ร่างอรชรที่กำลังเดินจ้ำไปข้างหน้าด้วยความเร่งรีบมีอันต้องเซถลาไปตามแรงกระชากจากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว จนเธอเกือบจะต้องลงไปกองคลุกฝุ่นอยู่กับพื้นริมฟุตบาทอยู่ตรงนั้นแล้ว ดีแต่ว่ามือนั้นยังมิได้ละไปจากลำแขนเรียวเสลาช่วยฉุดรั้งร่างของเธอเอาไว้หาไม่แล้วร่างบางคงต้องมีแผลถลอกติดตัวไปบ้างอย่างแน่แท้ เพียงไม่กี่วินาทีจากนั้นรถยนต์ซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็พุ่งเฉียดร่างของหญิงสาวไปแบบเรียกว่าระยะเผาขน เรียกเสียงหวีดร้องจากผู้คนรอบทิศ เสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหวดังตามมาติดๆ ลักษิณาศรเหลียวมองไปตามเสียง แล้วก็ได้พบกับภาพที่อันชวนใจหาย อะไรจะเกิดขึ้นหากเธอก้าวเท้าเร็วกว่านี้ และจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่มีมือหนาคู่นั้นมาฉุดรั้งร่างเธอเอาไว้
“เป็นไงบ้างครับคุณ ตกใจมากหรือเปล่า” เสียงที่ดังขึ้นทางจากด้านหลังดึงความสนใจให้หญิงสาวหันกลับมามองพร้อมกับทำหน้าเหรอหรา ดวงหน้างามยังอาบไปด้วยรอยตระหนก
“ค่ะ เอ่อ...คือ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้” คำขอบคุณถูกเค้นออกมาทั้งที่เจ้าตัวยังตกใจไม่หาย
“คุณเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า เมื่อกี้ผมเผลอกระชากคุณเสียเต็มแรง ขอโทษด้วยนะครับ” เสียงทุ้มบอกอย่างสุภาพ
“ไม่เจ็บหรอกค่ะ คุณต่างหากที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ขอบคุณนะคะ” ยิ้มสวยๆ ถูกส่งมาพร้อมกับขอบคุณซ้ำ ทำเอาหนุ่มร่างสูงถึงกับมองค้าง บอกกับตนเองว่า นี่เป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ หน้าคุณดูซีดๆ ผมว่านั่งพักสักหน่อยน่าจะดีกว่า” ตลิตเก็บความประทับใจไว้ในอกแล้วสื่อสารกับเธอต่อ
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอบคุณทีเป็นห่วง” ลักษิณาศรก้มดูเวลาที่ข้อมือแล้วให้นึกขึ้นได้ “ฉันคงจะต้องไปแล้ว ลาก่อนนะคะ” เธอตัดบทสั้นๆ แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างเร่งรีบไม่ต่างจากตอนแรก กระทั่งข้ามผ่านไปยังอีกฟากฝั่งถนนแล้วนั่นล่ะจึงนึกขึ้นมาได้ ว่าเธอยังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของเขาคนนั้นเลย ให้รู้สึกผิดขึ้นเล็กๆ เพราะอย่างน้อยเธอก็ควรจะทราบชื่อของผู้ซึ่งมีพระคุณต่อเธอเอาไว้บ้าง ไม่แน่ว่าวันหน้า อาจได้มีโอกาสตอบแทนเขาบ้างก็เป็นได้ ทว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว
‘นี่เขาเดินเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมถึงได้หายตัวไปเร็วนัก’
----------------------------------------------------
ณ ชั้นบนสุดของอาคารสูงระฟ้าใจกลางกรุงเทพมหานครอันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทในเครือธนกิจบริบูรณ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ตลอดช่วงบ่ายของวันได้เกิดความโกลาหลราวกับพายุลูกใหญ่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในสำนักงาน เมื่อเจ้าของร่างสูงนัยน์ตาสีมรกตล้อมกรอบสีทองจางๆ เป็นประกาย ใบหน้าคมทั้งหล่อเหลาและโดดเด่น กำลังโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุดจนความชวนมองของร่างนั้นกลายเป็นความน่ากลัวไปอย่างน่าเสียดาย
ริมฝีปากหยักได้รูปสวยรับกับจมูกโด่งเป็นสันกำลังพร่ำบ่นพร้อมบริภาษยาว นัยตาสวยสีแปลกเป็นแวววาบดุใส่บรรดาพนักงานที่ถูกเรียกมาสอบถามอย่างระนาวกราวรูด เมื่อไม่มีใครตอบเขาได้ว่าท่านประธานคนสำคัญเดินทางไป ณ แห่งหนใด และการมาถึงของทนายความประจำครอบครัวก็เปรียบเสมือนระฆังช่วยชิวิต ปลดปล่อยเหล่าพนักงานให้รอดพ้นจากมหันตภัยทางอารมณ์ของหนุ่มลูกครึ่งผู้เป็นเจ้านายหนุ่มไปได้อย่างหวุดหวิด
“คุณอามาพอดี เชิญนั่งก่อนครับ” ตลิตออกปากเชิญแล้วหันไปสั่งการกับเลขาหน้าห้องให้นำเครื่องดื่มมารับแขก จากนั้นจึงเริ่มซักถามกับทนายความอาวุโสทันที “คุณอาพอจะทราบหรือเปล่าครับ ว่าตอนนี้คุณพ่อท่านอยู่ที่ไหน”
“อาไม่รู้หรอก ยังนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมจู่ๆ พ่อเราเขาถึงได้ลุกขึ้นมาทำตัวมีลับลมคมนัยแบบนี้ นี่อาก็ว่าจะมาถามตลิตอยู่เหมือนกัน ว่าพ่อเราเขาคุยอะไรให้ฟังบ้างหรือเปล่า”
“เปล่านี่ครับ เรื่องอะไรหรือครับอา ทำไมฟังดูแปลกๆ” ตลิตตอบพลางทำหน้าฉงน
“อย่าบอกนะว่าเราเองก็ไม่รู้เรื่อง”
“ยิ่งพูดก็ยิ่งงงนะครับอา ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ พ่อก็เรียกให้ผมกลับมา แล้วก็มาทำตัวลึกลับ หายตัวไปเสียเฉยๆ แบบนี้ ถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน” ชายหนุ่มเล่าแบบคร่าวๆ
“อาเชื่อว่าพ่อเราเขาต้องมีเหตุผล แต่จู่ๆ มาเงียบหายไปแบบนี้ มันอดกังวลใจไม่ได้ เกรงว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นขึ้นกับพ่อก็เท่านั้น”
“นั่นสิครับอา พ่อไม่เคยเป็นแบบนี้เลย”
“มันอาจจะมีเบื้องหลังบางอย่าง แต่ถ้าจะไปแจ้งความ หรือจ้างนักสืบก็เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องเอิกเกริก เกิดไม่มีอะไรจะกลายเป็นว่าเรากุข่าวสร้างกระแส แต่ไอ้จะรอให้กลับมาเองก็กลัวจะเป็นเรื่องร้าย อาเองก็ปวดหัวว่าจะเอาไงดี เลยจะมาปรึกษากับเรานี่ล่ะ” ทนายความอาวุโสบอกพร้อมกับทำหน้ายุ่ง
“อืม... ผมว่าเราน่าจะรอดูเหตุการณ์ไปอีกสักวันสองวันก่อน ถ้าพ่อยังไม่ติดต่อมาค่อยตัดสินใจไปแจ้งความ ระหว่างนี้คุณอาลองให้คนไปลองสืบข่าวดู เผื่อจะได้เรื่องอะไรบ้าง” ตลิตสรุป
“ก็ได้ อาจะจัดการตามนั้น เอ้อ! จริงสิ ตลิตเคยได้ยินพ่อเราเขาพูดถึงเรื่องที่ดินแถวๆ ตลิ่งชันบ้างรึเปล่า”
“ที่ดินแถวตลิ่งชัน! ไม่นี่ครับ ที่ของใครหรือครับอา” ชายหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าฉงน
“ที่ติดคลองสวยเชียวล่ะ ราวสามสิบไร่เศษ พ่อเราเขาให้อาเดินเรื่องปลดจำนอง แล้วก็จัดการเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ตอนแรกอาก็นึกว่าพ่อเขาจะซื้อที่มาไว้ทำโครงการ แต่ชื่อในโฉนดนี่สิ อาถามว่าเป็นใคร พ่อเราเขาก็ตอบแค่ว่าเป็นคนรู้จัก แต่จำนวนเงินที่ใช้ มันไม่ชวนให้เชื่อว่าจะเป็นแค่คนรู้จักธรรมดาเลย อาเลยส่งคนไปสืบหาข้อมูลได้ความว่า เจ้าของเดิมเป็นนายทหารเก่าแต่ถูกลูกเขยขโมยเอาโฉนดที่ดินกับบ้านไปจำนอง ตัวแกช้ำใจตาย ส่วนเจ้าลูกเขยได้เงินไปแล้วก็หายหัวเข้ากลีบเมฆไป ทิ้งหนี้สินไว้ให้เมียกับลูกตามชดใช้ ดีแต่ว่าคนรับจำนองนั่นเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กับเจ้าของที่เดิมที่ตายไปแล้ว เลยยอมผ่อนผันให้มาเป็นสิบปี จนกระทั่งพ่อเราเขาให้อาไปติดต่อขอซื้อที่คืนมาจากเศรษฐีนั่นล่ะ ชื่อในโฉนดนั่นคือชื่อของคนที่เป็นลูกสาว”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือครับอา แล้วพ่อเอาเงินที่ไหนไปซื้อ หรือว่าจะเป็นเงินในบัญชีส่วนตัว เพราะถ้าเป็นเงินบริษัท ผมน่าจะระแคะระคายอะไรบ้าง”
“เงินส่วนตัวนั่นแหละ”
“หรือว่าที่พ่อหายตัวไป มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“อันนี้อาก็ไม่อยากจะฟันธงหรอกนะ แต่ดูๆ ไปมันก็น่าจะมีอะไรเกี่ยวเนื่องกันอยู่” สองบุรุษแม้ต่างวัยหากแต่คิดเห็นไปในทางเดียวกัน
“เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น ยังมีข้อมูลอื่นอีกหรือเปล่าครับอา” ตลิตถาม
“รู้แค่ว่าเธอชื่อลักษิณาศร ฤกษ์วิจิตรกร อายุราว 20 ต้นๆ อากำลังให้คนไปสืบประวัติความเป็นมา เอาไว้ได้เรื่องแล้วอาค่อยบอกมาทางตลิตอีกทีก็แล้วกัน” ทนายความผู้เป็นเพื่อนของบิดาแจกแจงรายละเอียดที่ตลิตได้ฟังแล้วพอจะยิ้มออกมาได้บ้าง
“ครับอา ขอบคุณนะครับ” ตลิตรับคำง่ายๆ
“งั้นวันนี้อากลับก่อน เอาไว้ได้เรื่องอย่างไรแล้วเราค่อยคุยกันอีกที อาไปล่ะ” ร่างท้วมของทนายความผู้มากวัยได้ผละจากไปแล้ว ทว่าคำถามมากมายหลายข้อกลับยังคงวนเวียนจนตลิตเก็บมาครุ่นคิดต่อได้อีกเป็นพักใหญ่
“ลักษิณาศร เธอเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อของฉันกันแน่” ตลิตรำพึงเบาๆ คล้ายกำลังตั้งคำถามให้กับตัวเอง
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว