อลเวงหัวใจคุณชายพันล้าน The Billion Lord (จบแล้ว)-บทที่ 7 'หมั้น' ใจไม่รัก

โดย  Red:cute98

อลเวงหัวใจคุณชายพันล้าน The Billion Lord (จบแล้ว)

บทที่ 7 'หมั้น' ใจไม่รัก

“อื้อเดี๋ยวพี่บอกไม่ต้องกลัวได้ไปด้วยกันแน่ถ้าโฟมไม่ติดเรียนนะ” พิราอรรับปากกับน้องชายเป็นมั่นเป็นเหมาะเพราะใจจริงเธอก็ยังประหม่ากับการไปแคสงานโฆษณาชิ้นนี้อยู่เหมือนกันเพราะมันเป็นงานใหม่ที่เธอไม่เคยได้ลองทำมาก่อนเลยในชีวิต

และผลการแคสติ้งหานักแสดงไปร่วมงานโฆษณาพิราอรก็ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในตัวแสดงหลักซึ่งโฆษณาชุดนี้จะออกมาเป็นซีรีส์สั้นๆ มีตัวเอกของแต่ละตอนเป็นตัวแทนสภาพผิวของเด็กสาวทั้งผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวแห้งและผิวผสมโดยจะมีโฆษณาเปิดตัวออกมาก่อนเป็นการเรียกน้ำย่อยจากนั้นก็จะเป็นการแยกเป็นตอนของใครของมัน

ซึ่งการแคสในวันนี้พิราอรแปลกใจมากที่ทางทีมงานนั้นขอให้เธอล้างหน้าเอาเครื่องสำอางออกให้หมดซึ่งเวลาไปคุยกับลูกค้าหรือไปรับบรีฟงานเธอไม่ได้แต่งหน้าอะไรมากมายอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาหากจะเปลือยผิวให้ได้เห็นซึ่งทีมงานต่างก็ชื่นชมว่าผิวของเธอนั้นมีสุขภาพค่อนข้างดีแล้วก็ผ่านการคัดเลือกมาแบบงงๆ

“พี่ต้อคะ ครั้งนี้พี่หักค่าตัวฟองได้นะอุตส่าห์แนะนำงานให้แถมยังพาไปแคสงานอีก... ฟองเกรงใจพี่ต้อจริงๆ ค่ะ” เมื่อสบโอกาสยามที่อยู่กับผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่ป้อนงานให้เธอไม่เคยขาดพิราอรก็ถือโอกาสพูดเรื่องการหักเปอร์เซ็นต์ของโมเดลลิงเสียเลย

“ฟองเอ๊ยหนูทำงานกับพี่มากี่ปีแล้วยะเคยมีสักครั้งไหมที่เราปฏิเสธพี่ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่หรือว่างานไม้สองตัวสำรองป้อนอะไรให้ก็อ้าปากรับหมดยังจะให้คุณแม่หักเงินเราอีกหรือไงคะ?” พี่ต้อพูดน้ำเสียงเหวี่ยงๆ ตามประสาแต่เธอก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้โกรธอะไรหรอกมันเป็นแค่คาแรคเตอร์ของแกเท่านั้น

“ขอบคุณจริงๆ ค่ะคุณแม่” พอได้ยินพิราอรเรียกตัวเองว่าคุณแม่พี่ต้อก็มีอาการขัดเขินทั้งๆ ที่ปกติแล้วคำนี้มันเป็นคำสรรพนามเจ้าตัวที่ใช้เรียกตัวเองอยู่ทุกวัน

“แค่หนูตั้งใจทำงานก็พอแล้วฟองเอ๊ยเราอยู่กันมาตั้งแต่พี่ยังตั้งตัวไม่ค่อยได้เราเองก็ยังเป็นพนักงานขายของตามบูธธรรมดาเวลาผ่านไปต่างคนก็ต่างมีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นแต่ยังวนเวียนมาเจอกันตลอดแค่เห็นหนูประสบความสำเร็จพี่ก็ดีใจแล้ว” พี่ต้อพูดย้อนไปถึงเรื่องราวครั้งเก่าตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เพิ่งเจอกันเมื่อราวๆ ห้าหกปีก่อน

ตอนนั้นเธอเองก็เพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ส่วนพี่เขาก็เพิ่งเปิดโมเดลลิงยังไม่มีนางแบบนายแบบในสังกัดมากนักก็มีเธอนี่แหละที่คอยมารับงานเป็นหนังหน้าไฟเวลาที่เด็กในสังกัดพี่ต้อเกเรหรือว่าป่วยเรียกตอนไหนเธอก็มาบางครั้งค่าจ้างต้องรอเป็นเดือนก็ไม่เคยทวงไม่เคยถามด้วยเหตุนี้พี่เขาถึงไม่อยากจับเธอมัดเอาไว้ด้วยสัญญาปล่อยให้ออกไปรับงานตามสบายแถมทางนี้ยังให้ปล่อยงานให้สม่ำเสมอด้วยจิตเสน่หามากกว่าเด็กในสังกัดบางคนที่ทำตัวไม่น่ารักด้วยซ้ำไป

“ว่าแต่เห็นข่าวที่คุณวัสสานเขาออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องที่มีคนแอบถ่ายรูปกับเราหรือยังเห็นเป็นผู้ชายนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดอย่างนั้นแต่แอบปากจัดนะคะทำได้ยังไงด่าให้หน้าชาโดยที่ไม่มีคำด่าแม้แต่คำเดียว” พี่ต้อเปลี่ยนเรื่องชวนพิราอรคุยเรื่องที่เป็นข่าวเกรียวกราวตั้งแต่เมื่อช่วงสายแต่เพราะเด็กๆ เข้าไปแคสงานอยู่เลยน่าจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ไม่รู้เลยค่ะเขาว่ายังไงบ้างเหรอ?” แม้จะรู้ว่าคุณวัสสานจะต้องปฏิเสธแต่เธอก็แค่อยากรู้รายละเอียดว่าเขาจะพูดว่าอย่างไรบ้างก็เท่านั้น

“เอาไปฟังเองเลยค่ะลูกขา” หน้าจอโทรศัพท์มือถือของพี่ต้อเปิดคลิปการให้สัมภาษณ์ค้างไว้อยู่แล้วเมื่อกดเล่นเธอก็ได้เห็นทั้งภาพทั้งเสียงที่ชัดเจนจนแทบสะอึก


“คุณวัสสานได้เห็นภาพข่าวหรือยังคะไม่ทราบว่าอยากอธิบายอะไรเพิ่มเติมหรืออยากแก้ข่าวหรือเปล่าคะ?” นักข่าวหลายสำนักยื่นไมค์สัมภาษณ์ วัสสาน กรคุณานนท์ทันทีที่เขาเดินไปหยุดถ่ายภาพที่แบ็กดร็อปในงานเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมหรูที่ตัวเองเป็นหนึ่งในผู้ร่วมหุ้นโดยโครงการนี้เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงสายๆ ของวันนี้นี่เอง

“ผมไม่ได้เห็นเองหรอกครับเรื่องภาพพวกนั้นคือผมไม่ได้ว่างพอที่จะไปตามข่าวซุบซิบนินทาเพราะมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์หรือว่าจรรโลงใจอะไรเท่าไหร่แต่ที่รู้เพราะพี่สาวกับพี่ชายส่งมาให้ดูบ้างก็ได้เห็นผ่านๆ ตา เรื่องทั้งหมดมันไม่ได้มีอะไรหรอกครับผมกับคนในรูปแอบถ่ายพวกนั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนมเกินคำว่าคนรู้จักหรือว่าคนที่เคยร่วมงานกันก็เท่านั้นถ้าจะพูดให้ถูกก็น่าจะใช้คำว่าครั้งหนึ่งผมเคยเป็นผู้ว่าจ้างของเธอน่าจะถูกต้องที่สุด”

“แต่บางภาพไม่ใช่งานที่เกี่ยวข้องกับคุณวัสสานเลยแต่ก็ยังมีภาพออกมานี่คะ? แล้วคิดยังไงกับกระแสที่ว่าพริตตี้คนนั้นจงใจมาเกาะคุณวัสสานเพื่อชื่อเสียงและอัปค่าตัวล่ะคะจะว่ายังไง” นักข่าวสาวยังไม่เลิกเซ้าซี้เหตุเพราะว่ายังไม่ได้คำตอบที่ตัวเองพึงพอใจ

“ผมเพิ่งรู้ว่าการปรากฏตัวในที่สาธารณะของผมเป็นที่จับตามองอันที่จริงผมก็คนปกตินะครับนอกจากทำงานผมก็ออกไปเดินห้างซื้อของเป็นกับเขาเหมือนกันเรื่องส่วนตัวของผมมันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกและภาพแอบถ่ายแบบนั้นไม่คิดเหรอคับว่ามันละเมิดความเป็นส่วนตัวของผมกับคนในภาพคนอื่น... ให้ผมได้ใช้ชีวิตปกติเถอะครับไม่ต้องพยายามชงเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องจริงๆ ถ้ายังไม่หยุดตามถ่ายภาพผมแล้วเอาไปโพสต์ลงที่สาธารณะแบบนี้ ส่วนเรื่องใครจะเกาะใครเพื่ออะไรนั้นผมไม่ทราบเพราะตอนนี้อย่างที่พวกคุณเห็นผมสบายดีไม่มีใครมาเกาะแกะอะไรหรือว่าตอนนี้พวกคุณเห็นว่ามีใครขี่คอผมอยู่?” วัสสานพูดหน้านิ่งๆ แต่แววตาที่มองมายังกล้องนั้นมันเจือแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดขนาดพิราอรดูอยู่ตรงนี้เธอยังมีอาการเสียวสันหลังวาบๆ

“ถ้าอย่างนั้น...”

“จากนี้ผมขอไม่ตอบเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องไร้สาระนะครับเชิญทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองต่อเถอะในงานมีอย่างอื่นที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องของผมตั้งเยอะหรือถ้าอยากจองคอนโดสักห้องแค่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ของเราว่าเป็นนักข่าวผมยินดีลดราคาให้พิเศษเลย ขอตัวนะครับ” ชายหนุ่มเบรกนักข่าวช่างถามเสียเธอแทบจะหัวทิ่มก่อนจะพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยแล้วเดินจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครถามอะไรอีก


“นักข่าวตามสัมภาษณ์คุณเขาอย่างกับเป็นดาราดังเลยนะคะ”

“ดังเสียยิ่งกว่าดังอีกค่ะดาราบางคนยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำไปครอบครัวนี้เขามีชื่อเสียงมาไม่รู้กี่รุ่นแล้วเห็นรุ่นเห็นลูกแบบนี้นะรุ่นคุณพ่อพูดได้คำเดียวว่าแซ่บลืมค่ะลูกสาว ใครๆ เขาก็อยากเป็นดองกับตระกูลนี้กันทั้งนั้นแหละหนูไม่เคยเห็นข่าวหรือไงคะ” พี่ต้อพูดด้วยความตื่นเต้นเพราะตัวเองก็เป็นแฟนคลับกรคุณานนท์แฟมิลีรุ่นพ่ออยู่เหมือนกัน

“ไม่เคยค่ะวันๆ ฟองทำแต่งานตามแต่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเองเรื่องข่าวดาราข่าวซุบซิบอะไรนี่ไม่เคยรู้เรื่องกับเขาหรอกเพิ่งจะเห็นรูปตัวเองก็ตอนที่โฟมเอามาให้ดูนี่เองค่ะ” เรื่องภาพข่าวที่เธอเห็นก็เพราะน้องชายที่ยังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นใช้เวลาว่าท่องเว็บดูข่าวสารอะไรไปเรื่อยเอาข่าวมาบอกทั้งนั้น

“เอ้อมีงี้ด้วยแต่ก็เอาเถอะค่ะรับรู้ไว้ว่าตระกูลนี้เขาเป็นตระกูลใหญ่ที่ทำธุรกิจโรงแรมแล้วอสังหาริมทรัพย์รวมถึงมีไร่อยู่ทางเหนือด้วย ผู้ชายอย่างคุณวัสสานไม่ธรรมดาค่ะอย่าไปทำอะไรไม่เข้าท่าให้โกรธขึ้นมาเดี๋ยวจะศพไม่สวยแบบนักข่าวในคลิป” พี่ต้อเล่าเรื่องครอบครัวของคุณวัสสานให้ฟังคร่าวๆ ซึ่งพิราอรก็ได้แค่จำเอาไว้แล้วตั้งใจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเอาวันหลังอย่างน้อยก็ได้รู้จักอดีตคนจ้างงานเอาไว้ดีกว่าครั้งต่อๆ ไปจะได้ไม่ไปปล่อยไก่ถ้าเขามีโอกาสกลับมาจ้างให้เธอไปทำงานด้วยอีก

“ถ้ามีโอกาสทำงานกับคุณเขาอีกครั้งหน้าฟองจะระวังตัวเลยค่ะกลัวไปทำอะไรทะเล่อทะล่าแล้วไม่ถูกใจคุณเขาเดี๋ยวจะโดนด่าแบบไม่รู้ว่าด่าอีก อ๊ะ โฟมมารับแล้วค่ะพี่ต้อถ้าอย่างนั้นฟองลาแล้วนะคะระหว่างนี้ถ้ามีงานอย่าลืมเรียกใช้ฟองนะสัญญาจะเลยทำงานเต็มที่เหมือนเดิม” เมื่อน้องชายส่งข้อความว่ามาถึงโมเดลลิงของพี่ต้อแล้วพิราอรจึงบอกลาเจ้าถิ่นเพื่อกลับบ้านหลังจากออกมาตั้งแต่เช้าตรู่

เมื่อเช้านี้พิราอรรีบออกมาจากบ้านเพราะสถานที่แคสนักแสดงโฆษณานั้นอยู่ค่อนข้างไกลต้องต่อรถโดยสารหลายต่อเธอจึงไม่ได้ให้พิธานตามมาด้วยแต่พอขากลับนั้นเธอติดรถมากับพี่ต้อเลยบอกให้น้องชายออกมาหาเพื่อที่จะพากันไปเลี้ยงฉลองที่ได้งานใหม่แถมยังเป็นงานใหญ่งานแรกในชีวิตพริตตี้ตัวเล็กๆ อย่างเธออีกด้วย

“ยิ้มกว้างอย่างนี้มีข่าวดีใช่ไหมครับพี่ฟอง” พอเจอหน้ากันพิธานก็ทักพี่สาวที่ยิ้มร่ามาแต่ไกลท่าทางมีความสุขจนแก้มบานแบบนี้แสดงว่ามีข่าวดีแน่นอน

“อื้อ ไปกินข้าวกันเดี๋ยวพี่เลี้ยงเองไปฉลองที่พี่กำลังจะได้ถ่ายโฆษณาดีกว่า” พิราอรกระซิบบอกน้องชายแต่ทำไปก็เท่านั้นเพราะทุกคนที่นี่เข้ารู้กันแล้วว่าเธอได้งานโฆษณาเพราะเด็กของที่นี่ก็ได้รับเลือกอีกหนึ่งคน

“ดีเลยครับโฟมกำลังอยากกินเป็ดย่างพี่ฟองพาโฟมไปกินนะ” หญิงสาวพยักหน้ารัวๆ เพราะนานทีปีหนน้องชายถึงจะเอ่ยปากว่าอยากจะกินอะไรขึ้นมาสักทีแบบนี้เธอเลยต้องจัดเต็ม

แต่ใช่ว่าที่ผ่านมาพิราอรจะเลี้ยงพิธานมาให้อดอยากแต่เธอเลี้ยงน้องมาแบบพอดีพอกินท้องไม่เคยร้องว่าหิวเพราะขาดแคลนอาหารแต่เราก็ใช่ว่าจะได้กินอาหารหรูหราได้ทุกมื้อ การเดินเข้าร้านอาหารนั้นเรียกว่านับครั้งได้เพราะทั้งคู่ชอบไปกินข้าวนอกบ้านในวันพิเศษจริงๆ มากกว่าส่วนวันธรรมดาๆ ก็ทำกับข้าวกินกันเองมีบ้านที่ฝากท้องกับข้าวของป้านงกับร้านบะหมี่หน้าปากซอยแค่นี้สองพี่น้องก็อิ่มท้องสบายใจแล้ว

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว