วายร้ายสายมโน-วายร้ายสายโน # 2 ช๊อคจร้า

โดย  กันนาร์

วายร้ายสายมโน

วายร้ายสายโน # 2 ช๊อคจร้า

บทที่ 2

ความสับสนที่ต้องตัดสินใจ


อีริคกลับมาอยู่ที่คอนโดหรูส่วนตัวหลังเลิกงาน จากที่ปกติเขามักจะกลับบ้านทุกเย็นวันศุกร์เพื่อจะได้ใช้เวลากับครอบครัวในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เขารู้ว่ามารดาจะต้องไม่สบายใจหากไม่เห็นเขาที่บ้านเย็นนี้ แต่เขายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าท่านจริงๆ ร่างสูงอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนี้

4 ชั่วโมงที่แล้ว

อีริค คาเตอร์ ที่กำลังนั่งเจรจาธุรกิจสำคัญกับลูกค้าชาวแคนาดานิ่วหน้า เมื่อเห็นเลขาของเขาเคาะประตูห้องแล้วเดินเข้ามาในเวลาที่เธอไม่ควรอย่างยิ่งที่จะรบกวนเขา คนที่กำลังตัวสั่นเพราะรู้ว่าตนบกพร่องในหน้าที่ขออนุญาตทุกคนแล้วเดินตรงมาหาเจ้านายผู้ที่เลื่องลือถึงความเข้มงวดกับกฎระเบียบของบริษัท แต่ให้ตายสิ ใครจะเข้าใจเธอบ้างว่าเธอก็ไม่มีทางเลือก เลขาสาวก้มลงกระซิบที่หลังใบหูของเจ้านายหนุ่ม สายตาดุที่ตวัดมองมายังเธอทำให้หญิงสาวพาลแข้งขาอ่อน ขอให้เธออย่าโดนไล่ออกเลย ได้โปรด!

อีริค หันไปคุยกับลูกค้าของเขาหลังจากที่ฟังรายงานบางอย่างจากเลขาสาว

“มิสเตอร์บอร์ดแมน ผมต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่งที่เราคงต้องคุยกันเพียงเท่านี้ก่อน ผมมีธุระส่วนตัวเร่งด่วนที่จะต้องไปจัดการ มันค่อนข้างที่จะฉุกเฉิน หากคุณไม่ว่าอะไรผมขออนุญาตนัดคุณใหม่อีกทีพร้อมกับข้อเสนอที่รับรองว่าคุณจะต้องพึงพอใจ”

“ไม่มีปัญหามิสเตอร์คาร์เตอร์ แล้วผมจะรอ”

“ขอบคุณครับที่เข้าใจ ต้องขอโทษอีกครั้งด้วย เคธี่เดินไปส่งคุณบอร์ดแมน”

เมื่อลูกค้าและเลขาสาวออกไปจากห้องทำงานของเขาแล้ว อีริคจึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย

“นี่นายทำบ้าอะไรอยู่ฮะอีริค ทำไมเพิ่งจะรับสาย” ปลายสายต่อว่าเขาทันทีที่มันสบโอกาส

“มีอะไรก็ว่ามา ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันยอมคุยกับนายไมเคิล อย่าได้บังอาจมาออกคำสั่งกับฉันอีก” ร่างสูงตอบโต้คนที่กล้าฉกคู่หมั้นของเขาไปเป็นผู้หญิงของตัวมันเองได้อย่างหน้าตาเฉย

“เฮอะ ฉันก็ไม่อยากจะเสวนากับนายนักหรอก หากลูกสาวของนายจะไม่ได้ต้องการเลือดชั่วจากพ่อที่ไร้ความรับผิดชอบ”

“ลูกสาว? นายกำลังพูดบ้าอะไร” ยังไม่ทันที่ไอ้บ้านั่นจะตอบคำถามของเขา อีริคก็ได้ยินเสียงหวานใสของอดีตคู่หมั้นขอคุยกับเขาแทนไมเคิล

“อีริคคะ พรีมต้องการความช่วยเหลือจากคุณด่วนที่สุด รบกวนให้คุณมาที่โรงพยาบาลที่เราส่งโลเกชั่นให้ก่อนได้ไหมคะ รีบๆมานะคะ แล้วพรีมจะอธิบายให้คุณฟังทีหลัง”

แม้จะยังไม่เข้าใจว่าไอ้คนที่มันแย่งคู่หมั้นของเขาไปกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าชายหนุ่มควรจะรีบไปที่โรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก

“อีริค”

เสียงเรียกที่หน้าโรงพยาบาลทำให้ร่างสูงในสูทราคาแพงสีกรมท่าหันหลังไปมอง

“คุณแม่ มาตรวจสุขภาพประจำปีเหรอครับ”

“จ้ะ แล้วนี่ลูกมาทำอะไรที่นี่จ๊ะ ทำไมถึงได้รีบร้อนจนถึงขนาดมองไม่เห็นแม่น่ะ”

“ผมก็ยังงงๆเหมือนกันครับคุณแม่ มีคนอ้างว่าลูกสาวของผมกำลังได้รับบาดเจ็บและต้องการให้ผมมาที่นี่ด่วน นี่มันตลกร้ายชัดๆ ผมไปมีลูกสาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฮึ!” ร่างสูงบ่นยาวเหยียด เมื่อเห็นผู้เป็นแม่หน้าซีดเขาก็เริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง

“คุณแม่มีอะไรจะบอกผมหรือเปล่าครับ” ยังไม่ทันได้คาดคั้นจากผู้เป็นมารดา คู่ปรับตลอดกาลของเขาก็ปรากฏตัวขึ้น

“ทำบ้าอะไรของนายฮะอีริค รีบตามฉันมาเร็วเข้า”

อีริคกำลังจะก่นด่าคนที่เขาเพิ่งต่อยหน้ามันไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน แต่มือของมารดาที่แตะตรงแขนทำให้เขาเลือกที่จะเงียบ

“มะ แม่ขอไปดูหลานด้วย” ชายหนุ่มเลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน มารดาจะต้องมีคำอธิบายให้เขาอย่างแน่นอน

เมื่อชายหนุ่มได้พบกับร่างเล็กของเด็กน้อยตรงหน้าที่นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้พร้อมกับสายระโยงระยาง สมองของเขาที่มักจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอก็ถึงกับหนักอึ้งจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก ไม่แปลกใจที่ใครต่อใครรวมถึงอดีตคู่หมั้นสาวจะคิดว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นลูกของเขา เพราะเธอหน้าตาเหมือนเขาราวกับแกะ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า สีผม จมูก ปาก หรือแม้แต่กรุ๊ปเลือด

ร่างสูงสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่กำลังก่อตัวขึ้นในห้องพักคนไข้ สัญชาติญาณบอกเขาว่าความวุ่นวายอีกหลายๆอย่างกำลังจะตามมา อีริคมองอดีตคู่หมั้นสาวที่กำลังเดินมาหาเขา

“อีริคคะ ไลลา...” เธอเงียบไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่

“ลูกสาว...ของคุณ...ได้รับอุบัติเหตุหนัก และทางโรงพยาบาลต้องการเลือดกรุ๊ปโอด่วน คุณพอจะช่วยเธอได้ไหมคะ ถือว่าฉันขอร้องล่ะค่ะ”

“ลูกสาว? ของผม? บ้าเอ๊ย! พรีม คุณกำลังเข้าใจผมผิด ผมไม่เคยมีประวัติทำใครท้องมาก่อน คุณก็น่าจะรู้”

หญิงสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างยากลำบาก

“ไลลาเป็นลูกของคุณ…กับน้องพาย น้องของพรีม”

พริมายื่นรูปถ่ายชุดหนึ่งให้กับอดีตคู่หมั้น มันเป็นรูปของน้องสาวคนสุดท้องกับอีริคที่เธอบังเอิญค้นเจอในห้องของเพทาย มือใหญ่เลื่อนดูรูปถ่ายทีละรูปก่อนจะหยุดลงที่รูปถ่ายใบหนึ่งซึ่งมีร่างของชายหนุ่มหน้าเหมือนเขาเปลือยท่อนบนยืนเท้าแขนบนขอบหน้าต่าง

“นี่ไม่ใช่ผมพรีม ผมไม่มีรอยสักที่ด้านหลัง” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวออกแล้วหันหลังให้กับทุกคน ไมเคิลดึงร่างเล็กของพริมาให้ออกห่างจากเขาอย่างหวงก้าง

ไอ้บ้าเอ๊ย! นั่นมันคู่หมั้นฉันนะโว้ย! ถึงแม้จะเป็นแค่อดีตก็เถอะ!

“แกอาจจะลบรอยสักออกก็ได้” ไอ้บ้านั่นยังไม่วายใส่ร้ายป้ายสีเขา

“ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น” ชายหนุ่มมองไปยังร่างของเด็กหญิงที่อยู่บนเตียง เขารู้สึกสงสารและถูกชะตากับร่างตัวน้อยตรงหน้าอย่างน่าประหลาด

“ช่วยเด็กก่อนแล้วเราค่อยคุยกันถึงเรื่องนี้ทีหลัง พรีม! คุณต้องมีคำอธิบายดีๆให้ผม” อีริคเอ่ยบอกอดีตคู่หมั้นที่เริ่มมีสีหน้าสับสน ก่อนจะเรียกพยาบาลให้ทำการเจาะเลือดเขาอย่างเร็วที่สุด

ร่างสูงที่เพิ่งบริจาคเลือดเสร็จเดินออกมาสบทบกับทุกคนอีกครั้ง

“เอาล่ะ เราทุกคนต้องคุยกัน ผมยังยืนยันว่าตนเองไม่ใช่ผู้ชายในรูปถ่ายของน้องพายน้องของพรีม นั่นหมายความว่า ผม...ไม่ใช่พ่อของไลลา”

อีริคเดินเข้ามาหาพริมา ซึ่งไมเคิลก็ก้าวมาบังร่างเล็กอีกครั้งอย่างแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

“เธอเป็นของฉัน” อีริคชะงักนิ่งกับคำพูดของไมเคิลก่อนจะแค่นยิ้มกับภาพตรงหน้าอย่างเย้ยหยัน

“หึ! ถึงขั้นนี้ ฉันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่”

“อีริค” เสียงเรียกชายหนุ่มจากปากมารดาที่นั่งเงียบอยู่นานทำให้ร่างสูงหันไปมอง แม่ของเขากำลังถือรูปถ่ายทั้งหมดเอาไว้ในมือ

“แม่มีเรื่องจะบอกลูก”

ไมเคิลสั่งให้ทุกคนออกจากบริเวณนั้นทันที ยกเว้นอีริค คุณนายคาร์เตอร์ พริมา และเขา

“ผู้ชายที่อยู่ในรูปนี้กับหนูพาย...คือพี่ชายฝาแฝดของลูก...อีริค”

แม้พอจะคาดเดาเรื่องราวบางอย่างได้ลางๆ แต่พอได้ฟังความจริงจากปากผู้เป็นมารดา อีริคก็ยังรู้สึกตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่ได้รับรู้ตรงหน้า

“ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับโลแกน คาร์เตอร์ แม่เคยมีสามีมาก่อนและมีลูกแฝดกับเขา เราตั้งชื่อเด็กทั้งสองว่าอีธาน...และอีริค ตอนนั้นเราอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค ทันทีที่แม่คลอดลูกทั้งสองเราก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้น เขาเป็นคนไม่มีอนาคต แม่เลยตัดสินใจแยกทางกับเขา”

คุณนายคาร์เตอร์เม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจเล่าต่อ

“เขาขออีธานไปดูแล ส่วนแม่ก็ดูแลลูก ตอนนั้นแม่ไม่มีเงินเก็บเลยแต่เขามี แม่จึงยอมให้เขาดูแลอีธาน ส่วนแม่ก็พยายามเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...หลังจากนั้นหนึ่งปีแม่ก็พบกับโลแกนที่ไปประชุมที่นิวยอร์ค เขาขอแม่แต่งงานและเราก็ย้ายมาอยู่ที่แคลิฟอเนียร์ด้วยกัน”

อิริคขบกรามแน่นพร้อมกับหลับตาลง มันยากเหลือเกินที่จะยอมรับว่า เขาไม่ใช่ลูกของโลแกน คาร์เตอร์ คนที่ชายหนุ่มคิดมาตลอดว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้า พ่อที่เขาทั้งรักทั้งเคารพเทิดทูน พ่อที่ทิ้งมรดกและธุรกิจครอบครัวมากมายมหาศาลไว้ให้เขาก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไปเมื่อสองปีก่อน

“เพราะลูกเพิ่งจะหนึ่งขวบ โลแกนจึงเสนอให้แม่ปิดเรื่องนี้เป็นความลับและเลี้ยงดูลูกเหมือนลูกแท้ๆของเขา”

“แล้วเอริก้า” ชายหนุ่มเอ่ยถึงน้องสาวขึ้นมา

“เอริก้าเป็นลูกของแม่กับโลแกน” คุณนายคาร์เตอร์เงียบไปก่อนจะอธิบายต่อ

“เมื่อสองสามปีที่แล้ว สามีเก่าของแม่ได้ติดต่อมาหาแม่ เขาบอกว่าอีธานรู้เรื่องทุกอย่างและโกรธแค้นแม่มาก แล้วเขาก็หายตัวไปจากนิวยอร์ค อีธานมาที่แคลิฟอเนียร์ เขาติดต่อมาหาแม่ ตัดพ้อต่อว่าแม่ว่าที่เขามีชีวิตที่ตกต่ำอยู่ทุกวันนี้เพราะแม่ไม่พาเขามาด้วยตั้งแต่แรก แม่ไม่กล้าปรึกษาโลแกนเพราะเขากำลังป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ไม่อยากให้เขามีเรื่องไม่สบายใจเพิ่มอีก แม่บอกอีธานว่าแม่จะติดต่อเขาไปอีกที พร้อมกับเอาเงินก้อนหนึ่งให้เขาไว้ใช้ นึกไม่ถึงว่าอีธานเริ่มที่จะปลอมตัวเป็นลูก”

อีริคก้มหน้าลง เขาจำได้ลางๆว่าเมื่อสองปีก่อนมีผู้หญิงสองสามคนมาตัดพ้อต่อว่าเขาที่บริษัท แต่ไม่นานพวกเธอก็หายไป

“แม่คุยกับอีธานอีกครั้ง ขอให้เขาเลิกทำให้ลูกเสียชื่อเสียง เขาขอเงินอีกก้อนใหญ่ซึ่งแม่ก็ยอมให้ไป แม่พูดคุยกับเขาอยู่นาน ขอให้เขาหางานทำดีๆเขาก็รับปาก แม่เห็นเขาเงียบไปเลยวางใจ และตอนนั้นก็กำลังยุ่งกับงานศพของโลแกน แม่เลยไม่รู้ว่าเขาปลอมตัวเป็นลูกอีกครั้ง เขาคงจะอ้างกับน้องสาวของหนูพรีมว่าเขาเป็นลูก”

อีริคยกมือขึ้นกุมศีรษะก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ เขาจำได้ว่าน้องสาวคนเล็กของคู่หมั้นสาวมาบอกตนเองว่ากำลังท้องกับเขา เพราะคิดว่าเธอโกหกและตอนนั้นเขาก็กำลังแก้ปัญหาใหญ่ในบริษัท จึงค่อนข้างที่จะอารมณ์ไม่ดี เขาถึงได้ตวาดเธอกลับไป ถ้าหากตอนนั้นเขาใจเย็นกว่านี้สักนิด และยอมแบ่งเวลาที่มีอยู่เพื่อรับฟังเพทายพูดเสียหน่อย เรื่องก็อาจจะไม่จบลงแบบนี้ เพทายอาจจะไม่ต้องมารับเคราะห์และพริมาคู่หมั้นของเขาก็คงจะไม่เข้าใจผิดจนตัดสินใจหนีไป


ผ่านไปก็หลายชั่วโมงแล้วหลังจากที่เขาได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่อีริคก็ยังรู้สึกสับสนและเหนื่อยกับมันทุกครั้งที่นึกถึง ร่างสูงเอนตัวนอนลงบนโซฟาที่ห้องรับแขกในคอนโดหรู เขาเพียงแค่คิดจะหลับตาพักสักครู่ แต่ความเหนื่อยล้าในวันนี้ทำให้เขาผล็อยหลับไปจริงๆ

สองชั่วโมงถัดมาร่างสูงถึงได้ตื่นขึ้นมา เมื่อเช็คดูนาฬิกาหรูที่ข้อมือก็พบว่าเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว พอได้นอนพักเขาก็รู้สึกว่าสมองเริ่มปลอดโปร่งขึ้น เมื่อนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆอีกครั้ง อีริค คาเตอร์ ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป!

ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ทายาททางสายเลือดโดยตรงของโลแกน คาร์เตอร์ ก็แล้วยังไงล่ะ! ไม่มีอะไรมาลบความจริงที่ว่าเขาเป็นลูกของโลแกนและโลแกนก็เป็นพ่อของเขาไปได้ ท่านได้ตัดสินใจยกบริษัทให้เขาอย่างชอบธรรมก่อนที่จะลาจากโลกนี้ไปเพื่อที่เขาจะได้ดูแลมารดาและน้องสาวต่อจากท่านได้ พ่อฝากเขาให้ดูแลแม่กับน้องให้ดี แล้วเขาจะทำให้ท่านที่อยู่บนฟ้าผิดหวังได้อย่างไร!

อีกอย่าง ไม่มีใครที่จะดูแลบริษัทนี้ได้ดีกว่าเขาอีกแล้ว แม้เอริก้าน้องสาวของเขาจะเป็นทายาททางสายเลือดโดยตรงของพ่อ แต่น้องไม่เคยสนใจด้านซอฟแวร์เลยด้วยซ้ำ และตอนนี้เธอเองก็กำลังมีความสุขกับการเรียนออกแบบแฟชั่น คงไม่ยอมทิ้งความฝันมาดูแลทั้งบริษัทที่เธอคิดว่าน่าเบื่ออย่างแน่นอน บริษัทนี้คือความรับผิดชอบโดยตรงที่เขาจะปัดทิ้งไม่ได้ และตอนนี้เขาก็ควรจะกลับบ้านเพื่อไปอยู่กับครอบครัวได้แล้ว...

พอนึกถึงคำว่าครอบครัว อีริคก็อดนึกถึงฝาแฝดของเขาที่ชื่ออีธานและพ่อบังเกิดเกล้าของเขาไม่ได้ เขาจะต้องหาอีธานให้เจอ เพื่อที่จะคุยกับอีธานให้รู้เรื่อง ตอนนี้เห็นชัดแล้วว่ามารดาของเขายังแก้ไขต้นตอของปัญหาทั้งหมดไม่ได้ เขาซึ่งมีหน้าที่ปกป้องแม่และน้องสาว จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องราวทั้งหมด อีริคไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีทางออกดีๆสำหรับทุกคน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเวลา และเพราะไม่รู้นิสัยใจคอของฝาแฝดอีกคน เขาจึงควรจะรักษาความปลอดภัยให้คนใกล้ตัวของเขาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก

อีริค ขับรถกลับบ้านทันทีที่เขาหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้ ทันทีที่เห็นมารดากับน้องสาวยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านอย่างกระวนกระวายใจ เขาก็รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้อง มารดาวิ่งมากอดเขาทันทีที่ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ

“แม่นึกว่าลูกจะไม่กลับบ้านเสียแล้ว”

“กลับสิครับ” อีริคกอดตอบผู้เป็นมารดาแน่น

“มีอะไรกันเหรอคะ คุณแม่ พี่อีริค” เอริก้าผู้เป็นน้องสาวเดินมาสบทบกับทั้งสอง วันนี้มารดาของเธอทำตัวประหลาดนัก

“ไม่มีอะไรจ้ะ ป่ะ ไปทานข้าวเย็นกัน พี่ขอโทษนะคะที่กลับมาบ้านช้า” อีริคตอบคำถามผู้เป็นน้องสาวแทนมารดา ก่อนที่จะโอบร่างเล็กของสตรีทั้งสองเดินเข้าไปในบ้าน

“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้หนูมีเรื่องมาเล่าให้คุณแม่กับพี่อีริคฟังเยอะแยะเลย”

“ไหนบอกมาซิ ว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง” อีริคถามผู้เป็นน้องสาวเมื่อทุกคนเดินมาถึงโต๊ะอาหาร

“วันนี้หนูออกแบบเครื่องประดับอัญมณีชุดใหม่ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวหนูจะขึ้นไปเอาแบบบนห้องมาให้พี่อีริคกับคุณแม่ดู” ว่าแล้วร่างเล็กก็วิ่งแจ้นขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองทันที เมื่อผู้เป็นน้องสาวไม่อยู่ อีริคก็บอกให้แม่บ้านทุกคนไปพักได้

“ลูกไม่อยากให้แม่บอกเอริก้าเหรอจ๊ะ” ผู้เป็นมารดาถามลูกชายคนโตของเธอ

“ผมจะเป็นคนบอกน้องเองครับ ผมอยากให้เรื่องนี้กระทบกับน้องให้น้อยที่สุด แต่ก่อนอื่น ผมคิดว่าเราควรจะจ้างบอดี้การ์ดดูแลเอริก้ากับคุณแม่ห่างๆ เพราะผมไม่รู้ว่าอีธานจะเคลื่อนไหวอะไรอีก”

“แต่อีธานหายไปเกือบสองปีแล้ว แม่เองก็ติดต่อเขาไม่ได้เลย เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะไม่อยู่ที่แคลิฟอเนียร์แล้ว”

“แต่ผมไม่อยากประมาท จนกว่าเราจะหาอีธานเจอ ผมจะฝังชิพติดตามตัวคุณแม่กับเอริก้าเอาไว้ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”

“แม่ว่าคงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกนะลูก อย่างน้อยอีธานก็เป็นพี่ชายของลูก”

“ผมทราบครับ อย่างที่ผมได้เรียนคุณแม่แล้วว่าผมไม่อยากประมาท ผมคงทนไม่ได้หากเอริก้าจะมีชะตาชีวิตเหมือนกับน้องพายน้องของพรีม”

“แต่เอริก้าก็เป็นน้องของอีธาน เขาคงไม่...”

“เขายังไม่ทราบนี่ครับว่าเอริก้าเป็นน้องแท้ๆของเขา หากผมจะล้อมคอกก่อนที่วัวจะหาย คุณแม่คงจะไม่ว่าอะไร”

“แม่แล้วแต่ลูกจ้ะ อีริค...แม่ขอโทษ”

ร่างสูงเอื้อมไปจับมือของมารดาอย่างปลอบโยน

“ผมเชื่อว่าคุณแม่ทำดีที่สุดแล้วครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณแม่ ทำใจให้สบายนะครับ ผมจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างเอง”

“ขอบคุณนะลูก แม่ภูมิใจในตัวลูกที่สุด”

ร่างเล็กของสาวน้อยที่เพิ่งวิ่งลงมาจากบันไดบ้านชะงัก เมื่อเห็นท่าทางของมารดาและพี่ชายบนโต๊ะอาหาร

“คุยเรื่องอะไรกันคะ ท่าทางเครียดเชียว”

“เครียดตรงไหน หืม! พี่กำลังคุยกับคุณแม่ว่า เราจะเห่อเรียนออกแบบเครื่องประดับเป็นพักๆเหมือนตอนเรียนวาดภาพหรือเปล่า”

“ไม่แน่นอนค่ะ คราวนี้ของจริง”

“งั้นไหนเอางานมาให้พี่ดูสิคะ จะได้รู้กันไปว่าเราจริงจังหรือว่าจิงโจ้”

“ได้เลยค่ะ ” ร่างเล็กของผู้เป็นน้องสาวยื่นภาพเครื่องประดับที่ตนเป็นผู้ออกแบบให้กับผู้เป็นพี่ชายด้วยรอยยิ้มกว้าง พี่ชายผู้ที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว