่ออก เถียงก็ไม่ได้ ได้แต่เดินตามแรงลากของเขาไป
พี่เลห์ผลักผมนั่งลงบนโซฟาไม่เบาเลย แต่เขาก็ใส่ใจไม่ผลักจนผมล้มทับนิ้วมือตัวเอง ผมเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าเหยเก รู้สึกผิดปนรู้สึกเจ็บ ตอนนี้มันตีรวนกันไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองทำให้พี่เลห์เดือดร้อนอยู่ยังไงก็ไม่รู้
พี่เลห์มองหน้าผมด้วยแววตาเข้มขรึมเพียงครู่ก่อนจะเดินหายไปทางด้านหลัง โดยที่ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน ทว่าไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ พี่เลห์ก็ออกมาพร้อมประคบเย็นและกล่องปฐมพยาบาลเล็ก ๆ ติดมือมาด้วย
วินาทีแรกที่ผมได้เห็นภาพพี่เลห์ถือของพวกนี้มา ใจผมนี่เหลวเป็นน้ำเลย
พี่เลห์แม่ง! จะทำให้ผมคลั่งพี่ไปถึงไหน
แต่บอกตามตรงว่าต่อให้เขาไล่ผมให้ไปทำแผลเองที่ห้อง ผมก็ไม่โกรธเขาอยู่ดีที่ไม่แยแสอะไรผมเลย หนำซ้ำวันต่อมาก็ยังจะมาเคาะประตูห้องถามว่าพี่กินน้ำเต้าหู้ของผมมั้ยอยู่ดี
พี่เลห์นั่งลงข้าง ๆ ผม สีหน้าสวนทางกับการกระทำลิบลับ ดูหน้าก็รู้ว่าไม่ได้เต็มใจทำให้ผม อันนี้น่าจะเป็นสมองที่สั่งพี่เลห์ให้ตีหน้ารำคาญ แต่ใจพี่เลห์คงทนไม่ได้ที่เห็นผมเจ็บ และมาเจ็บเพราะการปิดประตูไล่ของพี่ด้วย ใจพี่เลห์มีคุณธรรมมากพอที่จะสามารถขัดใจสมองได้ มันเลยกลายเป็นว่าพี่เลห์ต้องอดทนกับความขัดใจตัวเองแล้วใช้เจลประคบเย็นประคบตรงนิ้วมือให้ผม
“ประคบเอง...มืออีกข้างไม่ได้เดี้ยง” ประคบให้ผมอยู่ไม่เกินสิบวินาที พี่เลห์ก็ปล่อยประคบให้ผมจับเองด้วยมืออีกข้าง ผมยิ้มให้เขา
“ขอบคุณนะครับ...จริง ๆ พี่ก็ใจดีเหมือนกันนี่ครับ”
“กูไม่อยากเก็บความรู้สึกผิดไว้กับตัว กูไม่ได้ใจดีกับมึง และกูจะบอกให้มึงฟังชัด ๆ อีกที กู...ไม่ใช่คนดีที่มึงควรมาชอบ”
ยิ่งพี่เลห์พูดแบบนี้ ผมยิ่งชอบ สัญชาตญาณของผมกำลังบอกตัวเองว่า พี่เลห์แค่กำลังปกปิดส่วนอ่อนแอของตัวเองเอาไว้ แล้วเผยแต่ด้านร้าย ๆ ให้ผมเห็น มันยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากเข้าไปค้นหาด้านอ่อนโยนของพี่เลห์มากขึ้นทุกวัน
พี่เลห์ไม่รู้หรอก ว่าพี่เลห์ยิ่งร้าย มันยิ่งกระตุ้นให้ผมมีแรงฮึดสู้มากแค่ไหน
“ผมชอบไปแล้ว กลับใจยังไงทันล่ะครับ”
“...” พี่เลห์ทำตาขึงขวางใส่ผม มองนิ่งอย่างกับจะกัดแทะกัน
แต่ผมยอมถวายตัวเลยอ่ะ ถ้าพี่เลห์จะกัดกินผม
“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยทำแผลให้ผม”
“กลับไปดูแลตัวเองที่ห้องมึงซะไป” พี่เลห์เอ่ยปากไล่ แต่มีเหรอที่ผมจะฟัง โอกาสทองที่ได้เข้าห้องพี่เลห์แบบนี้มีบ่อยซะที่ไหน ให้ดีผมก็อยากนอนซะที่นี่เลยด้วยซ้ำ
“ผมอยากดูทีวี” ผมจะไม่เร่งเร้าถามเรื่องน้ำเต้าหู้ก่อนละกัน เพื่อยื้อเวลาได้อยู่ห้องพี่เลห์ไปอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง อีกอย่างผมมั่นใจว่าพี่เลห์ยังไม่อยากรุนแรงกับคนเจ็บอย่างผมอยู่หรอก
“...” พี่เลห์ไม่ตอบอะไรผม เขาถอนหายใจใส่ผมเฮือกหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องเลย
ทิ้งผมให้อ้าปากค้างเรียกรั้งเขาไว้ไม่ทัน เมื่อไม่สามารถส่งเสียงเรียกเขาได้ ผมก็หุบปากฉับ และหันไปสนใจทีวีในห้อง พี่เลห์ปล่อยผมอยู่คนเดียวในห้องแบบนี้โดยไม่ระแวงว่าผมจะหยิบของมีค่าของพี่ออกไปจากห้องเลยสักนิด
แสดงว่าอย่างน้อยก็เชื่อใจผม
ผมบอกว่าอยากดูทีวีก็อยากดูทีวีจริง ๆ เพราะผมถือวิสาสะหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดูซีรีย์ฆ่าเวลาเลยทันที ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับพี่เลห์ แต่ได้อยู่ในห้องเขาก็ถือเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ๆ แล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ที่ผมถือวิสาสะนอนดูทีวีเล่นในห้องพี่เลห์ รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนกับว่าสติจะเริ่มหาย คล้ายผมกำลังสะลึมสะลือง่วงงุน จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ แต่ในท้ายที่สุดภาพในห้องก็ค่อย ๆ วูบหายไปจากสติผม ทว่าก่อนที่ผมจะหลับไปนั้นผมเหลือบไปเห็นพี่เลห์กลับเข้ามาในห้องแล้ว พร้อมกับในมือถือถุงหิ้วของกินบางอย่างมาด้วย
แต่ผมก็หลับไปซะ ก่อนที่จะได้หันไปดูเต็ม ๆ ตาว่าพี่เลห์ซื้ออะไรมา
ผมสะลึมสะลือตื่นมาในเวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คือพี่เลห์เป็นคนปลุกผม กว่าผมจะลุกขึ้นมาจับสังเกตได้ว่าพี่เลห์ใช้อะไรปลุกผมก็กินเวลาหลายวินาที
พี่เลห์ถือหมอนอิงใบหนึ่งมาแตะ ๆ ใบหน้าผม พร้อมกับเรียก มึง ไปด้วย
“พี่เลห์...” ตื่นมาก็เรียกชื่อเขาก่อนเลย พยายามยันตัวลุกขึ้นโดยลืมไปว่านิ้วตัวเองเจ็บอยู่ “โอ๊ะ!” สะดุ้งเล็กน้อยที่เผลอใช้มือข้างที่เจ็บยันตัวลุกขึ้น
“มีสติหน่อย” พี่เลห์ว่าผมเสียงดุ ยืนอยู่หลังโซฟา ก้มหน้าลงมามองผม
“มีสติได้ไง ผมเพิ่งตื่นนี่ครับ” ผมพูดออกไปเสียงแหบเบาเพราะเพิ่งตื่น ยันตัวลุกขึ้นนั่งหันข้างให้พนักโซฟาเงยหน้ามองพี่เลห์
“มึงกินข้าวกินยาก่อน จะหลับไปทั้งคืนไม่ได้” เขาว่า
แต่แม่ง! ผมอึ้งไปเลย ผมแทบอยากร้อง ห้ะ! แล้วถามพี่เลห์ใหม่อีกรอบว่าพี่พูดว่าอะไร
พี่เลห์...ใส่ใจอาการเจ็บของผมมากเลยว่ะ นี่ขนาดไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่พี่เลห์แม่ง ทำไมใจดีขนาดนี้วะ แล้วผมจะหยุดรักพี่ยังไง
ผมหยุดรักไม่ได้แน่ ๆ อ่ะ
“ทำไมต้องกินยาล่ะครับ” ผมไม่ได้กวนเท้า หรือเรียกร้องความสนใจอะไรจริง ๆ นะครับ ปกติเวลาเจ็บตรงไหน ผมก็แค่รักษาทายาไปตามอาการ ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรลงไปในกระเพาะเลย
“...” พี่เลห์ทำตาดุใส่มาให้ก่อน ก่อนจะพูดว่า “แก้ปวด แผลจะได้หายเร็ว”
ผมยู่ปากใส่พี่เลห์ ต่อให้อยู่กับคนที่ผมชอบมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังเอาแต่ใจได้อยู่นะครับ เพราะผมไม่ได้คิดจะเอาใจเขา ทุกอย่างที่ทำคือเอาแต่ใจตัวเองล้วน ๆ ที่รักพี่เลห์ทำอะไรให้พี่เลห์ก็เอาแต่ใจตัวเองทั้งนั้นแหละ
“ขามึงไม่ได้หัก ลุกไปกินข้าว วางอยู่บนโต๊ะ” พี่เลห์บุ้ยใบ้ศีรษะเพียงนิดให้ผมมองไปทางโต๊ะที่วางถ้วยซึ่งบรรจุอาหารบางอย่างอยู่
อีกแล้ว...พี่เลห์ทำให้ผมอึ้งอีกรอบแล้ว พี่เลห์ซื้อข้าวมาให้ผมอ่ะ โธ่! น้ำตาผมจะไหลจริง ๆ โคตรซาบซึ้ง ผมซาบซึ้งจนเผลอมองหน้าพี่เลห์นิ่งนาน กระทั่งรู้ตัวว่าเหม่อไปแล้วก็ตอนที่พี่เลห์หมุนตัวเดินไปทำธุระส่วนตัวของเขา
ผมเลยลงจากโซฟาและเดินไปนั่งที่โต๊ะ ตรงหน้ามีถ้วยใส่ข้าวต้มวางอยู่
ผมเผลอแย้มยิ้มให้ถ้วยข้าวต้ม อดที่จะเก็บความทรงจำนี้ไว้ด้วยการถ่ายรูปไม่ได้ เลยหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพถ้วยข้าวต้มไปเกือบสิบภาพ กันไว้เผื่อรูปเบลอ ไม่ก็เผื่อหาย
“มึงจะแดกหรือมึงจะถ่ายรูป เลือกสักอย่าง” เสียงดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยจากด้านหลัง ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก เกือบทำมือถือหล่นลงในถ้วยข้าวต้ม หันหลังไปมองคนหล่อแต่ตาดุด้วยสีหน้าตกใจนิด ๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนโหมดเป็นยิ้มกว้างให้เขาทันที
“เก็บรูปแปบเดียวเองพี่เลห์ ข้าวต้มถ้วยนี้พี่ซื้อมาให้ผมเลยนะ ผมต้องเก็บความทรงจำนี้ไว้สิ”
“ใครว่ากูซื้อให้ฟรี สี่สิบบาทคืนกูด้วย” เขาบอกนิ่ง ๆ หน้าตาเหมือนทวงเงินจริงจัง
“ทีผมซื้อน้ำเต้าหู้กับน้ำชาเขียวน้ำผึ้งมะนาวมาให้ทุกเช้า ผมไม่เห็นทวงตังค์พี่เลย”
“กูไม่ได้ขอให้มึงซื้อให้”
“นี่ผมก็ไม่ได้ขอนะครับ” สวนกลับไปพร้อมยิ้มแป้น
“แต่มึงจำเป็นต้องกิน เพราะมึงต้องกินยา” พี่แม่งเถียงกลับมาแบบ ทำผมพูดไม่ออกอ่ะ นี่คือเป็นห่วงกันใช่มั้ยวะครับ
“พี่เป็นห่วงผมเหรอ”
“คำไหนที่กูพูด”
“คำพูดไม่ใช่ แต่ใจมันสื่อนะคร้าบบบ”
“จะแดกหรือจะแหกปาก เลือก!” พี่เลห์ส่งสายตาเขียวปั๊ดมาให้ผมทันทีที่ผมกวนประสาทพี่มันไป ทว่าผมทำได้เพียงหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนจะหันไปสนใจถ้วยข้าวต้ม และลงมือตักเข้าปาก
ไม่นานมากนักที่ข้าวต้มเข้าปากผมจนหมด ส่วนพี่เลห์ไปนั่งดูทีวีตรงที่ที่ผมเพิ่งลุกมาก่อนมานั่งกินข้าว ผมชะเง้อคอมองดูรายการที่พี่มันเปิด
ช่อง MONO 29 เป็นภาพยนตร์ทั้งช่อง หรือพี่เลห์ชอบดูหนัง
อ๊ะ! อ๊ะ! อ๋า! ผมคิดแผนการบางอย่างออกอีกแล้ว
ผมต้องหาทางชวนพี่เลห์ไปดูหนังให้ได้
แน่นอนว่าถ้าชวนตรง ๆ ไม่ไปหรอก มันต้องหาทางหลอกล่อไป แค่คิดว่าจะใช้แผนอะไรชวนพี่เลห์ไปดูหนังผมก็รู้สึกสนุกแล้วครับ คนอย่างพี่เลห์เนี่ย ถ้าไม่ตามตื๊อรับรองว่าไม่มีทางได้ใกล้ชิด ไม่มีทางผูกพัน ไม่รู้ว่าพวกเพื่อน ๆ พี่เลห์นี่ทำบุญด้วยอะไรถึงได้ผูกพันเป็นเพื่อนกันได้แบบนั้น
ผมได้รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วเผลอยิ้มก็ตอนที่รู้สึกว่ารอยยิ้มของตัวเองหุบลงแล้วก้มลงมองยาพาราเซตามอลที่วางอยู่ข้างถ้วยข้าวต้ม พี่เลห์นำมันมาวางไว้ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปนั่งดูทีวี แม้แต่ยาก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบตรงหัวใจได้ขนาดนี้ บอกตรง ๆ ว่านึกอยากป่วยบ่อย ๆ จังเลย พี่เลห์จะได้ดูแลกันแบบนี้อีก
“กินยายัง” เสียงถามดังขึ้นขณะที่ผมเดินเอาถ้วยไปเก็บที่ห้องครัว ผมจำต้องหันมามองคนถามเพื่อตอบคำถามด้วยรอยยิ้มกว้าง
“กินแล้วครับ” ตอบเสร็จก็ยิ้มแฉ่งให้พี่มัน ก่อนจะได้รับสายตาเอือมระอากลับมาให้ก่อนจะตวัดกลับไปมองทีวีต่อ
จะว่าไป ตอนนี้เราสองคนคล้ายจะเป็นคู่ชีวิตที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลยก็ไม่ปาน
งื้มมมม นี่ผมจินตนาการไปถึงไหน
“พี่เลห์ครับ...” ผมเดินเข้าไปหาเขาหลังออกมาจากครัว พี่เลห์ช้อนตาขึ้นมามองผมที่กำลังยืนอยู่ “ตกลง...พี่จะตอบคำถามผมได้ยัง”
ผมไม่ลืมหรอกนะ ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมได้เข้ามาอยู่ในห้องพี่เลห์แบบนี้ เพราะเรื่องน้ำเต้าหู้น่ะ
“...” พี่เลห์ตวัดสายตากลับไปมองทีวี หน้าตาไม่สนใจไยดีผมเลย
“พี่เลห์ เอาน้ำเต้าหู้ที่ผมซื้อให้ไปทิ้งหรือเปล่าครับ”
“มึงอย่าซื้อมาอีก”
“พี่แม่งตอบไม่ตรงคำถามอ่ะ”
พี่เลห์ตวัดสายตามามองผมอย่างดุ ๆ ทำไมจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนประกายตาให้วาววับได้เร็วขนาดนี้ หรือผมพูดหยาบใส่พี่มันไป เลยทำให้ไม่พอใจ
“โถ่! พี่เลห์ แค่ตอบว่ากินหรือไม่กิน มันยากตรงไหนครับ”
“มันไม่ยาก แต่กูไม่จำเป็นต้องตอบ”
“แต่ผมอยากรู้”
“เพราะมึงขี้เสือก” แล้วทีพี่ยังพูดไม่เพราะใส่ผมได้เลย โลกนี้ไม่ยุติธรรม แล้วเห็นมั้ยว่าผมไม่ทำตาดุใส่พี่เลย มีแต่ทำตาหวานใส่อ่ะ
“ผมก็เสือกแต่เรื่องพี่”
“แล้วเมื่อไหร่จะหยุดเสือก” พี่เลห์พูดนิ่ง ๆ ทำเพียงช้อนตาขึ้นมองผม แต่ท่าทางและสีหน้าสามารถทำให้ผมเกรงเขาได้ โคตรเก่ง
“ไม่รู้” ผมตอบห้วน ๆ ไป ไม่ได้โกรธอะไร แค่ดื้อจะเอาความจริงเท่านั้น
“...” พี่เลห์ถอนหายใจอีกแล้วหันไปจดจ่อกับทีวีดังเดิม ด้วยความดื้อของตัวเองที่คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมากล้ากับคนที่ได้ชื่อว่าไม่มีหัวใจแล้วแบบพี่เลห์ โดยการย้ายตัวเองไปยืนบังจอทีวีเสียสนิท และจังหวะนั้นเองที่สายตาพี่เลห์ก็ค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองหน้าผม แทนการมองร่างของผมที่บดบังโทรทัศน์ของเขา
“ผมจะไม่กลับห้อง ถ้าพี่ไม่ยอมบอกผม”
“มึงแน่ใจนะว่าจะเอาแบบนี้” คำถามฟังดูมีรังสีอำมหิตซ่อนอยู่ในที ถึงมันจะทำให้ผมหวั่น ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ แต่ผมคิดว่าพี่เลห์ไม่ทำอะไรหรอก นอกเสียจากจับผมหิ้วไปทิ้งไว้นอกห้อง ซึ่งบอกเลยผมไม่กลัว
“พี่ตอบผมหน่อยสิ ว่าพี่กินน้ำเต้าหู้ผมหรือเปล่า...” พี่เลห์จ้องผมนิ่ง ราวกับกำลังสะกดจิตให้ผมย้ายร่างไปจากหน้าจอทีวีของเขา “เอางี้ ไม่ว่าคำตอบพี่จะเป็นยังไง ผมจะไม่ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้พี่กินอีก สัญญาเลย”
“มึงไม่จำเป็นต้องรู้” พี่เลห์ยังคงตอบคำเดิม
“โถ่! พี่เลห์…”
“มึงสัญญาแล้ว...” พี่เลห์ตัดบทผมด้วยการทวงสัญญา แต่สัญญาอะไรของพี่ล่ะ ผมขมวดคิ้วมุ่นส่งไปให้เขา จู่ ๆ เขาก็หาว่าผมให้สัญญาแล้ว ผมไปสัญญาอะไรที่ไหน
“ห้ะ! สัญญาอะไรครับ”
“ต่อไปนี้ กูจะต้องไม่เห็นน้ำเต้าหู้ของมึงอีก”
“เห้ย! พี่ ผมยังไม่ได้…” ผมพูดแค่นั้นก็ชะงักค้างไปทันที เพราะสมองอันหลักแหลมของตัวเองดันย้อนนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ได้ขึ้นมา เอางี้ ไม่ว่าคำตอบพี่จะเป็นยังไง ผมจะไม่ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้พี่กินอีก สัญญาเลย
ชิบหายแล้วไง! ผมพูดอะไรไม่เคลียร์และมันเหมารวมไปทุกคำตอบเลย
ไม่ว่าคำตอบพี่จะเป็นยังไง
ไม่ว่าคำตอบพี่จะเป็นยังไง
ไม่ว่าคำตอบพี่จะเป็นยังไง
และมันเหมารวมคำตอบที่ว่า มึงไม่จำเป็นต้องรู้ ด้วยน่ะสิ
โอ๊ย!!! พลาดท่าให้พี่เลห์จนได้
แต่คิดเหรอว่าผมจะยอม!
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะสวนไปว่า “ผมไม่ใช่คนดี ผมเป็นโจร มันไม่มีสัจจะในหมู่โจรครับ”
พี่เลห์จ้องหน้าผมนิ่ง ถ้าพี่มันเป็นพิทบูลผมว่าป่านนี้เนื้อหนังผมคงไปอยู่ในปากพี่มันละ
“ถ้าพี่ไม่ตอบผม คราวนี้ผมเอาจริงนะ!” ผมขู่ไป ในใจคิดจะขึ้นคร่อมพี่มันจริง ๆ อ่ะ ทั้งมันเขี้ยว ทั้งหงุดหงิดเลยตอนนี้
“จะทำอะไร” ปกติคนที่โดนขู่ แล้วถามแบบนี้กลับมา สีหน้า แววตาและน้ำเสียงจะบ่งบอกถึงอาการหวาดกลัว ทว่าไม่ใช่พี่เลห์ของผม คำถามของเขาเหมือนจะขู่ผมกลับมากกว่า ภายใต้คำถามว่า ‘จะทำอะไร’ จริง ๆ แล้วควรจะหมายความว่า ‘มึงแน่ใจนะว่ามึงคิดจะทำอะไรคนอย่างกู’ มากกว่า
ทว่าผมกลับไม่รีรอ พุ่งเข้าไปถือวิสาสะนั่งครอมบนตักพี่มัน หันหน้าเข้าหาเขา สองมือโผเข้าคล้องคอเอาไว้แกมล็อคให้อยู่นิ่ง ๆ ตาพี่เลห์เบิกกว้างเพียงครู่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นถลึงใส่หน้าผม
บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ผมกลัวสายตาพี่เลห์มาก ที่ผ่านมาเคยมองเหมือนจะฆ่าแกงกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น สายตาเขาเหมือนกำลังจะบอกว่า ผมจะไม่มีชีวิตรอดอีกแล้ว นับแต่วินาทีนี้ต่อไป
แงงง เอาจริง ๆ ผมกลับมาคิดได้ตอนที่สายไปแล้วว่า กูทำอะไรลงปายยยย พี่เลห์เอาผมตายแน่
แต่ The show must go on!
ใช่เหรอวะ นี่มันไม่ใช่ The show มันคือ The shark! พี่เลห์คือฉลามตัวเขื่องดี ๆ นี่เอง
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจฮึดสู้ขึ้นมา
“บอกมาพี่เลห์ ไม่งั้นผมจะจับพี่จูบจริง ๆ ด้วย” เป็นไงล่า ผมพูดจริงทำจริงนะเออ พี่เลห์ต้องกลัวผมจูบแน่ ๆ เพราะเขาโคตรรำคาญและไม่อยากมองแม้แต่หน้าผมอยู่ตลอดเวลา
“กูให้โอกาสมึงนะ...ลงไป!” ไม่ได้ตวาดเลยครับ แต่น้ำเสียงเยียบเย็นมาก ยิ่งฟังอยู่ใกล้ ๆ ริมฝีปากเขาแบบนี้ นอกจากผีแล้ว พี่เลห์นี่แหละที่ทำให้ผมขนลุกชันได้เลย
“...” ผมเงียบไปอึดใจ กำลังลังเลว่าควรทำไงต่อไปดี จะเดินหน้าดื้อต่อ หรือจะลงไปตามคำขู่
และผมเลือกอย่างแรกครับ เอาให้สุดสิวะ อยากรู้เหมือนกันว่าเวลาพี่เลห์โกรธมาก ๆ จะเป็นยังไง
“ผมก็ให้โอกาสพี่นะ...บอกมา ไม่งั้นผมจูบจริง ๆ...ผมไม่ขู่นะ ผมทำจริง” แต่เสียงกูเหมือนแมวมาก
พี่เลห์จ้องหน้าผมนิ่ง ไม่มีคำตอบใด ๆ เล็ดลอดออกมา โอเคในเมื่อเลือกแบบนี้ ผมก็จะจัดให้
ผมโน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปากตัวเองลงบนปากได้รูปของคนตัวสูงกว่าทันทีโดยไม่ให้ทันตั้งตัว ผมจูบจริงแบบดูดปากพี่เลห์เอาไว้เลย และพี่เลห์ก็นั่งนิ่งไม่ผลักไสผมออกไปด้วย ผมเผลอมองตาพี่เลห์แล้วเห็นว่าประกายตาเขาแฝงไปด้วยรังสีอำมหิตอีกแล้ว ด้วยความกลัวผมเลยหลับตาลงและบดจูบพี่มันอีกแต่ไม่สอดลิ้นเข้าไป
จังหวะที่ผมกำลังหลับตาท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ ในใจอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ว่ามือหนากดท้ายทอยผมรั้งเข้าไปให้แนบชิดริมฝีปากเขามากขึ้นอีก ด้วยความตกใจผมเลยลืมตาขึ้น สองมือที่ตอนแรกคล้องคอพี่เลห์ กลับยกมายันอกเขาโดยอัตโนมัติเพื่อผลักไส ทว่าแรงพี่เลห์เยอะกว่าผม เขากดท้ายทอยผมอีก และเปลี่ยนเป็นฝ่ายดูดกลืนริมฝีปากผมแทน ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบที่พี่เลห์จูบ แต่นี่ไม่ใช่แบบที่ผมอยากได้ พี่เลห์จูบผมเพราะโกรธ ไม่ได้จูบเพราะพิศวาส รับรู้ได้จากความรุนแรงที่ดูดกลืนอีกทั้งยังเปิดปากผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นผมเอาไว้ด้วย แล้วพี่แม่งไม่ปล่อยให้ผมได้หายใจหายคอเลยสักนิด พี่จูบเหมือนสูบวิญญาณอ่ะ ไม่พอยังขบกัดริมฝีปากผมให้ได้กลิ่นคาวเลือดกันอีก วินาทีนั้นผมสะดุ้งเฮือก พยายามดันอกพี่เลห์ออกสุดแรง ทว่าพี่เลห์กลับใช้มืออีกข้างรัดเอวผมเอาไว้แล้วดึงเข้าไปแนบชิด
แน่นซะจน ผมแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว!
ตอนนี้อยากได้อากาศหายใจมาก ๆ เมื่อไหร่พี่เลห์จะหยุดจูบผมมม
ผมเข้าใจแล้ว ที่พี่เลห์บอกว่า กูให้โอกาสมึงนะ... ผมขอโอกาสอีกครั้งได้มั้ยครับ แงงงง
เนิ่นนานกี่นาทีไม่รู้ที่พี่เลห์ไม่ปล่อย พี่เลห์โคตรใจร้ายเลย ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด ไม่มีจริง ๆ เป็นจูบที่ก้าวร้าวมาก แถมตอนที่ผละออกก็ผละออกดื้อ ๆ ไม่มีอ้อยอิ่งแบบในหนังเลยสักนิด น้ำตาผมแทบร่วง
ผมแม่งต้องรีบกอบโกยอากาศเข้าปอดพอได้โอกาส รับรู้ได้เลยว่าปากผมบวมเป่งแน่ ๆ เพราะมันรู้สึกได้ว่าชาดิก นึกถึงปากพระเอกในละครเรื่องหนึ่งที่โดนงูกัดจนปากเจ่อเหมือนคนที่เพิ่งไปฉีดโบท๊อกซ์มาเลย พอหุบปากกลืนน้ำลายลงคอก็แม่งเจ็บปากอีก พี่เลห์กัดไปสองครั้งอ่ะเมื่อกี๊ กัดจริงจังด้วย
“กูดูด...หมดถุง แบบที่ดูดปากมึง...” จู่ ๆ พี่เลห์ก็โพล่งออกมาเสียงเข้ม “มึงพอใจยัง” น
แล้วเขาผลักผมให้ลุกออกจากตัก ก่อนจะจับแขนข้างที่ไม่ได้โดนประตูหนีบของผมลากออกไปนอกห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าดังโครม
พี่เลห์ทิ้งผมให้มึนงงกับคำพูดพี่มันอีกแล้วววว
ดูดหมดถุงนี่หมายถึง น้ำเต้าหู้ใช่มั้ย?? แล้วทำไมไม่ตอบคำถามผมดี ๆ ทำไมต้องทำกับปากผมขนาดนี้ก่อนจะตอบคำถามด้วยเล่า!
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว