‘เธอเสียเลือดมาก หากทำการรักษาช้ากว่านี้เธออาจจะช็อกและเสียชีวิตได้ ยังดีที่คุณโคลด์ได้แจ้งล่วงหน้าทางเราจึงได้เตรียมเลือดสำรองจากโรงพยาบาลมา ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยคงแย่’
‘เธอเสียเลือดเพราะอะไรหมอ’
‘จากการตรวจดูคร่าวๆ พบรอยถูกกัด รอยข่วน รวมถึงรอยฟกช้ำดำเขียวตามร่างกายเต็มไปหมดทั้งแขนและขา แต่บาดแผลที่ทำให้เธอเสียเลือดมากก็คือรอยกัดบริเวณลำคอ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากรอยเขี้ยวของสัตว์ แต่จะเป็นสัตว์ชนิดไหนนั้นหมอก็ไม่สามารถระบุได้’
สัตว์หรอ... หึ จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คือผม! ใช่แล้ว... ในที่สุดผมก็นึกออก ผมเป็นคนทำเองทุกอย่าง ทั้งรอยกัดรอยข่วนที่อยู่บนตัวเธอทั้งหมด... ฝีมือผมทั้งนั้น
ยิ่งได้ฟังผลการตรวจจากคุณหมอ ความทรงจำเมื่อคืนก็ยิ่งฉายชัดอยู่ในหัวสมอง เมื่อวานผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นจน
‘โยเกิร์ต’ ขับรถผ่านมาแล้วช่วยผมไว้ หลังจากนั้นความทรงจำของผมก็เริ่มเลือนรางเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น
แต่ผมก็ยังพอจำได้... กลิ่นเลือดของเธอที่โชยออกมาทำให้ผมยิ่งนึกเรื่องราวที่เหมือนกับฝันร้ายเมื่อคืนนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เลือดอุ่นๆ ที่หอมหวานจนผมไม่อาจละริมฝีปากให้ออกห่างจากลำคอของเธอได้ กลิ่นหอมเย้ายวนที่ดึงดูดให้ผมอยากจะกอดรัดร่างบางจนกระดูกหักแล้วขบกัดจนกว่าจะพอใจ
นี่ผมกลายเป็นตัวอะไร...สัตว์ประหลาดหรอ
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงที่ผมนั่งจ้องหน้าเธอแบบนี้ ใบหน้ารูปไข่ที่เคยมีเลือดฝาดตรงแก้มตอนนี้ยังคงดูซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง ดวงตาคู่สวยยังคงถูกปิดทับด้วยแพขนตาหนา แต่ทว่าก็ไม่อาจทำให้เธอคนนี้ดูสวยน้อยลงได้เลย เธอสวย... แบบหาตัวจับได้ยาก
และผมก็คงเหมือนกับผู้ชายหลายๆ คนที่หลงเสน่ห์รูปลักษณ์ภายนอกของเธอ
จริงๆ แล้วผมเคยเห็นเธอเข้าออกคอนโดแห่งนี้อยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน ก็เธอสวยสะดุดตาขนาดนี้... ไม่เห็นก็บ้าแล้ว ผมจำได้ว่าเธอย้ายเข้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว ทำไมผมถึงรู้น่ะหรอ... ก็ผมเป็นเจ้าของคอนโดแห่งนี้ยังไงล่ะ
ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ‘โยเกิร์ต’ อายุยี่สิบสองปี เธอเรียนควบคู่กับการมีอาชีพเป็นนางแบบที่ถ่ายแบบลงตามนิตยสารวัยรุ่นทั่วไป ไม่อยากจะบอกว่าผมมีครบทุกเล่มที่มีภาพของเธอจนเพื่อนๆ ยังหาว่าผมบ้า ผิดตรงไหนที่ผมจะหลงใหลเธอ ซึ่งก็เหมือนคนทั่วไปที่มักจะมีดาราคนโปรดในดวงใจ ของผมก็แค่มีเธอเป็นนางแบบในดวงใจเท่านั้นเอง แล้วมันแปลกตรงไหนวะ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใช่แค่นั้น...
ตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาดูเหมือนว่าความรู้สึกทุกอย่างจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นตอนที่ผมโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาล จริงๆ แล้วผมไม่จำเป็นต้องโมโหขนาดนั้นก็ได้ แต่ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้เลย ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมโมโหมากถึงขนาดที่อยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งลงพื้นแล้วถอนหุ้นโรงพยาบาลออกให้หมดเหตุเพราะว่าทางโรงพยาบาลรับสายช้า นี่ผมน่าจะเลยวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านแล้วนะไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เป็นแบบนี้บ่อยๆ คงไม่ดีแน่
[Yoghurt’s part]
เจ็บ...
ฉันรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งร่างกายราวกับผ่านการปีนขึ้นเขาสูงๆ แล้วกลิ้งตกลงมาจากบนยอด มันระบมไปหมดทั้งตัวจนฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจริงๆ แล้วแผลมันอยู่ตรงไหน ครั้นจะลืมตาขึ้นดูก็เป็นอะไรที่ยากยิ่ง ตอนนี้ฉันสามารถรับรู้ได้เพียงแค่กลิ่นแอลกอฮอล์ล้างแผลที่ลอยมาแตะจมูกเท่านั้น
“อย่าเพิ่งขยับ... ร่างกายเธอยังไม่หายดี” เสียงทุ้มของใครบางคนบอกฉันเมื่อฉันพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ฉันพยายามเพ่งมองแต่ก็เห็นเพียงลางๆ ว่าเขาคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ ฉัน
ใครกันนะ... แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น
ฉันพยายามทบทวนความทรงจำถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่มันก็ยากเหลือเกิน... เคยเป็นมั้ยบางครั้งที่คุณรู้สึกเหนื่อยมากๆ จนไม่อยากจะคิดอะไร ร่างกายของฉันมันไม่มีแรงและอ่อนเพลียไปหมด
“ขอโทษนะ เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่ได้ตั้งใจ” คนข้างๆ เอ่ยขึ้นอีก โอเคตอนนี้ฉันงงนิดหน่อย... ที่ผู้ชายคนนี้ขอโทษฉัน แสดงว่าเขาอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันมีสภาพแบบนี้ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ
“เกิดอะไรขึ้นคะ” ฉันถามทั้งๆ ที่ยังหลับตา การจะเปล่งเสียงออกมาช่างทำได้ยากเย็นยิ่งนัก มันเจ็บไปหมดโดยเฉพาะบริเวณลำคอ สุดท้ายฉันจึงล้มเลิกความคิดที่จะลุกขึ้นนั่งเพราะมันทำได้ยากจริงๆ ในเวลานี้
“เธอจำไม่ได้หรอ” เสียงของเขาดูแปลกใจเล็กน้อย
“เปล่าหรอก ก็แค่... ตอนนี้ฉันมึนหัวหน่อยๆ น่ะ ยังงงๆ อยู่” ฉันพยายามจะยกมือขึ้นมานวดขมับ เผื่อว่าจะคลายอาการปวดตุบๆ ได้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อความเจ็บแล่นแปลบไปทั่วทั้งแขน นี่ฉันมีแผลที่แขนด้วยหรอ ไม่สิ... ฉันรู้สึกเหมือนมีแผลเต็มตัวไปหมดเลย
“คงเป็นเพราะเธอเสียเลือดมากน่ะก็เลยยังเพลียอยู่ เธอนอนพักเถอะฉันไม่กวนแล้ว” เขาพูดก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้ฉันจมปลักอยู่กับคำพูดก่อนหน้านี้
เสียเลือดหรอ... นั่นสิ ฉันไปโดนอะไรมานะถึงได้มานอนอยู่บนเตียงในสภาพนี้ แล้วนี่เตียงใคร... ใช่เตียงฉันหรือเปล่า ฉันอยู่ที่ไหนกันนะ แม้จะมีคำถามผุดขึ้นมาในสมองของฉันมากมาย แต่ความอ่อนเพลียของร่างกายก็เริ่มทำให้ฉันง่วงงุนจนล้มเลิกที่จะหาคำตอบให้กับตัวเอง เตียงนุ่มๆ กับผ้านวมหนาในห้องที่มืดทึบทำให้เปลือกตาของฉันหนักอึ้ง ยิ่งอุณหภูมิในห้องที่มีความเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศด้วยแล้วการจะเข้าสู่ห้วงนิทราจึงใช้เวลาไม่นานนัก
หนักจัง...
ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ถนัดราวกับถูกใครสักคนนอนทับอยู่ ภาพแรกที่ฉายชัดคือใครคนหนึ่งที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกำลังนอนทับร่างของฉัน จมูกโด่งได้รูปของเขาซบอยู่บริเวณลำคอของฉันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ฉันพยายามจะยันตัวลุกขึ้นและดันร่างของเขาออกไป แต่แล้ว...
“จะไปไหน” เขาถามขึ้นจนฉันตกใจ นายนี่รู้สึกตัวไวชะมัด... นี่ขนาดฉันขยับตัวเบาที่สุดแล้วนะ ร่างสูงลุกขึ้นนั่งเช่นเดียวกับฉัน เขาจ้องมองฉันอย่างเอาเรื่อง ดูเหมือนเขาจะโมโหที่ฉันทำให้เขาตื่นแหงเลย
“ฉัน... เอ่อ ฉันจะกลับห้อง” ฉันบอกเขาด้วยท่าทีร้อนรน ทำไมหมอนี่ต้องทำตาขวางเหมือนอยากจะฆ่าฉันด้วย ตอนนี้ฉันกลัวไปหมดแล้วนะ
“เธอไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเธอคือเหยื่อของฉันเข้าใจมั้ย!!!” ร่างสูงกระชากแขนฉันอย่างแรงจนแทบจะหลุด
“โคลด์ อย่านะฉันกลัวแล้ว!” ฉันเผลอร้องด้วยความตกใจ หมอนี่ชื่อโคลด์หรอทำไมฉันถึงรู้ล่ะ... แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ
ราวกับว่าคำขอร้องของฉันจะไม่เป็นผล โคลด์เหวี่ยงฉันลงบนเตียงจนฉันเจ็บหลังไปหมด ร่างสูงขึ้นคร่อมฉันและพันธนาการไว้ด้วยร่างกายของเขา ฉันปวดระบมไปหมดไม่ว่าจะแขนหรือขา ทำไมเขาถึงได้แรงเยอะแบบนี้นะ... ระหว่างนั้นเองฉันก็สังเกตเห็นเขี้ยวที่งอกยาวออกมาราวกับปีศาจร้ายก็ไม่ปาน นี่เขาเป็นตัวอะไรกันแน่
“กรี๊ด!!! อย่าทำอะไรฉันเลยนะ” ฉันกรีดร้องลั่นจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีความเวทนาสงสารฉันเลยสักนิด โคลด์ขู่คำรามอย่างน่ากลัวก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงบนต้นคอฉันอย่างรุนแรง
“กรี๊ด!!!” ฉันผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วจนมึนหัวไปหมด เมื่อกี๊อะไรกัน... ฝันเหรอ ทำไมมันถึงเหมือนจริงและน่ากลัวมากขนาดนี้ ให้ตายสิ... ตอนนี้น้ำตาฉันยังไหลพรากอยู่เลย และเพื่อความแน่ใจฉันเลยลองสำรวจร่างกายตนเองดูแต่ก็พบบาดแผลและรอยเขียวช้ำอยู่เต็มไปหมด
เดี๋ยวนะ... ขอฉันเรียบเรียงความคิดของตัวเองสักหน่อย
เมื่อกี๊คือฝันแน่ๆ ฉันมั่นใจ แต่ร่องรอยที่อยู่บนร่างกายฉันล่ะมาจากไหน เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ที่นี่มันห้องของ... ใครกัน แต่ที่รู้ๆ ไม่ใช่ห้องของฉันแน่นอน
จำได้ว่าเมื่อวานระหว่างทางที่ฉันขับรถกลับคอนโดฉันเจอโคลด์ ใช่แล้ว...หลังจากนั้นฉันก็แบกเขามาห้องพร้อมกับลุงยามแล้วก็เปลี่ยนชุดให้เขา แล้วก็...
จู่ๆ ภาพเหตุการณ์น่ากลัวต่างๆ ก็เริ่มประดังประเดเข้ามาในสมองฉัน โคลด์...เขี้ยว... เลือด...
แวมไพร์!!!
“ไม่นะ” ฉันแทบจะกรีดร้องลั่นทันทีที่นึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ทั้งหมด โคลด์ไม่ใช่คน... เขาคือผีดูดเลือด ฉันจะทำยังไงดี... นี่ยังดีนะที่ตอนนี้โคลด์ไม่อยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นฉันได้บ้าตายแน่ๆ
เรื่องแบบนี้มันมีจริงได้ยังไงกัน มันแค่ตำนานนิทานหลอกเด็กไม่ใช่หรอ... จะมีปีศาจดูดเลือดอย่างแวมไพร์อยู่ในโลกนี้จริงๆ ได้ยังไงกัน ไม่... โคลด์จะเป็นตัวอะไรไม่สำคัญ สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้ก็คือหนีออกไปจากที่นี่
ห้องของโคลด์!
ฉันพยายามลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ เพราะร่างกายยังไม่กลับมาแข็งแรงเต็มร้อย อย่าว่าแต่หนีเลยให้ลุกขึ้นเดินฉันจะทำได้หรือเปล่า แต่ถ้าไม่หนีตอนนี้ฉันต้องโดนดูดเลือดหมดตัวตายแน่ๆ พยายามเข้าสิโยเกิร์ต... เธอจะมาตายในห้องผู้ชายอย่างเขาไม่ได้นะ คิดดูสิมันน่าสมเพชชะมัดที่จะต้องมาเป็นศพเลือดแห้งกรังอยู่ในนี้
ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นเดิน มือก็ยันกำแพงค้ำตัวเองไม่ให้ล้มไปด้วย ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้นะ ห้องนอนของเขาก็ไม่รู้จะกว้างไปไหน (หนีลำบากชะมัด) ดูเหมือนสายตาของฉันก็เริ่มเบลอๆ ด้วยตอนนี้ฉันเวียนหัวไปหมดแล้ว และเมื่อมือฉันแตะโดนลูกบิดประตู ประตูก็เปิดอ้าออกพอดีด้วยฝีมือของใครอีกคนที่อยู่ทางด้านนอก
“จะไปไหน” โคลด์เอ่ยถามเสียงเรียบ ทั้งๆ ที่เขาพูดแบบธรรมดาเท่านั้นแต่ฉันกลับรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจเลยทีเดียว ยิ่งใบหน้าของเขาเรียบเฉยประกอบกับดวงตาคู่ดุที่มองตรงมายังฉัน ยิ่งทำให้ฉันอยากวิ่งหนีกระโดดออกไปนอกหน้าต่างให้รู้แล้วรู้รอด เขาต้องรู้แน่เลยว่าฉันคิดจะหนี
“นะ...นาย” ฉันพูดไม่ออก ได้แต่จับลูกบิดประตูค้างไว้โดยที่มือของโคลด์ก็จับลูกบิดประตูที่อยู่อีกฝั่งเช่นกัน ซวยแล้ว... ซวยล้วนๆ ไม่มีโชคดีผสม
“ว่าไง... ฉันถามว่าจะไปไหน” เขาถามย้ำอีกรอบพร้อมกับก้าวเข้ามาในห้อง โดยที่ตัวฉันก็เดินถอยหลังไปเรื่อยๆ ตามสัญชาตญาณ (ของเหยื่อ)
กริ๊ก!
เขาล็อคประตูทั้งๆ ที่ยังจ้องฉันตาไม่กระพริบ จ้องเหมือนรอคำตอบ... และถ้าคำตอบไม่ถูกใจคงไม่เป็นผลดีต่อตัวฉันแน่ๆ
“ฉะ... ฉัน ฉันแค่จะไปเข้าห้องน้ำ” ฉันหาข้ออ้างที่คิดว่าดูเข้าท่าที่สุด เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยยามจ้องมองฉันราวกับจะจับผิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูดประโยคที่ทำฉันแทบอยากจะเอาหัวชนฝาผนังให้รู้แล้วรู้รอด
[Cold’s part]
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้น เดี๋ยวฉันพาไป” ผมเดินนำโยเกิร์ตไปที่ห้องน้ำและดูเหมือนเธอจะลังเลเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่แปลกหรอกที่เธอจะมีอาการแบบนั้น ผมรู้ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ โยเกิร์ตคงจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้แล้ว... และกำลังคิดที่จะหนีผมไป!
เรื่องอะไรผมจะยอมให้เธอทำแบบนั้นล่ะ ในเมื่อเธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผมแล้ว เรื่องอะไรที่ผมจะต้องปล่อยเธอไป
ไม่หรอก... จริงๆ มันก็แค่ข้ออ้าง ผมคงทนไม่ได้ถ้าเธอคิดรังเกียจผม
“จะเข้าห้องน้ำไม่ใช่หรอ หรือว่าเดินไม่ไหว” ผมเอ่ยถามโยเกิร์ตทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับไปมองหน้าเธอ แค่นี้เธอก็กลัวผมจนตัวสั่นแล้ว
ตอนนี้ผมได้ยินแค่เสียงหัวใจของโยเกิร์ตที่กำลังเต้นระรัวกับกลิ่นหอมๆ ที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัวเธอเพียงเท่านั้น ทุกอย่างรอบตัวดูจะเงียบไปหมด... ปล่อยไว้แบบนี้นานๆ คงไม่ดีแน่ เพราะจู่ๆ ผมก็รู้สึกหิวกระหายขึ้นมาซะเฉยๆ ผมรู้สึกอยากลิ้มรสเลือดของเธออีกซะแล้วสิ
“ปะ เปล่า ฉันแค่...” ผมไม่รอให้เธอพูดจบ แต่เลือกที่จะหันหลังกลับไปอุ้มร่างบางไว้ในอ้อมแขนแทน โยเกิร์ตเอาแขนคล้องคอผมด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเสมองไปทางอื่นโดยไม่ยอมสบตากับผม
ผมอุ้มโยเกิร์ตเข้ามาในห้องน้ำแล้วให้เธอนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ โดยที่เธอนั่งห้อยขาแล้วผมก็เอาตัวเองแทรกเข้าไปยืนระหว่างขาสองข้างของเธอ แต่สิ่งที่เธอแสดงออกกลับทำให้ผมหงุดหงิด... เธอกำลังกลัว
ไม่ชอบเลยว่ะ!
“นะ...นาย” เธอเอามือเล็กๆ ของตัวเองมาดันอกผมไว้
“ว่า?” ผมถามแล้วขยับใบหน้าเข้าไปใกล้เธอ กลิ่นหอมๆ ที่ลอยฟุ้งออกมาจากร่างบางตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก โยเกิร์ตเบี่ยงหน้าหนีจากการกระทำของผมเล็กน้อย
“นี่ ถอยออกไปหน่อยสิ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แต่ความรู้สึกกรุ่นโกรธกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจผม ไม่รู้สิ... ผมบอกแล้วว่าตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าสภาวะทางอารมณ์ของผมก็ไม่คงที่ ผมอารมณ์แปรปรวนและรุนแรงแทบจะตลอดเวลา เวลาโกรธหรือหงุดหงิดอะไรก็อยากจะทำลายมันทิ้งเสียให้หมด
ตุบ! เพล้ง!
“ทำไม! รังเกียจฉันหรอ... รังเกียจที่ฉันเป็นตัวบ้านั่นใช่มั้ย!!” ผมโมโหมากจนเผลอตะคอกใส่เธอ แม้ในใจจะรู้ว่ามันดูไร้เหตุผลสิ้นดีก็ตาม นี่คงเป็นเพราะเธอมากระตุ้นความกังวลใจลึกๆ ของผมด้วยละมั้ง โชคยังดีที่ผมยับยั้งตัวเองให้ไปลงกับกระจกเงาด้านหลังเธอแทน มันแตกละเอียด เลือดสีแดงค่อยๆ ซึมออกมาตามบาดแผลที่ถูกบาดของผม แต่แล้วแผลที่มือมันก็ค่อยๆ สมานกันจนหายสนิทเหมือนไม่เคยมีร่องรอยใดๆ เกิดขึ้น
“เวรเอ๊ย!!!” และมันก็ยิ่งทำให้ความเดือดดาลของผมลุกโชนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม การที่แผลของผมหายเป็นปลิดทิ้งยิ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าผม... เป็นตัวประหลาด
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ผมชกกระจกรัวๆ อีกหลายรอบจนเลือดหยดกระเด็นเต็มเคาน์เตอร์ไปหมด ทำไม... ทำไมกัน... ทำไมถึงไม่มีแผลบนมือผม นี่ผมเป็นตัวบ้าอะไรวะเนี่ย!