Puppet Prince ความรักของจักรกล 偃师传说-บทนำ (ตัวอย่างทดลองอ่าน)

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

Puppet Prince ความรักของจักรกล 偃师传说

บทนำ (ตัวอย่างทดลองอ่าน)



โคมไฟหลากหลายสีสันที่ถูกแขวนเรียงรายตลอดแนวถนนกระเพื่อมไหวไปตามแรงสายลมแห่งเหมันตฤดู มองแล้วคล้ายว่าพวกมันกำลังเริงระบำหยอกล้อกับสายลมเย็นฉ่ำด้วยความสนุกสนาน

อีกไม่นานหิมะแรกก็คงจะโปรยปรายลงมา...

จ้าวซือชิงแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่งสดใส ไร้วี่แววอึมครึมดังเช่นท้องฟ้าในที่ที่นางจากมา

เจ้าของร่างบางสวมใส่อาภรณ์ผิดแผกแปลกตาจากชาวบ้านร้านตลาดในเมืองนี้ ดวงหน้ารูปไข่กระจ่างใส ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ปากคอคิ้วคางดูงดงามหมดจดไปทุกส่วน ยามร่างอรชรเยื้องกราย กลิ่นอ่อนละมุนจากเครื่องหอมชั้นดีก็กำจายไปตามการเคลื่อนไหวของนาง

อีกแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น สตรีผู้นี้ก็คงงดงามเปรียบได้ดั่งเทพธิดาจุติลงมายังโลกมนุษย์ ถ้าไม่บังเอิญว่าในมือข้างขวาของนางกำลังถือเทียนเอ๋อต้าน (ขนมไข่ห่านฟ้า) ไม้ใหญ่เอาไว้ ปากจิ้มลิ้มก็เคี้ยวหงุบหงับโดยไม่สนใจสายตาคนมอง มิหนำซ้ำนางยังเอาถุงเซาปิ่ง (ขนมเปี๊ยะสด) หนีบไว้ที่ซอกแขนข้างซ้ายอีกด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น จ้าวซือชิงก็หาได้สนใจภาพลักษณ์ของตนไม่ อุตส่าห์ได้มาเหยียบย่างเข้ามายังดินแดนต่างแคว้นต่างถิ่นทั้งที ขอชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแห่งแคว้นฟู่เฉินให้เป็นบุญตาสักหน่อยเป็นไร ซึ่งเท่าที่ดูไปชิมไปตลอดเกือบหนึ่งชั่วยามนี้ จ้าวซือชิงก็พบว่าอาหารการกินของเมืองฉางอันช่างถูกปากนางเหลือเกิน นับว่าการเดินทางรอนแรมมาไกลถึงต่างแคว้นก็ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่นางคาดการณ์ไว้ไปเสียทีเดียว

“ขบวนหายไปไหนแล้ว”

จ้าวซือชิงพึมพำกับตนเองพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาริ้วขบวนจากแคว้นหงเยี่ยนซึ่งแวะพักหน้าประตูเมืองฉางอันเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว จึงเปิดโอกาสให้นางลอบลงจากเกี้ยวแล้วออกไปเที่ยวเล่นตามอำเภอใจเช่นนี้

นัยน์ตาวาวใสเหลียวซ้ายและขวา พอกวาดตาดูจนทั่วแล้วไม่พบปลายแถวของขบวนก็เริ่มร้อนใจ นางเก็บเทียนเอ๋อต้านไว้ในถุงเดียวกับเซาปิ่ง แล้วรีบสาวเท้ามุ่งไปยังประตูเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ในใจก็ภาวนาให้ตนเองตามขบวนนั้นไปให้ทัน แต่ด้วยความที่รีบร้อนเกินไปนางจึงหุนหันไปชนกับบุรุษผู้หนึ่งเข้าให้อย่างจัง

“โอ๊ย!”

จ้าวซือชิงชักสีหน้าบูดบึ้ง มือน้อยคลำสะโพกตนเองป้อยๆ ในขณะที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สะทกสะเทือนกับการปะทะเมื่อครู่

ร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งกำลังยืนค้ำหัวนางพลางทอดสายตามองลงมาด้วยแววตาที่ใครเห็นแล้วเป็นอันต้องนึกไม่ชอบใจ ในดวงตาสีนิลคู่นั้นมีเพียงประกายความเย็นชาแกมรำคาญพาดผ่านอย่างเห็นได้ชัด

จ้าวซือชิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า

อะไรกัน...นางก็แค่เดินชนเขามิใช่หรือ ไยต้องมองกันด้วยหางตาเช่นนั้นด้วย

นางไม่พอใจอย่างมาก รวมถึงนึกชังน้ำหน้าบุรุษผู้นี้อยู่ในใจ ชายคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ดูสง่างามดี แต่สีหน้าแววตาที่ทอดมองมาช่างดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“หึ...” ได้ยินเขาเปล่งเสียงเบาๆ ออกมาในลำคอ ริมฝีปากแดงเรื่อคล้ายจะยกยิ้มน้อยๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา ก่อนที่เขาจะสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วเดินผ่านนางไปอย่างไม่ไยดี

จ้าวซือชิงกำกระโปรงไว้แน่น มองดูถุงเซาปิ่งที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นยิ่งรู้สึกเจ็บใจ ใช่...นางเป็นคนผิดเพราะเป็นฝ่ายเดินชนเขาก่อน แต่การที่เขาทำเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ

ปากของนางไวกว่าความคิด ไม่มีทางเสียหรอกที่นางจะยอมให้บุรุษแปลกหน้าทำกริยาเช่นนี้ใส่

“ช้าก่อน...เจ้าคนอวดดี!”

ได้ผล ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดำปักดิ้นทองหยุดชะงัก ก่อนจะเหลียวกลับมามองคนที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสายตายากจะคาดเดา ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ ด้วยสรรพนามที่สตรีซุ่มซ่ามผู้นี้เอ่ยออกมา เป็นถ้อยคำที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยกับเขามาก่อน

นัยน์ตาสีนิลพิศมองสตรีใจกล้าผู้นั้นอีกครั้ง รูปร่างหน้าตาของนางก็จัดว่างดงามใช่เล่น เพียงแต่เสื้อผ้าอาภรณ์และทรงผมออกจะดูแปลกตาไปสักหน่อย หรือสตรีผู้นี้จะมาจากเมืองอื่นถึงได้ไม่รู้เรื่องรู้ราว รวมถึงไม่รู้จักเขาที่มีสมญานามว่า‘อ๋องปีศาจ’ซึ่งใครๆ ก็ล้วนต้องหวาดกลัว

“เจ้าเรียกใครว่าคนอวดดี”

เขาหลุบตาลงต่ำ ใบหน้าคมคายยังเรียบเฉยไม่แสดงซึ่งอารมณ์ใดๆ นั่นทำให้จ้าวซือชิงยิ่งรู้สึกเดือดดาล ถ้าเป็นไปได้ นางอยากใช้นิ้วมือทั้งสิบนิ้วตะกุยใบหน้าหล่อเหลาทว่ายียวนกวนประสาทนั่นนัก

“ก็เจ้าไง! เป็นผู้ชายประสาอะไร เหตุใดจึงไม่รู้จักช่วยเหลือคนอ่อนแอกว่า ข้าหกล้มอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”

นางชักสีหน้างอง้ำ เกลียดนักกับท่าทีวางตัวสูงศักดิ์ราวกับนกยูงรำแพนหางของอีกฝ่าย น่าเจ็บใจยิ่งที่นางจำต้องขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะรู้สึกเจ็บสะโพกจนไม่สามารถประคองตนเองให้ลุกขึ้นยืนได้ ทว่าถ้อยคำที่นางเอ่ยออกมากลับฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่าคำร้องขอ

“ส่งมือมาสิ ข้าลุกไม่ไหว”

เขาชักสีหน้าประหลาดใจ สตรีผู้นี้นี่อย่างไรกัน เป็นฝ่ายเดินมาชนเขาเองแท้ๆ แทนที่นางจะซาบซึ้งใจที่เขาไม่เอาเรื่อง กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาช่วยเหลือนางอีกอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นสตรีที่แปลกพิลึกเสียนี่กระไร น่าเสียดายความงดงามปานล่มบ้านล่มเมืองยิ่งนัก

“ว้าย!”

จ้าวซือชิงอุทานเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยื่นมือมาฉุดให้นางลุกขึ้นยืนอย่างที่คิด แต่เขากลับช้อนตัวนางขึ้นอุ้มโดยไม่บอกกล่าว มือเล็กจึงยึดบ่ากว้างเอาไว้โดยสัญชาตญาณ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ห่างเพียงแค่คืบ สองสายตาสบประสานอย่างไม่อาจเลี่ยงหลบ จมูกโด่งรั้นเผลอสูดกลิ่นกายของบุรุษตรงหน้าเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ

น่าประหลาดยิ่ง...ในยามนี้ จ้าวซือชิงรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นแรงมากขึ้นทุกที

“พอใจหรือยัง” เขาถามด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด ก่อนจะอุ้มนางเดินตัวปลิวไปยังศาลาริมถนนหลังหนึ่ง ทำราวกับว่านางตัวเบาราวกับปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น

“ขอโทษที่เดินชนเจ้า” นางอ้อมแอ้มกล่าวคำขอโทษ “แต่ข้าเองก็เจ็บตัวเหมือนกัน มิหนำซ้ำขนมแสนอร่อยพวกนั้นก็ตกลงพื้นเสียหายไปหมด”

จ้าวซือชิงยังนึกเสียดายขนมเหล่านั้นไม่หาย สองมือยังคงเกาะเกี่ยวบ่าของเขาเอาไว้ พอเขาทำคุณไถ่โทษเช่นนี้ นางก็อารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน

มุมปากคนฟังกระตุกขึ้นนิดๆ อย่างพึงพอใจ อย่างน้อยสตรีซุ่มซ่ามนางนี้ก็ยังพอจะมีมารยาทอยู่บ้าง รู้จักขอโทษขอโพยเช่นนี้ค่อยฟังระรื่นหูหน่อย

“เป็นเพราะเจ้าซุ่มซ่ามเองมิใช่หรือ” เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ก่อนวางนางลงบนม้านั่งไม้ในศาลา หยิบเงินออกมาจากถุงเงินสองสามก้อนแล้วโยนให้ “รับไปสิ คงพอให้เจ้าเหมาเซาปิ่งได้ทั้งร้าน”

จ้าวซือชิงรับเงินมาพร้อมกับอ้าปากค้าง นางบอกเขาตอนไหนว่านางไม่มีเงิน!

ทว่าบุรุษกวนประสาทผู้นั้นเดินหนีไปเสียแล้ว ไม่ทันให้นางได้ลับฝีปากอีก เผลอเพียงชั่วครู่ร่างสูงใหญ่ภายใต้ชุดคลุมสีดำก็ห่างไกลจากสายตา ทิ้งให้จ้าวซือชิงตีหน้าผากตนเองอย่างจนใจ วันนี้เป็นวันซวยอะไรของนางกันนะ ถึงต้องมาเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจเช่นนี้

ฮึ่ม...เป็นเพราะบุรุษอวดดีผู้นั้นคนเดียว!

“น้องห้า!อยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าเสียให้ทั่ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในศาลาแล้วยึดข้อมือบอบบางของนางเอาไว้

“หม่อมฉันก็แค่ออกมาเที่ยวเล่นระหว่างพักขบวนก็เท่านั้น พี่สามตื่นตระหนกเกินไปแล้ว” จ้าวซือชิงส่งยิ้มประจบประแจงให้พี่ชาย ก่อนดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน

“แล้วนี่อะไรกัน เหตุใดเสื้อผ้าของเจ้าจึงเลอะเทอะเช่นนี้” จ้าวซือปินอุทานพร้อมกับทำตาโต เมื่อได้เห็นว่าอาภรณ์ของน้องสาวเปรอะเปื้อนดินโคลนอยู่หลายจุด

“หม่อมฉันเพียงแค่หกล้มเพคะ” นางรีบบอกปัด

ได้ยินอย่างนั้น จ้าวซือปินก็ยิ่งเป็นกังวล “หกล้มอย่างนั้นหรือ! แล้วบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เขาจับน้องสาวหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจความเสียหายจนนางเริ่มเวียนหัว

“เจ็บสะโพกนิดหน่อยเพคะ รีบไปกันเถิดพี่สาม อย่ามัวสนทนาให้มากความเลย” นางดันหลังพี่ชายให้ออกจากศาลาไป ทว่านัยน์ตาวาวใสไม่วายมองไปยังถนนว่างเปล่าที่บุรุษผู้นั้นจากไปเมื่อครู่ ในใจนึกอาฆาตมาดร้าย

อย่าให้เจออีกนะเจ้าคนอวดดีชอบตีหน้ายักษ์ จ้าวซือชิงคนนี้จะเล่นงานให้หนักเลยคอยดู!



เจอกันครั้งแรกก็พร้อมบวกเลยหราาา

ตอนต่อไปมาดูกันว่านางจะได้เจอคนหน้ายักษ์คนนั้นอีกไหม ^^


++ รักคนอ่าน ++

นับดาว

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว