ข้าวเขียว-๓

โดย  somkhitsin

ข้าวเขียว

ฉันตื่นขึ้นมาในห้องสีขาวห้องแห่งหนึ่ง ที่ฉันไม่คุ้นตา เมื่อมองไปรอบๆ ห้องก็พบว่าที่นี่คือโรงพยาบาล ฉันเริ่มนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ ภาพของไออุ่นที่มีเลือดไหลออกมาอย่างมากมาย สีหน้าและแววตาที่หวาดกลัวฉันมาก ราวกับฉันเป็นปีศาจร้ายที่จะทำร้ายเธอกับลูกก็เข้ามาในหัว ไออุ่นจะเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วลูกเธอล่ะจะเป็นอะไรไหม

“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้รัตน์ เธอไปทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องทำไม...ฮือ…” ฉันร่ำไห้ต่อว่าเงาที่หลับใหลอยู่ในตัวฉัน

รัตน์คือ อีกคนนึงของฉัน ฉันป่วยเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้มีความผิดปกติด้านบุคลิกหรือเรียกง่ายๆ ว่าโรค 2 บุคลิกหรือพาโพล่าน์นั่นเอง ฉันคือตัวตนปกติไม่สิฉันคือสภาวะซึมเศร้ามากกว่า ส่วนรับคือสภาวะแมเนียนหรือสภาวะคุ้มคลั่ง ฉันรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ครั้งแรก ตอน 8 ขวบ ตอนที่ฉันเห็นแม่และพี่สาวถูกรุมข่มขืน ถูกพ่อทำร้ายร่างกายและถูกขังไว้ในห้อง ฉันพยายามร้องเรียกขอให้พวกนั้นหยุดทำร้ายแม่และพี่สาวแต่มันก็ไร้ผล ตอนนั้นฉันเสียใจและหวาดกลัวมากฉันอยากจะหลับหนีให้พ้นจากความเจ็บปวดและความโหดร้ายนั้น ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองหลับไปในที่ที่เงียบ มืดและหนาวมากๆ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าที่นั่นปลอดภัยและจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเด็ดขาด จนกระทั่ง 3 เดือนให้หลังฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งฉันจำอะไรในช่วง 3 เดือนนั้นไม่ได้เลย ในช่วงนั้นแม่และพี่ดาเล่าให้ฉันฟังว่าฉันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนที่เรียบร้อยขี้กลัว ไม่ทันคนเปลี่ยนไปเป็นคนที่ทั้งขี้โมโหใจ ร้อนและฉลาดทันคนไปหมด แผนที่ดาวเหนือยังเล่าให้ฟังอีกว่า ในช่วงนั้นฉันใช้ไม้หน้าสามตีหัวพ่อตัวเองเพื่อปกป้องแม่และพี่ดาวเหนือ หลังจากที่แม่รู้เรื่องว่าฉันอาจจะมีความผิดปกติทางจิต แม่รีบพาฉันไปหาหมอ หมอวินิจฉัยว่าฉันเป็นโรคพาโพล่าน์ แต่ก็ไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง เพราะบ้านเราไม่มีเงินรักษา ทำได้แค่คอยปกป้องดูแลสภาพจิตใจฉันไม่ให้ซึมเศร้าเท่านั้น เพราะเมื่อไหร่ที่ฉันซึมเศร้า เสียใจและหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุดรัตน์จะออกมา

ฉันเคยคิดนะว่าการที่มีรัตน์อยู่เป็นสิ่งที่ดีคนอย่างฉันไม่มีค่าอะไรหรอก รักทั้งฉลาดกล้าหาญปกป้องแม่กับพี่ดาวเหนือได้ ผิดกับฉันที่ทำได้แค่ร้องไห้ตรงมุมห้องตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ แต่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ารัตน์จะมีความโกรธแค้นมากมายขนาดนี้ จริงอยู่ว่าพ่อ แม่ของไออุ่นทำอะไรแม่ฉันเอาไว้บ้างแต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับไออุ่นทำไมรัตน์ถึงต้องทำร้ายไออุ่นด้วย

คิดมาถึงตรงนี้ความกังวลเรื่องไออุ่นก็ยิ่งทวีคูณขึ้น เธอกับลูกจะเป็นอะไรไหม ไม่สิไออุ่นเธอเป็นคนดีเธอต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ฉันตัดสินใจดึงสายน้ำเกลือที่แขนตนเองออกและรีบลุกไปดูให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ ขณะที่ลุกแผลที่หน้าท้องมีเลือดซึมออกมาจากการเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป สร้างความจริงปวดให้ฉันอย่างมากมายที่เดียว ฉันพยายามฝืนทนไปให้ถึงหน้าเคาน์เตอร์เพื่อสอบถามว่าไออุ่นอยู่ห้องไหน

“ขอโทษนะคะ คนไข้ที่ชื่อ ไอลดาเปรมปิติพิพัฒน์ อยู่ห้องไหน”

“สักครู่นะคะ” เธอก้มลงพิมพ์อะไรสักอย่างในคอมพิวเตอร์ “คุณไอลดาพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องพักฟื้นที่…. ส่วนลูกของเธอยังอยู่ห้อง NICU ค่ะ”

“แล้วทั้งสองคนเป็นยังไงบ้างคะ” ฉันถามอย่างร้อนใจ

“คุณไอลดาปลอดภัยดีค่ะ ส่วนลูกเธอต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์แต่โดยรวมแล้วถือว่าปลอดภัยดีค่ะ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉันเบาใจลงไปมาก แต่ฉันจะสบายใจไม่ได้จนกว่าจะได้ไปเห็นกับตาตัวเอง เมื่อคิดได้อย่างนั้นฉันรีบตรงไปที่ห้องไอลดาตามที่พยาบาลได้บอกเอาไว้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องมีแค่เพียงไออุ่นที่หลับอยู่บนเตียงคนไข้เท่านั้น ฉันตรงเข้าไปกุมมือของเธอ

“อุ่น พี่ขอโทษนะ ที่ทำให้อุ่นมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ อุ่นไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้ พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำมันเลวร้ายขนาดไหน แต่พี่แค่อยากจะบอกว่าพี่ขอโทษ” ฉันพูดกับร่างไร้สติของเธอ

และตอนนั้นเองฉันได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องน้ำทางด้านหลัง

“เธอหลอกน้องฉันออกไปจริงๆ ใช่ไหม”

ฉันตัวชาวาบ ฉันจำเสียงนี้ได้ เสียงนี้เป็นเสียงของคุณอรรถวิทย์ ฉันหันกลับไปมองคุณอรรถวิทย์ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำช้าๆ

ตาของคุณอรรถวิทย์แดงก่ำฉันไม่รู้ว่าแดงเพราะความโกรธหรือผิดหวังในตัวฉันกันแต่ มือเขากลับมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นเหมือนกำลังพยายามสกัดกั้นอารมณ์เอาไว้

“ฉันถามว่าเธอตั้งใจพาน้องสาวฉันออกไปหาพวกมันใช่ไหม” คุณอรรถวิทย์เน้นคำถามช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง

“ดาขอโทษ” ฉันพนมมือขอโทษคุณอรรถวิทย์ “ดาไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ได้ตั้งใจ! น้องกับหลานฉันยังเกือบตาย แล้วถ้าเธอตั้งใจจะขนาดไหน!!” คุณอรรถวิทย์ตะคอกใส่ฉันเสียงดัง

“คุณวิทย์ดาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ได้โปรดเชื่อดานะค่ะ” ฉันจะเข้าไปจับมือของคุณอรรถวิทย์ แต่คุณอรรถวิทย์สะบัดออกอย่างไม่ใยดี

“เธอจะโกหกหลอกลวงอะไรพวกฉันอีกล่ะ”

“ดาไม่ได้โกหก ดาไม่รู้ตัว ดาไม่ได้โกหกอะไรคุณ คุณต้องเชื่อดานะค่ะ”

“ไม่รู้ตัว เธอจะบอกว่าเธอโดนสะกดจิตหรือโดนผีสิงหรอ ไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะ ออกไปฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก” คุณอรรถวิทย์ชี้ไปที่ประตูย้ำอีก

“คุณวิทย์คุณอย่าไล่ดาเลยนะคะ...ฮือ…. ดาไม่เหลือใครแล้ว นอกจากคุณกับรัก” ฉันไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอีกแล้วถ้าไม่มีเขากับน้องรัก ถ้าเขาไม่มีพวกเขา ฉันอยู่ไม่ได้หรอก

“ไม่ไปใช่ไหม ได้!! “เขากระชากต้นแขนของฉัน เดินตรงไปที่ประตูแล้วเหวี่ยงฉันออกอย่างแรง จนฉันล้มลงพื้น แผลที่หน้าท้องเริ่มฉีกออก เลือดไหลออกมามากกว่าเก่า ฉันไม่สนใจบาดแผลที่หน้าท้องรีบลุกขึ้นไปหาคุณอรรถวิทย์แต่คุณอรรถวิทย์ปิดประตูล็อกไปซะก่อน

“คุณวิทย์! เปิดประตูให้ดาหน่อย ฮืออ” ทั้งทุบทั้งร้องตะโกนเรียกเขา แต่ประตูก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออกเลยฉันเริ่มร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายอย่างท้อแท้และสิ้นหวัง

“แกมันอ่อนแอ หลับไปตลอดกาลนะดีแล้ว” ฉันได้ยินเสียงของรัตน์ในหัว

“ไม่! ฉันจะไม่มีวันยอมลงให้เธอง่ายๆ อีกแล้ว เธอทำให้ทุกอย่างพังหมด เธอทำให้ทุกคนเกลียดฉัน!”

“แกคิดว่าแกจะสู้ฉันได้หรอ”

กรี๊ดด!!!

ฉันกรี๊ดร้องออกมาเพราะความปวดหัวอย่างรุนแรง ฉันไม่รู้ว่ารัตน์กำลังทำอะไรฉันรู้แค่นั้นกำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้ออกมาฉันเองก็ไม่ยอมให้เธอออกมาเช่นกัน

“คุณคะ คุณเป็นอะไรคะ” พยาบาลที่ได้ยินเสียงรีบตรงเข้ามาหาฉัน “เลือด!” เธอเปิดชายเสื้อชุดคนป่วยของฉันขึ้นดู “แผลของคุณฉีกนิ อยู่เฉยๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะเรียกคนมารับ” เธอโทรเรียกใครสักคนให้มารับฉัน

ไม่นานบุรุษพยาบาล 2 คนนำรถเข็นมารับฉัน ฉันอยากจะขัดขืนเพื่อคุยกับคุยกับคุณอรรถวิทย์แต่อาการปวดหัวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดกับเสียเลือดทำให้ฉันอ่อนเพลียมาก ฉันได้แต่มองประตูห้องอย่างสิ้นหวังเขาคงเกลียดฉันมาก ที่ฉันทำร้ายน้องสาวและหลานเขาจนเกือบตาย แต่ฉันไม่อยากให้เขาเกลียดฉันนี่ ฉันรักเขา รักทั้งทั้งที่รู้ว่าเราสองคนรักกันไม่ได้

[จดบันทึก : ดารารัตน์]

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว