เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าตัวเองได้ย้อนกลับมาอยู่ในวัยสิบเจ็ดปี สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความยินดีให้เขาอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดีเหลือเกิน...
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากแย้มยิ้มจนสองตาตีวงโค้ง
เขาสามารถเห็นฉู่อวี๋ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกครั้ง
และครั้งนี้...
เขาจะดีต่อนางให้มากที่สุด
กู้ฉู่เซิงรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินก็ยังไม่เห็นเงาของฉู่อวี๋
สิ่งที่แตกต่างจากความทรงจำทำให้เขาเกิดความกังวล นายทหารคนนั้นหมดความอดทนไปแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายรีบขี่ม้ามาหาแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ออกเดินทางได้แล้ว!”
กู้ฉู่เซิงมองประตูเมืองที่มีคนเข้าๆ ออกๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วออกเดินทาง
ไม่เป็นไร... ฉู่อวี๋จะต้องตามมาแน่
ฉู่อวี๋ในวัยสิบห้ามีความรักลึกซึ้งในตัวเขา เขาย่อมรู้ดีกว่าใคร
ชาติที่แล้วนางมา ชาตินี้นางก็ต้องมาแน่!
ขณะที่กู้ฉู่เซิงออกเดินทางตามเส้นทางชีวิตของตนนั้น ฉู่อวี๋ก็กำลังนอนหลับฝันหวาน
เมื่อนางตื่นขึ้นก็ได้รับข่าวที่ฉู่จิ่นสั่งให้คนส่งมาให้ น้องสาวบอกว่ากู้ฉู่เซิงเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว ฉู่อวี๋ไม่สนใจว่ากู้ฉู่เซิงจะออกจากเมืองหลวงหรือไม่ ที่นางสนใจมากกว่าก็คือ เหตุใดน้องสาวคนนี้จึงมีหูตามากมาย
นางไม่รู้เรื่องข้างนอกแม้แต่น้อย แต่คุณหนูเล็กอย่างฉู่จิ่นกลับรู้เรื่องกู้ฉู่เซิงออกจากเมืองหลวงได้อย่างไร เรื่องนี้ฉู่จิ่นคงได้ข่าวมาจากกู้ฉู่เซิง ซึ่งบอกได้ว่าความจริงหลายปีมานี้กู้ฉู่เซิงและฉู่จิ่นต่างก็ไม่เคยตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกัน
ในขณะที่ฉู่จิ่นบอกว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ กับกู้ฉู่เซิง แต่เพื่อให้พี่สาวหนีตามกู้ฉู่เซิงไปนั้น นางกลับยังรักษาการติดต่อกับกู้ฉู่เซิงเอาไว้
ฉู่อวี๋แหย่กระดาษในมือกับอ่างไฟก่อนจะออกคำสั่งกับสาวใช้ “ไปบอกคุณหนูรองว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้า เรื่องระเบียบต่างๆ คงไม่ต้องให้ข้าพูดมาก นางควรรู้ดี” ว่าแล้วฉู่อวี๋ก็เงยหน้ามองสาวใช้ “จวนแม่ทัพมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ให้นางจำไว้ให้ดี!”
สาวใช้คนนั้นไม่รู้รายละเอียดในกระดาษ นางถูกฉู่อวี๋ตำหนิจนรีบลนลานจากไป ฉู่อวี๋มองแสงไฟที่ติดๆ ดับๆ อยู่ในอ่างไฟแล้วถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง
กระดาษแผ่นนี้ทำให้นางหมดสิ้นความรู้สึกดีๆ กับน้องสาวแท้ๆ ของตน นิสัยปากว่าตาขยิบของฉู่จิ่นนั้นมิใช่นิสัยที่เกิดขึ้นในอนาคตแต่เป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในกมลสันดานของนางต่างหาก!
ตอนนั้นนางชอบกู้ฉู่เซิง แต่เพราะเขาเป็นคู่หมายของฉู่จิ่น นางจึงไม่เคยแสดงออก หลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยพูดอะไรกับเขาแม้สักคำเดียว แม้แต่เวลาพบหน้ากันยามปกติก็มักจะหลีกหนี เมื่อฮ่องเต้พระราชทานสมรสนางจึงตกปากรับคำ นางคิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว แม้แต่ตอนที่นางไล่ตามกู้ฉู่เซิงไปถึงคุนหยาง กู้ฉู่เซิงเองก็ยังคาดไม่ถึง
ถ้าไม่ใช่เพราะฉู่จิ่นมาคร่ำครวญ ถ้าไม่ใช่ฉู่จิ่นมาขอร้องแล้วบอกว่าไม่ชอบกู้ฉู่เซิง นางจะทนรอกู้ฉู่เซิงไปทำไม
ด้านหนึ่งบอกว่าตัวเองไม่ชอบกู้ฉู่เซิง อยากให้พี่สาวไล่ตามความรักที่แท้จริง แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังตัดบัวเหลือเยื่อใยกับเขาอยู่
ฉู่อวี๋รู้สึกจนใจ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉู่จิ่นจึงมีนิสัยเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นบุตรีในจวนแม่ทัพ ทั้งๆ ที่เป็นลูกสาวจากภรรยาเอกเหมือนกัน แล้วเหตุใดจึงมีนิสัยที่แตกต่างกันเช่นนี้ได้
ฉู่อวี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่อยากคิดให้เสียเวลา ตอนนี้นางหากระดาษพู่กันมาเพื่อใช้เขียนเรียบเรียงเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วเท่าที่ตนยังจำได้ ในเมื่อได้มีโอกาสเกิดใหม่อีกครั้งนางย่อมไม่กลับมาอย่างเสียเปล่าแน่
ในช่วงเวลาอันใกล้นี้เหตุการณ์ใหญ่ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นคนตระกูลเว่ยต้องสังเวยชีวิตในสนามรบ
ในวันแต่งงานของฉู่อวี๋กับเว่ยจวิ้น มีรายงานด่วนจากชายแดนถูกส่งมาทำให้เว่ยจวิ้นต้องติดตามบิดาออกรบ
ตระกูลเว่ยมีบุตรชายทั้งหมดเจ็ดคน มีเว่ยอวิ้นเป็นลูกชายคนที่เจ็ด เขาอายุน้อยที่สุดแต่ก็ติดตามบิดาและพี่ๆ เข้าสนามรบเช่นกัน ทุกคนต่างก็คิดว่าเทพสงครามตระกูลเว่ยคงจะกลับมาพร้อมกับชัยชนะในเวลาไม่นานเหมือนทุกๆ ครั้ง ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกลับมีข่าวว่ากองทัพทหารหาญจำนวนเจ็ดหมื่นภายใต้การนำของตระกูลเว่ยต้องตายอยู่ในหุบเขาไป๋ตี้ทั้งหมด
น้องเล็กเว่ยอวิ้นนำโลงศพคนในครอบครัวกลับเมืองหลวงและถูกศาลต้าหลี่สอบสวน จากนั้นสาเหตุที่พ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ถูกประกาศออกมาว่านายท่านใหญ่ตระกูลเว่ย ‘เจิ้นกั๋วโหวเว่ยจง’ ไม่ฟังคำสั่งของฮ่องเต้ ลอบนำทหารไล่บดขยี้ทัพแตกพ่ายของเป่ยตี๋ขึ้นเขาไป เป็นเหตุให้ทหารล้มตายจำนวนมาก
หลังจากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไป ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างแสดงท่าทีว่าต้องการตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลเว่ย นอกจากสะใภ้รอง ภรรยาของคุณชายรองเว่ยซู่ที่ฆ่าตัวตายตามสามีแล้ว สะใภ้และอนุภรรยาคนอื่นๆ ต่างทยอยกันขอหนังสือหย่า เว่ยอวิ้นตั้งตนเป็นตัวแทนพี่ชายทั้งหลายเขียนหนังสือหย่าร้างให้สตรีเหล่านี้ เพียงพริบตาเดียวตระกูลเว่ยก็แตกฉานซ่านเซ็น จวนโหวอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเว่ยอวิ้นและหลานๆ ซึ่งยังไม่เติบใหญ่อีกห้าชีวิต
ตอนนั้นฉู่อวี๋ติดตามกู้ฉู่เซิงไปไกลถึงคุนหยาง คุนหยางเป็นเมืองอันดับสองของชายแดนเหนือ เป็นแหล่งขนส่งเสบียงที่สำคัญ
ตอนนั้นฉู่อวี๋ยังช่วยกู้ฉู่เซิงทำงานขนส่งเสบียงอยู่หลายครั้ง
แต่กว่าที่ฉู่อวี๋จะรู้ข่าวสงคราม คนตระกูลเว่ยก็ตายกันไปแล้ว ตอนนั้นคนตระกูลเว่ยตายอย่างไร แล้วตายเพราะอะไร นางไม่รู้เรื่อง
นางรู้แต่ว่าภายหลัง ‘เหยาหย่ง’ ผู้มีตำแหน่งเป็นพี่ชายของฮองเฮาได้รับราชโองการให้รักษาเมืองไป๋เอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งเมืองแล้วหนีเอาตัวรอด ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แต่ละพื้นที่ได้รับผลกระทบมากมาย ไม่มีคนในราชสำนักให้ใช้แม้แต่คนเดียว เว่ยอวิ้นซึ่งขณะนั้นกำลังถูกขังอยู่ในคุกจึงได้อาสาออกรบด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ไม่ชนะก็ตาย
ภายหลังเว่ยอวิ้นกลับมาพร้อมชัยชนะ วันที่กลับมาเขาถือหัวของเหยาหย่งเข้าไปในห้องทรงพระอักษร เมื่อออกมาอีกครั้งฮ่องเต้ก็เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้กับขุนศึกคนสุดท้ายของตระกูลเว่ยที่ยอมพลีชีพเพื่อแว่นแคว้นอีกครั้ง
นางไม่ต้องการให้คนตระกูลเว่ยตาย ฉู่อวี๋กำพู่กันแน่น มีแววเย็นกระด้างในดวงตา ชายหนุ่มที่มีความรักชาติและภักดีเช่นขุนศึกตระกูลเว่ยไม่สมควรตาย นางเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฟ้าใกล้สาง จากนั้นมารดาพาคนยกถาดอาหารเข้ามา
ภายในจวนแม่ทัพแขวนโคมแดง ติดกระดาษสีแดงเต็มไปหมด ฉู่ฮูหยินเห็นฉู่อวี๋กำลังเขียนอะไรอยู่ก็พูดอย่างร้อนใจ “เจ้าทำอะไรของเจ้า จะออกเรือนอยู่แล้วแท้ๆ ยังไม่พักผ่อนอีก แม่จะรอดูว่าวันนี้เจ้าจะผ่านไปได้อย่างไร!”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
ฉู่อวี๋โยนกระดาษแผ่นนั้นลงในอ่างไฟ นางเรียบเรียงเหตุการณ์ในชาติที่แล้วมาตลอดทั้งคืน รายละเอียดทั้งหมดถูกนางย้อนคิดอีกรอบ จนจดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ ฉู่อวี๋หมุนตัวกลับมาอย่างเชื่องช้า เห็นสิ่งของที่สาวใช้ตระเตรียมแล้วจึงอมยิ้ม ถามท่านแม่ว่า “นี่เป็นชุดวิวาห์หรือเจ้าคะ?”
“ใช่สิ รีบเปลี่ยนเข้าเถอะ” มารดาของนางตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่เมื่อเห็นลูกสาวมีความยินดีจึงทำให้ความไม่พอใจเจือจางลงไปไม่น้อย นางเรียกคนเข้ามาช่วยล้างหน้าและแต่งตัวให้ฉู่อวี๋
หลังอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทาน้ำมันดอกกุ้ยฮวาบนศีรษะแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดวิวาห์สีแดงสดปักลายหงส์ด้วยดิ้นทอง จากนั้นฉู่อวี๋ก็นั่งอยู่เบื้องหน้าคันฉ่องอย่างสำรวม ปล่อยให้สาวใช้เข้ามาแต่งหน้าให้
ฉู่จิ่นประคองหวีเข้ามายืนอยู่ข้างกายฉู่ฮูหยิน นางเอ่ยกับมารดาว่า “ท่านแม่ หวีผมได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่ฮูหยินมองเงาของฉู่อวี๋ที่ปรากฏในคันฉ่อง จากนั้นจึงพูดกับฉู่จิ่นด้วยเสียงแหบพร่า “ดูนางสิ ปกติพี่สาวเจ้าไม่ชอบแต่งตัว แต่พอแต่งขึ้นมาก็น่าดูยิ่งนัก พี่สาวเจ้ากำลังจะออกเรือนแล้ว” ว่าแล้วฉู่ฮูหยินก็หยิบหวีขึ้นมา สับเข้ากับเส้นผมที่ทิ้งตัวลงมาของฉู่อวี๋พร้อมกับเอ่ยเสียงแหบพร่า
“หลังจากนี้เมื่อไปอยู่ตระกูลเว่ยแล้วก็อย่าได้ทำอะไรเอาแต่ใจเหมือนอยู่ที่บ้าน สตรีที่ออกเรือนแล้วอย่างไรก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่บ้าง เจ้าอยู่ตระกูลเว่ย ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าอดทนได้ก็อดทนไป อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขา”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉู่อวี๋คงต้องแย้งฉู่ฮูหยินกลับไปหลายคำ ทว่าบัดนี้นางฟังเสียงสั่นเครือของมารดาพลันรู้สึกว่าความยึดติดในใจสลายไปหมดแล้ว นางถอนใจรับคำเพียงว่า “ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่ฮูหยินพยักหน้า หวีผมให้ฉู่อวี๋อีกครั้ง
“หวีครั้งที่หนึ่ง ขอให้อยู่จนแก่เฒ่า...”
“หวีครั้งที่สอง ลูกหลานเต็มบ้าน...”
ฉู่ฮูหยินหวีผมให้ฉู่อวี๋ไปก็น้ำตาคลอไป จนกระทั่งหวีเสร็จนางก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่จึงออกตัวว่าเหนื่อยแล้ว ให้ฉู่จิ่นประคองไปนั่งพักอีกด้านหนึ่ง
สาวใช้เข้ามาเกล้ามวยให้กับฉู่อวี๋จากนั้นก็จัดการสวมมงกุฎหงส์ให้นาง กว่าจะแต่งตัวเสร็จท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย มีเสียงปี่ฆ้องดังขึ้นทางด้านนอก สาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ร้องรายงานอย่างตื่นเต้นว่า “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ คนตระกูลเว่ยมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่