พระชายาไร้ลักษณ์

เจียงกุ้ยเฟย 2

…………

สุนิษาพอได้นอนหลับพักผ่อนไปครั้นตอนตื่นขึ้นมาก็รู้สึกถึงความสดชื่นเป็นอย่างมาก หล่อนจึงพยายามคุยเล่นกับหลานสาวตัวน้อยของตน

“ทับทิม วันนี้น้าจะพาหนูไปเยี่ยมแม่ของหนูในตอนเย็นดีไหมจ๊ะ?”

“ดีค่ะ หนูอยากไปเจอแม่ค่ะน้า”

“ถ้าอย่างนั้น…มีการบ้านหรือเปล่า? ถ้ามีต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนนะถึงจะไปได้” นิษายื่นข้อเสนอให้กับทับทิม

“ค่ะ หนูจะรีบทำเลยค่ะ” ทับทิมรีบค้นกระเป๋าเรียนเพื่อหยิบสมุดมาทำการบ้านของเธอ ทับทิมรีบทำการบ้านที่มีของเธอจนเสร็จ

ทั้งสองคนน้าหลานจึงเตรียมตัวเพื่อไปเยี่ยมสุภัทราที่โรงพยาบาล สุนิษาเธอได้พักไปบ้างแล้ว จึงทำให้หล่อนไม่มีอาการเพลีย เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่สุภัทรารักษาตัวอยู่ นิษาได้พาทับทิมขึ้นไปยังห้องพักของคนไข้ที่หล่อนได้มานอนเฝ้าพี่สาวในเมื่อวาน แต่ที่เตียงคนไข้ยังคงว่างเปล่าไร้ตัวพี่สาวของเธอ นั่นแสดงว่า…สุภัทรายังคงไม่ได้กลับมานอนที่เตียงคนไข้นี้อย่างแน่นอน นิษาจึงได้ไปสอบถามเอากับพยาบาลที่ประจำอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์

“เอ่อ.. คนไข้ที่ชื่อสุภัทรายังไม่กลับมาที่เตียงอีกเหรอคะ?”

“เอ่อ…รอสักครู่นะคะ” พยาบาลเปิดดูแฟ้มประวัติคนไข้ ก่อนจะตอบว่า

“คือ…ในตอนนี้คนไข้ต้องได้รับการฝังแร่อยู่ค่ะ จึงไม่ได้กลับมานอนที่เตียงได้นะคะ ยังคงต้องทำการฝังแร่ และจะฉายแสงวนไปค่ะ และเมื่อได้รับการฝังแร่แล้วต้องถูกให้นอนเฉย ๆ ในที่ที่เหมาะสมค่ะ เพื่อกันรังสีจะกระจายออกมานะคะ อีกประมาณ 1 สัปดาห์ ค่อยออกมานอนที่เตียงได้ค่ะ” เนื่องด้วยการรักษาในตอนนั้นเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่นัก เลยทำให้กระบวนการในการรักษายุ่งยาก และยาวนาน

“อ่าว…แล้วอย่างนี้จะไปเยี่ยมได้ไหมคะ?”

“ได้ค่ะ แต่ต้องเยี่ยมดูได้จากด้านนอกเท่านั้นนะคะ เข้าไปข้างในห้องยังไม่ได้ค่ะ”

“ค่ะ”

สุนิษาพาทับทิมไปยังห้องที่สุภัทรากำลังได้รับการรักษาอยู่ ที่นั่น จะเป็นห้องที่แยกตัวจากห้อง ๆ อื่น และสามารถยืนดูอยู่ที่หน้าประตูเพื่อเยี่ยมได้เท่านั้น สุนิษาเห็นพี่สาวของเธอนอนอยู่ในกองปูนหรืออะไรสักอย่างที่โบกไว้เป็นโดมรอบ ๆ ตัวของสุภัทราตั้งแต่ช่วงท้องลงมาจนถึงหน้าขา มีลักษณะเหมือนเป็นอุโมงค์ที่เป็นปูนล็อกตัวสุภัทราเอาไว้กับเตียง

ส่วนทางด้านของทับทิม เธอได้เห็นแม่ของเธอ อยู่ไกล ๆ และนอนอยู่บนเตียงโดยที่มีอุโมงค์ปูนมาทับแม่ของเธอเอาไว้ เด็กหญิงจึงอยากจะเดินเข้าไปหาแม่ของตนเองที่ด้านในห้อง แต่น้าสุนิษาห้ามเธอเอาไว้ว่าเข้าไม่ได้ จึงทำให้ทับทิมยืนแบบนั้นและจ้องมองแม่ของเธออยู่ตรงประตูแบบนั้นอยู่ไกล ๆ แล้วจู่ ๆ เด็กหญิงทับทิมก็ร้องไห้ออกมา

“แม่…ฮือ ๆ แม่จ๋า…หนูมาหาแม่แล้ว…ฮือ ๆ ๆ แต่หนูเข้าไปหาแม่ใกล้ ๆ ไม่ได้ค่ะ แม่…แม่…ฮือ ๆ” ถึงเด็กน้อยจะร้องไห้นั้นแต่เธอก็ไม่ได้โวยวายเสียงดังอะไร แต่มันคงเป็นภาพที่สะเทือนจิตใจของใคร ๆ อีกหลายคน

ทางด้านสุภัทรา หล่อนเองก็ไม่ได้หลับแต่อย่างใดแต่ยังคงขยับร่างกายเองในตอนนี้ไม่ได้ คงทำได้แค่เพียงหันหน้ามามองลูกสาวของเธอกับน้องสาวที่มาเยี่ยมเยียนเธอได้เพียงเท่านั้น

สุภัทรายกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วทำท่าเหมือนจะบอกว่า ให้นิษาพาทับทิมกลับบ้านไปเสีย ประมาณว่าพี่ไม่เป็นไรรีบกลับบ้านไป เพราะเธอเห็นว่าทับทิมกำลังร้องไห้อยู่ในตอนนี้นั่นเอง

สุนิษาเห็นดังนั้นจึงรีบปลอบทับทิม เพื่อให้หลานสาวตัวน้อยของเธอรู้สึกดีขึ้น

“ทับทิม…ไม่ต้องร้องไห้หรอกนะจ๊ะ เดี๋ยวพอแม่ของหนูหายดีแล้ว คุณหมอก็จะให้แม่ของหนูกลับบ้านได้แล้วล่ะ”

“ทำไมคุณหมอต้องจับแม่ของหนูมาขังไว้ด้วยล่ะคะ?”

สุนิษาเห็นหลานสาวจ้องมองไปที่มารดาของเด็กน้อยอย่างน่าเวทนา หล่อนจูงมือของทับทิมและต้องการจะพาทับทิมออกมาจากสถานที่ตรงนั้น แต่ดูท่าว่าทับทิมคงยังไม่อยากจะกลับบ้านเป็นแน่!? เด็กหญิงยืนเกาะประตูทางเข้าของห้องที่แม่ของหนูน้อยนอนรักษาตัวอยู่อย่างนั้นแล้วร้องไห้ต่อไปอย่างไม่ยอมเชื่อฟังน้านิษาของเธอในเวลานี้เลย นิษาเริ่มใจคอไม่ดีและสงสารหลานสาวของตน ทั้งยังคิดว่าตัวหล่อนนั้นไม่น่าพาทับทิมมาเยี่ยมหาพี่สุภัทราเลยจริง ๆ

ในขณะนั้น อานนท์ได้เดินมาเจอกับสุนิษาที่กำลังปลอบประโลมหนูน้อยทับทิมอยู่นั่นเอง อานนท์เห็นทับทิมกำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่ลืมหูลืมตา และนิษาก็กำลังพยายามพูดคุยพร้อมโอบกอดลูกสาวของเขาอยู่พอดี

“ทับทิมไม่ร้องสิ!! ที่นี่โรงพยาบาลนะ!!” เสียงของอานนท์ดุทับทิม

“พี่อานนท์…พอดีว่าหนูพาทับทิมมาเยี่ยมพี่ภัทรน่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าพี่ภัทรต้องนอนอยู่ในอุโมงค์แบบนี้ แล้วยังออกมาไม่ได้จนกว่าจะครบหนึ่งสัปดาห์ไปแล้วน่ะ ส่วนทับทิม…แกไม่เคยเห็นแม่ของแกต้องเป็นแบบนี้มาก่อนน่ะ เลยตกใจ”

อานนท์ชะโงกหน้าไปมองดูภายในห้องคนไข้ก็เห็นสุภัทรานอนอยู่ในอุโมงค์ปูนที่โบกทับกับตัวของหล่อนเอาไว้ เขาก็เลยหันมาปลอบใจทับทิมลูกสาวของตน

“ทับทิม…หยุดร้องไห้ก่อนนะลูก…ทับทิมไม่สงสารแม่ภัทรของหนูหรือ?”

หนูน้อยหยุดสะอื้นเล็กน้อย

“สงสารค่ะ…หนูสงสารแม่ค่ะ…ทำไมหมอถึงใจร้าย…มาขังแม่ของหนูด้วยล่ะ?”

อานนท์กอดลูกสาวตัวน้อยของเขา และอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา

“คุณหมอไม่ได้ใจร้ายหรอกนะ แต่คุณหมอกำลังรักษาโรคให้กับแม่ของหนูอยู่…เข้าใจไหมลูก?”

“รักษา? โรคอะไรคะพ่อ?”

“โรคที่ต้องขังตัวเชื้อโรคเอาไว้ข้างในนั้น แล้วเชื้อโรคมันก็จะตาย และแม่ของหนูก็จะหาย ดีไหมล่ะ?”

ทับทิมพยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ เธอหันกลับไปมองที่แม่ของเธอซึ่งกำลังนอนหันหน้ามาดูทับทิมในเวลานี้อยู่แบบไกล ๆ ในอ้อมแขนของพ่อที่กำลังอุ้มตัวเองอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้ทับทิมสามารถมองเห็นแม่ของตัวเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมเพราะว่ามันสูงขึ้นมาก จากที่เธอยืนมองแม่ในตอนแรก

ทับทิมโบกมือให้กับแม่ของเธอ และในตอนนี้หนูน้อยก็ได้หยุดร้องไห้ไปแล้ว อานนท์ยืนมองสุภัทราแบบนั้นได้สักพัก เขาก็เดินกลับออกมาพร้อมกับบอกสุนิษาว่า

“พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ถึงยังไงในตอนนี้ก็ทำอะไรกันไม่ได้ นอกจากยืนมองดูภัทรได้แค่นั้นจากที่ตรงนี้ ไว้ค่อยมาเยี่ยมกันใหม่ในตอนที่ภัทรสามารถออกมาจากห้องนั้นได้ก็แล้วกัน”

จริงอย่างที่อานนท์พูด เพราะถึงยังไงในเวลานี้ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็กำลังรักษาตัวให้กับสุภัทรา แล้วเธอในตอนนี้ก็ไม่สามารถออกไปไหนได้ หล่อนจะต้องกินและนอนอยู่ที่บนเตียงแบบนั้นจนกว่าจะครบหนึ่งสัปดาห์ตามที่หมอสั่ง ในช่วงเวลานี้จึงไม่ให้ญาติมาเฝ้าแต่อย่างใด พวกเขาทั้งสามคนก็ได้ยืนโบกมือให้กับสุภัทราเพื่อแสดงอาการบอกว่ากำลังจะกลับบ้านกันแล้ว สุภัทรามองเห็นและรับรู้แต่เธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงหรือเสียงที่จะเปล่งออกมาในขณะนั้น ได้แต่ขยับมือขึ้นลงเบา ๆ เพื่อให้อานนท์และทับทิมมองเห็นว่าเธอเข้าใจแล้วนั่นเอง

………..

อานนท์มาส่งทับทิมกับสุนิษาที่ห้องของเขา และเพื่อให้สุนิษามีที่นอนอย่างสบายใจเขาเลยขอตัวกลับ

“นิษานอนเป็นเพื่อนอยู่กับทับทิมที่นี่แหละ ส่วนพี่จะไปนอนที่ทำงานเองไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ” อานนท์บอกกับนิษาไปแบบนั้น

“ค่ะพี่อานนท์ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีที่ให้ไปอยู่แล้วในเวลาแบบนี้ อีกอย่างฉันก็อยากอยู่เป็นเพื่อนกับหลานทับทิมอยู่แล้ว สงสารทับทิมมัน” สุนิษามองทับทิมด้วยความเป็นห่วง

“ดีแล้ว…ถ้าอย่างนั้นพี่ก็คงไม่ต้องห่วงอะไรทับทิมอีก งั้นพี่ไปแล้วนะ แล้วอย่าลืมปิดห้องล็อกกุญแจให้เรียบร้อยล่ะ”

“ค่ะพี่อานนท์”

อานนท์เดินลับไป ส่วนนิษาก็ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาตามที่อานนท์ได้บอกเอาไว้ เธอหันไปเห็นทับทิมที่นั่งกอดหมอนอยู่ที่โซฟาตัวเล็ก

“หิวอะไรไหม? กินบะหมี่ไหม? เดี๋ยวน้าต้มให้กิน” นิษาถามหลานสาวของเธอ

“น้านิษาจะกินด้วยไหมคะ? ถ้าน้ากินหนูก็จะกินด้วยค่ะ” ทับทิมบอกแบบนั้น เพราะเธอต้องการให้มีคนกินข้าวเป็นเพื่อนเธอนั่นเอง

“จ้า…น้าจะกินด้วย เรามากินด้วยกันนะ” นิษายิ้มให้กับหลานสาวของเธอ

ที่ทับทิมเอ่ยปากถามน้าสาวของเธอเรื่องการกินเป็นเพื่อนนั้น เหมือนกับว่าทับทิมคงกำลังคิดถึงแม่ของตัวเอง ในแบบฉบับของเด็ก เพราะถึงสุภัทราจะมีเงินและทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่ก็จริง หล่อนก็จะมีมุมที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวของเธอเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน และทำให้ทับทิมไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองขาดความรักความอบอุ่นแต่อย่างใด ทับทิมรักแม่ของเธอมาก ขนาดสุภัทราเลิกงานกลับมาดึกดื่นแต่เธอก็ยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อจัดแจงและจัดการให้ลูกของเธอไปโรงเรียน แล้วถ้าถึงวันหยุดในแต่ละสัปดาห์ สุภัทราก็จะพาทับทิมไปโรงภาพยนตร์เพื่อดูหนังในทุก ๆ วันหยุด หรือบางทีตอนกลางวันที่เธอแอบงีบหลับไปกับลูกแต่ทับทิมกลับตื่นขึ้นมาก่อน หล่อนก็จะรีบลุกขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับลูกสาว หรือบางครั้งตอนเวลากินข้าว…ข้าวที่เธอหุงไว้ในหม้อหุงข้าวนั้นมันเหลืออยู่ไม่มาก เพราะว่าหุงน้อยและกินกันแค่สองคนแม่ลูกเท่านั้นเอง สุภัทราก็จะกินข้าวที่อยู่ในหม้อหุงข้าวนั้นเลย โดยไม่คดใส่จานเพียงใช้แค่ช้อนตักข้าวแล้วทับทิมก็จะกินข้าวในหม้อหุงข้าวด้วยกันกับแม่ของเธอด้วยเช่นกัน โดยเอาช้อนตักข้าวกินในหม้อข้าวเลยค่ะ นี้เป็นวิธีและความเป็นอยู่ของสองแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ทับทิมจึงไม่ชอบการกินข้าวคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง

…………

อานนท์หลังจากส่งทับทิมกลับบ้านแล้ว เขาก็ได้กลับไปหาเรไรตามที่เขาได้สัญญากับเรไรไว้ แต่เขาไม่ได้กลับไปนอนที่ทำงานตามที่ได้บอกกับสุนิษา เรไรเห็นอานนท์กลับมาหาหล่อน ก็ได้รู้สึกดีใจและยินดีเป็นอย่างมาก เพราะว่าอานนท์รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอเมื่อตอนกลางวัน เรไรเอาน้ำมาให้อานนท์ดื่ม

“พี่นนท์เหนื่อยไหม? ดื่มน้ำก่อนค่ะ” เรไรยื่นแก้วน้ำให้กับอานนท์

อานนท์รับแก้วน้ำมาและดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วเลย

“อือ…เหนื่อยสิ และเรไรเป็นไงบ้าง? กินข้าวรึยัง?”

“ฉันรอพี่นนท์อยู่น่ะ ยังไม่ได้กินข้าวเลยพี่ เรามากินข้าวด้วยกันนะ”

“อือ…ได้สิ พี่ก็ยังไม่ได้กินอะไรด้วยเหมือนกัน”

“พี่ไปที่โรงพยาบาลมาแล้วหรือ? อาการของพี่ภัทรดีขึ้นรึยังล่ะ?”

อานนท์หันมามองเรไร เพราะเรไรไม่รู้ว่าสุภัทราป่วยเป็นโรคอะไร ที่เธอถามถึงอาการก็คงเพราะแค่อยากจะรู้ก็ได้

“อือ…ตอนนี้…พี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะอาการดีขึ้นหรือยัง?”

“พี่ภัทรไม่สบายหนักมากเลยเหรอคะ?”

“ภัทรเป็นมะเร็งน่ะ ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”

“มะเร็งอย่างนั้นเหรอ?” เรไรทวนคำพูด

“ใช่…”

เรไรเลิกถามต่อไป เพราะเธอคิดว่าไม่ควรถามต่ออาจจะทำให้อานนท์ไม่สบายใจหรืออาจจะทำให้อานนท์ไม่พอใจก็ได้ เธอจึงเปลี่ยนเรื่องพูด

“พี่นนท์มากินข้าวกันก่อนเถอะพี่ ฉันหิวแล้วล่ะ…”

เรไรจัดแจงยกสำรับกับข้าวมาจัดวางและตักข้าวไว้พร้อม อานนท์ลุกมานั่งกินข้าวกับเรไร…

………

ครบหนึ่งสัปดาห์ที่สุภัทราต้องนอนอยู่ในอุโมงค์ ฝังแร่แบบนั้น คุณหมอบอกกับเธอว่ายังไม่สามารถอาบน้ำได้นานหนึ่งเดือน คือห้ามน้ำมาโดนช่วงท้องที่ได้รับการฝังแร่ แต่สามารถเช็ดตัวได้ ในตอนนี้จึงเป็นอะไรที่ทรมานในความรู้สึกของเธอเป็นอย่างมาก สุนิษามาเฝ้าและดูแลพี่สาวของเธอ เพราะสุภัทรายังคงต้องเข้า ๆ ออก ๆ ห้องฉายแสงและห้องฝังแร่ จนกว่าจะครบวาระที่คุณหมอได้กำหนดไว้

ส่วนทับทิมในตอนนี้เธอคิดถึงแม่ของเธอมาก แต่น้านิษาไม่ได้พาเธอไปเยี่ยมแม่อีกแล้ว เพราะน้านิษาบอกว่าแม่ของเธอบอกให้ทับทิมรออยู่ที่บ้านอย่ามาที่โรงพยาบาล แม่ไม่อยากให้ทับทิมเห็นแม่ไม่สบายแบบนี้ แล้วแม่จะรีบหายและกลับมาที่บ้านไว ๆ ส่วนสร้อยก็เข้าใจในตัวของสุภัทราเช่นกัน สร้อยช่วยดูแลทับทิมไม่ให้เกิดความเศร้า และพยายามให้ทับทิมเล่นสนุกกับพี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อที่จะได้ลืมความเหงาไปได้แม้เพียงชั่วขณะก็ตาม

ช่วงเวลาที่สุภัทรารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อานนท์ สุนิษา สร้อย พัชรี พัชรัต อนันต์ และวัลลภต่างก็ได้ทยอยกันไปเยี่ยมเยียนเธอที่โรงพยาบาล แต่สุภัทรากลับบอกให้ทุกคนไม่ต้องมาเยี่ยมเธอ และขอรับแค่น้ำใจของทุกคนก็เพียงพอแล้ว เพราะหล่อนไม่อยากให้ใคร ๆ ต้องมาเห็นตัวเองในตอนนี้มากที่สุด ไม่ต้องการให้คนเห็นสภาพที่ดูย่ำแย่ของตัวเอง แต่อานนท์ก็หมั่นมาหาเธอที่โรงพยาบาล และสุนิษาก็เฝ้าอยู่ประจำที่นั่นอยู่แล้ว

สุภัทรารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน ๆ จนในที่สุด…สุภัทราก็ได้รักษาอาการป่วยจนหายและเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหมอก็ได้ให้เธอกลับมาที่บ้านได้แล้ว และยังคงต้องมาตรวจเพื่อติดตามอาการตามที่หมอนัดด้วยในทุกครั้ง

สุนิษาพาพี่สาวของตนกลับมาที่บ้านเพื่อที่จะได้พักผ่อน สุภัทราดีใจมากที่ได้กลับมาที่บ้านของตัวเองในอีกครั้ง สร้อยได้เข้ามาเยี่ยมเธอที่ห้องนอน สุภัทราหน้าตาดูดีขึ้นกว่าในตอนแรกที่หล่อนอยู่ที่โรงพยาบาลเสียอีก สร้อยรู้สึกดีใจที่ลูกสะใภ้ของตนอาการดีขึ้นมากแบบนี้

“แม่ทับทิม หมอเขาบอกว่ายังไงบ้าง? เราต้องไปหาหมออีกไหม?” สร้อยถามเรื่องอาการป่วยของลูกสะใภ้

“ค่ะ…แม่…หนูต้องไปหาหมอตามที่หมอนัดอยู่ค่ะ หมอเขาบอกว่าจะต้องตรวจดูชิ้นเนื้อว่ามันยังมีเนื้อร้ายอยู่อีกไหม? เอ่อ…หมายถึงจะมีเนื้อร้ายลามไปที่อื่นอีกหรือเปล่าน่ะค่ะ”

“อ๋อ…ดีแล้ว จะได้หายจริง ๆ เสียทีนะ”

“แม่คะ…เรื่องงานของหนูที่ฝากพัชรีไปลางานน่ะค่ะ…นี่ค่ะ…” สุภัทรายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้สร้อย

“นี่ค่ะ…ใบรับรองแพทย์ที่ต้องเอาไปให้กับทางโรงงาน หนูฝากแม่ให้เอาไปให้พัชรีดำเนินเรื่องให้หน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ” สุภัทรายกมือไหว้แม่สามีของเธอ

“โอ๊ะ!! อะไรกัน? เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวแม่เอาไปให้พัชรีมันจัดการให้ไม่ต้องห่วงหรอกนะ นอนพักเถอะ” สร้อยยิ้มอย่างยินดีที่ลูกสะใภ้ของเธอหายจากอาการป่วยและฝากฝังเธอเรื่องการลางานให้เป็นธุระด้วย

สุภัทราก็เช่นกันในเวลานี้หล่อนรู้สึกเหมือนกับได้ยกภูเขาอันหนักอึ้งออกไปจากหน้าอกของเธอได้แล้ว เหมือนกับว่าฟ้าได้ฟังคำวิงวอนภาวนาของเธอทั้งหมด มันทำให้หล่อนมีอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ…









รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว