มรสุมรักร้าย

ความจริงที่น่าละอาย

“ว้ายยยยยย”

“แม่คะ” มือที่เอื้อมไปหมายจะฉุดคนเป็นแม่เพียงนิ้วสัมผัสกันเท่านั้น จนตองนี้ตีนบันไดเต็มไปด้วยเลือดไหลออกบริเวณศีรษะคนที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือด

ปัญรินทร์หัวใจแทบสลายกลับภาพตรงหน้า ได้แต่พร่ำโทษตัวเองที่ทำให้แม่เป็นแบบนี้ก่อนจะตรงติ่งไปหามารดาพร้อมทั้งร้องเรียกเสียงสั่น ถ้าเกิดแม่เป็นอะไรขึ้นมาเธอจะไม่ให้อภัยตัวเองตลอดชีวิตเลย

“แม่คะ ฮื่อ อย่าเป็นอะไรนะคะหนูขอโทษค่ะแม่ ฮื่อ”

“อย่าไปที่นั้นอีก อยู่กับแม่ รับปากแม่สิ” ปรื่อตาฝืนเรียวแรงทั้งหมดที่มีพูด

“ค่ะ หนูจะอยู่กับแม่ ไม่ไปไหนฮื่อๆ”

จบคำคนตกบันไดหัวฟาดพื้นก็วูบดับไปเพราะพิษบาดแผล



บนเตียงคนไข้ในห้องพักรวมของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งหลังจากที่โทรเรียกรถพยาบาทมารับจนผ่านมาหนึ่งชั่วโมงเศษแล้วมารดาก็ยังไม่ฟื้น ถึงหมอจะบอกว่าท่านไม่ได้เป็นอะไรมากก็เถอะ เธอก็ยังไม่วางใจอยู่ดีเพราะท่านยังไม่ฟื้น

ตริ๊งงงงงงง

เสียงสายเรียกเข้าทำเอาคนจมดิ่งกับความรู้สึกผิดสะดุ้งจนตัวโยง เห็นว่าเป็นใครโทรมาจึงกดรับทันที

“ว่าไงกันต์”

“ทำไมวันนี้ขาดเรียน”

“เอ่อคือ..มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

“ไม่หน่อยหลอกมั้ง ปกติเฟื่องไม่เคยขาดคาบวิชาสำคัญ มีอะไรเปล่า”

“เอ่อ...ปะเปล่าพอดีมีธุระสำคัญน่ะ” จะให้เธอบอกเรื่องในวันนี้ที่เป็นสาเหตุของการขาดเรียนเธอก็ละอายใจเกินที่จะเล่าถึงจะสนิทก็เถอะ

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

“เอ่อ..เฟื่องต้องวางแล้ว ว่างจะโทรกลับนะ” ปัญรินทร์จำต้องตัดสายเพราะคนบนเตียงขยับยุกยิกก่อนจะปรื่อตาขึ้นมองรอบๆจนหยุดตรงหน้าลูกสาว

“หือ...ทำไมถึงมาอยู่ห้องพักรวม” หลังจากที่พินิจมองรอบๆจนเต็มตาเห็นคนป่วยนอนล้อมรอบอยู่หลายคนแทนที่จะได้ไปนอนห้องวีไอพี “คุณภาทรู้เรื่องนี้ยัง”

“ภาทไหนคะ ใช่ภาทที่แม่เป็น....เอ่อ”หญิงสาวลั่นปากพูดด้วยความผิดหวังที่ล้นอก จนลืมคิดก่อนพูด พอเห็นสายตาไม่พอใจของมารดา “ขอโทษค่ะ”

ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคุณภาทที่ว่าเป็นใครเพราะได้ยินหมดแล้ว

“คุณภา” เสียงเรียกมาพร้อมกับร่างภูมิฐานในชุดสูทเต็มยศปรากฏตรงปลายเตียง ก่อนจะเดินมากุมมือเมียอีกคนด้วยความห่วงใย

“ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่รู้ไหม เดินยังไงให้ตกบันได”เขาพึ่งจะมารู้ตอนที่กลับบ้านไปแล้วถามคนในบ้านว่าประภาวีอยู่ไหนถึงได้รู้ว่าหล่อนตกบันไดแต่ยังไม่ทันได้รู้รายละเอียดของสาเหตุเขาก็บึ่งรถตรงมาที่นี้ นึกโกรธคนในบ้านนักที่ไม่คิดโทรแจ้งเขาสักคน

“เอ่อ..คือว่าเฟื่อง....”

“ไม่มีอะไรหลอกค่ะ ฉันเดินซุ่มซ่ามเองเลยได้แผล” ปลายตามองปัญรินทร์ให้รู้ว่าห้ามพูดนอกเหนือจากนี้ ถึงอีกฝ่ายรับรู้และยอมเงียบ

“ระวังหน่อยสิครับ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาผมจะอยู่ยังไง”

“ภาไม่ได้เป็นอะไรนี้คะ หมอก็บอกใช่ไหมลูกเฟื่อง”

“เอ่อ..ค่ะ”

“รบกวนหนูเฟื่องแล้ว” เศรษฐาส่งยิ้มเอ็นดูไปให้สาวรุ่นลูกอย่างนึกขอบคุณ ถึงแม้จะแปลกกัลป์รอยยิ้มแปล่งๆที่ไดรับกลับมาก็เถอะ ปัญรินทร์คงยังไม่คุ้นชินกับเขาในฐานะพ่อเลี้ยงเลยไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เศรษฐาคิดเองในใจก่อนจะหันไปสั่งให้เลขาที่ติดสอยมาด้วยไปเคลียเรื่องย้ายคนป่วยไปห้องวีไอพีที่แพงที่สุดของโรงพยาบาล

“ไม่เห็นต้องลำบากเลยค่ะ ภาอยู่ได้”

“ได้ไงละครับ ผมจะให้ภรรยาผมอยู่ในห้องรวมกับคนอื่นได้ไง”

คำว่าภรรยาของชายวัยกลางคนที่นั่งตรงข้างเธอมันแปล่งหนูพิลึก พลางคิดไปถึงภรรยาที่บ้านเขาแล้วก็นึกเห็นใจที่มีสามีเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ไม่ให้เกียติภรรยาตัวเองทั้งยังยกย่องคนที่พึ่งพบเจอเป็นภรรยาอีก

น่าสงสารจริงๆ


หลังจากไปเยี่ยมประภาวีเสร็จจนดึก ใจจริงอยากจะนอนเฝ้าด้วยซ้ำแต่ก็ยังห่วงความรู้สึกของภรรยาตีทะเบียนอยู่จึงต้องกลับมานอนบ้านป่านนี้คงหลับไปแล้วเพราะนี้ก็ดึกมาก แต่ผิดคลาดแทนที่ห้องนอนจะมืดมิดกลับสว่างจ้าเพราะแสงไฟบ่งบอกว่าคนในห้องยังไม่นอน

“ทำไมยังไมนอนอีกล่ะ นี้ก็ดึกมากแล้วนะ” ถามน้ำเสียงอ่อนลงกว่าตอนช่วงกลางวัน จ้องตาภรรยาที่บวมเป่งเพราะผ่านการร้องไห้มา

“พรุ่งนี้ยายข้างจะเดินทางกลับจากไปเที่ยว เตรียมคำตอบให้แกด้วยล่ะ” กัญญาร์รู้ดีว่าสามีตนห่วงความรู้สึกของลูกสาวคนเล็กแค่ไหนเพราะเลี้ยงตามใจมาแต่เด็กเอาใจสารพัด จนรับรู้ได้ถึงสีหน้าที่ตรึงเครียดของเศรษฐา

“ไหนว่าอาทิตย์หน้าไง”

“ฉันก็ไม่รู้ อ่อยังมีอีกเรื่องตาฟาร์มจะกลับอาทิตย์หน้าหรือไม่ก็เร็วกว่านั้น”

คนมีความเครียดยิ่งเครียดลงไปอีก ทั้งลูกชยลูกสาวประดังประเดเข้ามาพร้อมกันจนพ่อตั้งรับไม่ทั้ง ลูกสาวที่ไปเที่ยวร่วมแก็งกับเพื่อนกำหนดกลับอาทิตย์หน้า ลูกชายคนโตกำหนดกลับเดือนหน้าที่บินไปเรียนต่อปริณญาโทที่อเมริกา ทำไมมันกะชันชิดติดกันอย่างนี้จนเขาที่ว่าสามารถเคลียร์ทุกอย่างได้เริ่มไม่มั่นใจแล้ว

“ไหนตาฟาร์มบอกว่าจะขออยู่ที่ต่อสักเดือนไงถึงจะกลับ คุณคงไม่ได้บอกลูกใช่ไหม”

“ถึงฉันไม่บอกแกก็คงรู้ เพราะแกรู้จักสันดารพ่อตัวเองดี”

“คุณกัญญาร์” มันไม่ใช่เสียงตวาดหากแต่เป็นเสียงข่มอารมณ์โกรธเสียมากกว่า

“รีบเข้านอนนะคะจะได้นอนคิดเตรียมคำตอบให้ลูกๆ ฉันไปล่ะ” เธอจะไม่ยอมนอนร่วมห้องกับสามีคนนี้อีกแล้วพอกันที แค่ที่ผ่านมาก็เกินพอ



“พรุ่งนี้หมอก็บอกว่าออกได้แล้วค่ะ”ประภาวีบอกเล่าแก่ เศรษฐาที่มานั่งป้อนข้าวเธอแต่เช้า ว่าพรุ่งนี้หล่อนก็จะออกโรงพยาบาลได้แล้ว

เศรษฐาขานรับในลำคอส่งยิ้มให้คนป่วยเสียเต็มประดา ทว่าในใจกลับร้อนลนกลับปัญหาที่กำลังจะเกิด

“หนูเฟื่องวันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง” ชายวัยกลางคนหันไปถามลูกเลี้ยงสาวที่นั่งอยู่โซนหนึ่งบนโซฟาตัวยาว เขาพอจะรู้จากประภาวีมาบ้างว่าปัญรินทร์ยังเรียนไม่จบ

“เอ่อ..คือเฟื่องโทรไปลาแล้วค่ะ” จะให้เธอไปเรียนสบายใจทั้งที่มารดานอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลที่มีสาเหตุมาจากเธอได้ยังไง

“หือ..หนูไปเรียนเถอะทางนี้ฉันจะจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลเอง ไม่ต้องห่วง”

“อย่าลำบากเลยค่ะ เฟื่องดูแลแม่เองได้”

เศณษฐายกมือห้ามก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยนให้สาวรุ่นลูกเบาใจ “ไม่ต้องห่วงหรอก หนูไปเรียนเถอะเห็นว่าเรียนใกล้จบแล้วขาดเรียนบ่อยเดี๋ยวจบไม่ทันเพื่อนนะ”

“ไปเถอะยายเฟื่องแม่อยู่ได้ ลูกไปเรียนเถอะ”

เหตุผลร้อยแปดของชายที่ขึ้นชื่อว่าพ่อเลี้ยงหยิบยกมาอ้างทำเอาเธอลำบากใจไหนจะเสียงเสริมทัพของแม่อีกปัญรินทร์จำต้องพยักหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ปัญรินทร์ออกไปตามหลังด้วยเศรษฐาออกไปทำงานก็มีพยาบาลพิเศษเข้ามาดูแลเธอ ประภาวีจึงไล่ออกไปเพราะไม่ชอบมานั่งจ้องตลอดเวลา เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่วางข้างเตียงดังขึ้นถึงจะหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการนอนมือก็จำต้องเอื้อมไปรับ แต่ก็ต้องตกใจเพราะชื่อที่โชว์โทรเข้ามา

“ไอ้บ้านี้ อย่าหวังว่าฉันจะรับเลย”

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว