เมืองเล่ยปานั้นเป็นเมืองที่คึกคักสมกับเป็นหัวเหมืองใหญ่ที่เชื่อมต่อกับดินแดนทางเหนือของประเทศอวิ้นจู มีพ่อค้าและกองคาราวานมากมายอยู่ในเมืองที่กำลังถกเถียงราคาสินค้า พ่อค้าจะเมืองหลวงหรือเมืองทางภาคอื่นเองก็จะเดินทางมาที่เมืองเล่ยปาเพื่อติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าทางเหนือ
ดินแดนทางเหนือนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมุนไพรโดยเฉพาะสมุนไพรปราณหยินที่ขึ้นเฉพาะในพื้นที่หนาวเย็น สมุนไพรปราณนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ การมีสมุนไพรปราณนั้นจะช่วยให้มีความเร็วมากขึ้นในการฝึกฝนและยังมีบางครั้งที่ได้รับความสามารถพิเศษจากสมุนไพรปราณด้วย
ในเมืองที่เต็มไปด้วยพ่อค้าและกองคาราวานเช่นนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ย่อมต้องเป็นเหลาทหารรับจ้าง เมืองเล่ยปาเป็นหนึ่งเมืองที่มีเหล่าจอมยุทธ์และคนมีฝีมือมารวมตัวกัน การขนสินค้ากลับนั้นต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงจากโจรและยังมีสัตว์ร้ายอีกด้วย ดังนั้นคนมีฝีมือเหล่านี้จึงจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมาเพื่อคุ้มกันขบวนสินค้า
เตาเหวินเทียนนำองค์ชายสี่เดินไปตามถนนเส้นหลักของเมืองลัดเลาะเข้าตรอกซอยอีกหลายแห่งจนมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาจึงมุ่งหน้าไปยังประทางเหนือของเมืองเล่ยปา บริเวณนี้เองก็คึกคักไม่น้อยไปกว่าที่ตลาดกลางเมือง ทุกๆวันขบวนสินค้าจะมารวมตัวกันที่บริเวณนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนทางเหนือ และเหล่าทหารรับจ้างทั้งหมดจะมาออกันอยู่ตรงนี้เพื่อรับงานเช่นเดียวกัน
ตลอดทางองค์ชายสี่โจวหยางนั้นเดินตามเตาเหวินเทียนอย่างเงียบๆ สายตาภายใต้หมวกปีกใหญ่นั้นกวาดมองไปยังรอบด้านเป็นระยะ ทุกสายตาที่จับจ้องมายังพวกเขาทั้งสองคนนั้นโจวหยางล้วนตรวจพบได้ไม่ยาก เมื่อเดินมาถึงบริเวณประตูเตาเหวินเทียนก็หยุดเท้าลงแล้วมองหากองคาราวานขบวนหนึ่ง
“กองคาราวานของตระกูลเหม่ย...นายน้อยคิดว่าอย่างไร?”
เมื่อเจอเป้าหมายเตาเหวินเทียนก็มองไปยังกองคาราวานขบวนหนึ่งที่มีสัญลักษณ์ของตระกูลเหม่ยติดอยู่ตามรถม้า กองคาราวานนี้ไม่ได้ใหญ่มากนักมีสมาชิกอยู่สิบสองคนและมีรถลากอยู่สามคันเท่านั้น ผู้นำกองคาราวานมีนามว่าเหม่ยฉีเป็นชายร่างอ้วนคล้ายผู้จัดการเสิน ทั้งสิบสองคนนั้นแบ่งออกเป็นผู้ฝึกยุทธ์สี่คนและคนงานหกคนส่วนอีกสองคนก็คือเหม่ยฉีและหลานชายของเขาเหม่ยกวง
“จำนวนผู้ฝึกยุทธ์มีไม่มาก การจะเดินทางไปยังดินแดนทางเหนือนั้นเกรงว่าจะอันตรายเกินไป คงต้องรอดูว่าพวกเขาจะเลือกผู้คุมกันกลุ่มไหน”
เตาเหวินเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะเดินนำโจวหยางไปยังกองคาราวมนของตระกูลเหมยแล้วหยุดลงตรงหน้าของชายร่างอ้วน
“ท่านคือเหม่ยฉีใช่หรือไม่?”
เหมยฉีหันมามองผู้มาเยือนทั้งสองคนก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สายแต่ก็ใกล้เวลาออกเดินทางแล้ว ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ผู้จัดการเสินได้ติดต่อเขาเอาไว้แล้วว่าหลานชายของเขาจะเดินทางไปยังเมืองไป๋พร้อมกับกองคาราวานตระกูลเหม่ย
“โอ้ว พวกท่านคงเป็นจอมยุทธ์เสินเทียนกับนายน้อยเสินหยางสินะ? ข้ารอพวกท่านอยู่นานแล้ว”
เหม่ยฉีประสานมือทักทายเช่นเดียวกับเตาเหวินเทียนและโวหยางก่อนจะรับจดหมายยืนยันมาจากเตาเหวินเทียน หลังจากอ่านจดหมายจบก็บอกรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางอยู่หลายคำก่อนจะปลีกตัวเดินตรงไปหาทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผู้จัดการเสินได้เตรียมการเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ รถม้าคันหนึ่งถูกมอบให้กับโจวหยางโดยเฉพาะ เมื่อกองคาราวานเริ่มเตรียมพร้อมโจวหยางก็ขึ้นไปบนรถมาแล้วนั่งอยู่เงียบๆโดยมีเตาเหวินเทียนเป็นสารถีอยู่ด้านนอก ใช้เวลาไม่นานนักเหม่ยฉีก็เดินกลับมาพร้อมกับทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง
ผู้คุมกันที่เหม่ยฉีเลือกมานั้นคือกลุ่มทหารรับจ้างเกราะดำ ทหารรับจ้างเกราะดำนั้นเกิดจากพี่น้องหกคนที่สวมใส่ชุดเกราะหนักสีดำโดดเด่นในด้านพละกำลังอันมหาศาล โจวหยางนั่งอยู่บนรถม้าลอบสำรวจทหารรับจ้างกลุ่มนี้อย่างเงียบๆก็พบว่าทั้งหกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีหนึ่งคนอยู่ระดับสาม สามคนอยู่ระดับห้า หนึ่งคนอยู่ระดับแปด และคนสุดท้ายซึ่งคาดว่าเป็นหัวหน้าอยู่ระดับสิบ!
สำหรับทหารรับจ้างกลุ่มเล็กๆแค่หกคนนั้นการมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปดและระดับสิบอยู่ด้วยนั้นถือว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว โจวเหวินคิดว่าเหม่ยฉีเองก็ไม่ได้ตระหนี่แล้วเลือกที่จะจ่ายออกไปอย่างไม่เสียดายเพื่อจ้างคนคุ้มกัน โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้จัดการเสินที่กำชับกับเหม่ยฉีว่าสินค้าครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมากและยอมควักเนื้อมอบให้กับเหม่ยฉีเพื่อจ้างผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่ง
หลังจากผ่านการตรวจของเมืองแล้วขบวนคาราวานของเหม่ยฉีก็ออกเดินทางทันที กลุ่มทหารรับจ้างเกราะดำกระจายกันล้อมขบวนรถมาทั้งสี่ทิศเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ตั้งแต่ออกพ้นประตูเมือง คติของทหารกลุ่มนี้ทำให้โจวหยางและเตาเหวินเทียนชื่นชมอยู่ไม่น้อย แม้ว่าค่าจ้างจะแพงจนน่าตกใจแต่พวกเขาก็ทำงานได้สมราคาจริงๆ
ตามแผนของเหม่ยฉีนั้นเส้นทางที่ใช้จะผ่านจุดสำคัญสองแห่งก่อนจะถึงเมืองไป๋ จุดสำคัญแรกก็คือหมู่บ้านผิงหยวนอยู่ห่างจากเมืองเล่นปาราวๆแปดวัน หมู่บ้านนี้เป็นจุดแวะพักและเติมเสบียงของคนที่จะเดินทางไปยังเมืองไป๋ อีกจุดสำคัญหนึ่งก็คือช่องเขาศิลาขาวซึ่งเป็นประตูสู่แดนเหนืออย่างแท้จริง
ช่องเขานี้เป็นภูมิประเทศที่เลวร้ายเหมาะแก่การลอบโจมตีของผู้ไม่หวังดีแบบสุดๆ เหตุผลหลักที่กองคาวานทั้งหมดต้องจ้างผู้คุ้มกันหากจะไปเมืองฉีก็เพราะว่าช่องเขาศิลาขาวแห่งนี้ อีกทั้งยังมีข่าวว่าช่องเขาศิลาเขาคือฐานที่มั่นของกองโจรหมวกดำอีกด้วย
การเดินทางตลอดแปดวันเป็นไปอย่างราบรื่น กองคาราวานตระกูลเหม่ยเข้าพักและเติมเสบียงที่หมู่บ้านผิงหยวนหนึ่งวันก่อนจะออกเดินทางต่อ อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงชาญป่าทางเข้าช่องเขาศิลาคนในกลุ่มเกราะดำก็เริ่มสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติ
“หยุดก่อน!”
น้องหกของกลุ่มเกราะดำที่รั้งท้ายอยู่ให้สัญญาณกับพี่ใหญ่ก่อนจะก้มตัวลงไปนอนราบกับพื้น ชายคนนี้มีสัมผัสการได้ยินเป็นเลิศ ไม่นานหลังจากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปมใบหน้าครึ้มลงวิ่งไปรายงานกับพี่ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเกราะดำ
“ห่างไปประมานสิบลี้ข้าได้ยินเสียงฝีเท้ามาควบเต็มกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเรา จากเสียงที่ได้ยินมีอยู่ราวๆยี่สิบตัว”
“อีกนานหรือไม่กว่าจะตามเราทัน?”
“หากคำนวณด้วยความเร็วระดับนี้กับการเดินปกติของพวกเราจะใช้เวลาอีกสามชั่ว”
หงเหล่ยพี่ใหญ่ของกลุ่มเกราะดำขมวดคิ้วพลางพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปหาเหม่ยฉีเพื่อหารือทันที ก่อนออกจากหมู่บ้านผิงหยวนพวกเขาได้ตรวจสอบแล้วว่าช่วงนี้ไม่มีขบวนเดินทางใดมุ่งหน้าไปยังเมืองไป๋ดังนั้นการมาเยือนของคนกลุ่มนี้ออกจะดูผิดปกติไปเสียหน่อย หากไม่ใช่ว่าพวกเขามีธุระเร่งด่วนต้องผ่านทางไปก็หมายความว่าเป้าหมายคือกองคาราวานตระกูลเหม่ย!
“โอกาสจะเป็นข้อแรกนั้นมีเพียงสามส่วนเท่านั้น หากพวกเขามีเรื่องเร่งด่วนจริงด้วยกำลังคนเช่นนั้นควรจะบุกฝ่าป่าหมอกไปโดยตรงจะประหยัดเวลาไปเป็นสิบๆวัน ข้าคิดว่าเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ควรจะเป็นพวกเรามากกว่า!”
เหม่ยฉีกล่าวออกมาอย่างจริงจังซึ่งหงเหล่ยเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เหม่ยฉีไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงชื่อเสียงความซื่อสัตย์ของกลุ่มเกราะดำสุดท้ายจึงยอมบอกความลับว่าครั้งนี้พวกเขามีของสำคัญมาด้วย บางทีข่าวอาจรั่วไหลออกไป? เมื่อรวมกันจึงได้ข้อสรุปว่ากลุ่มคนที่ไล่ตามมานั้นมีเป้าหมายก็คือกองคาราวานของพวกเขา!
ที่รถม้าของโจวหยางนั้นยังคงเงียบสงบเช่นเดิม เหวินเตาเทียนลอบมองสถานการณ์และการสนทนาของพวกเหม่ยฉีอย่างเงียบๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ใดที่กำลังไล่ตามมา อย่างไรก็ตามเสียงของโจวหยางกลับดังออกมาจากลดม้าอย่างแผ่วเบาเพื่อสั่งการบางอย่าง
“พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนไล่ตามมาดังนั้นอาจจะมีความคิดเร่งฝ่าช่องเขาไปโดยเร็วด้วยกำลังของกลุ่มเกราะดำย่อมเป็นไปได้ ทว่าหากการต่อสู้ยืดเยื้อแล้วกองโจรสมิงดำตามมาทันนั่นจะเป็นปัญหาแน่นอน โจรสองกลุ่มล้อมด้านหน้าและหลัง...คงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่านี้แล้วกระมัง?”
เตาเหวินเทียนรับฟังอย่างเงียบๆและเห็นด้วยอย่างยิ่ง ต่อให้กลุ่มเกราะดำจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็คงไม่สามารถรับมือทั้งสองกองโจรได้โดยเฉพาะหัวหน้ากองโจรสมิงดำที่เป็นถึงปรมาจารย์ดิน!
“เช่นนั้นนายน้อย...”
“หาจุดยุทธ์ศาสตร์บริเวณนี้...อาศัยเวลาที่มีเตรียมการลอบโจมตี!”
“ขอรับ!”
หลังจากรับคำสั่งแล้วเตาเหวินเทียนก็เดินตรงไปหาพวกเหม่ยฉีทันที เวลามีไม่มากนักดังนั้นต้องลงมือให้ไวที่สุด! อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาอยู่หนึ่งข้อที่ต้องแก้ไขในตอนนี้...
“สหายเสินเทียนท่านบอกว่าพวกเราควรจะดักซุ่มโจมตีคนที่ไล่ตามมางั้นเรอะ? นั่นมันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือไง?”
“เป็นอย่างที่สหายเหม่ยพูด หากพวกเราปะทะกับคนที่ไล่ตามมาจริงๆย่อมต้องได้รับความเสียหายไม่น้อย หากเลวร้ายบางทีอาจจะเกิดการสูญเสียพอถึงตอนนั้นการจะข้ามช่องเขาก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นหลายเท่า! แต่ถ้าหากอาศัยกำลังคนที่เพียบพร้อมตอนนี้ฝ่าช่องเขาไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก!”
ทั้งเหม่ยฉีและหงเหล่ยต่างไม่เห็นด้วยกับแผนของเตาเหวินเทียน อย่างไรก็ตามเตาเหวินเทียนก็ไม่ได้คิดจะเสียเวลาพูดเรื่องนี้อีก
“พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว! พวกที่ไล่ตามมาคือกลุ่มโจรสมิงดำ! หากพวกเราข้ามช่องเขาศิลาขาวไปไม่ทันเวลาแล้วถูกตามทันพอถึงตอนนั้นพวกเจ้าคิดหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น? หรือต่อให้บุกฝ่าไปได้จริงๆกำลังของพวกเราก็ต้องอ่อนลง พวกเจ้าคิดว่าในสภาพกำลังรบไม่พร้อมสมบูรณ์นั้นการรับมือกลุ่มโจรหมวกดำหรือกลุ่มโจรสมิงดำจะง่ายกว่า?”
ทั้งสองคนชะงักไปกับความเกรี้ยวกราดของเตาเหวินเทียน พวกเขาย่อมไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกตวาดเช่นนี้และยังเรื่องกองโจรสมิงดำคืออะไร? ทว่าข้อสงสัยนั้นไม่จำเป็นต้องถามพวกเขาก็ได้รับคำตอบทันที
แรงกดดันที่ไม่รู้ที่มากดทับไปยังร่างของทั้งสองคนจนทำให้หายใจแทบไม่ออก! ดวงตาของเตาเหวินเทียนหรี่ลงมองไปยังทั้งสองอย่างเย็นชา
ปรมาจารย์ดิน! มีเพียงปรมาจารย์ดินเท่านั้นที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสิบอย่างหงเหล่ยสั่นกลัวได้!
“ในการเดินทางครั้งนี้มีสิ่งสำคัญที่เป็นเหตุให้กลุ่มโจรสมิงดำไล่ตามมา ผู้จัดการเสินมอบหมายให้ข้าคุ้มกันของสิ่งนั้น หากเป็นเรื่องอื่นข้าจะไม่เข้าแทรกแซงการทำงานของพวกเจ้าแน่นอนแต่สำหรับเรื่องนี้เกรงว่าคงไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้! ไม่ใช่เพียงแค่พวกเจ้าเท่านั้นเพราะแม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่อาจแบกรับความผิดนี้ไหวหากเกิดเรื่องผิดพลาด! ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
ทั้งเหม่ยฉีและหงเหล่ยหันมาสบตากันก่อนจะพยักหน้าทันที ต่อหน้าปรมาจารย์ดินเช่นนี้พวกเขายังกล้าพูดอะไรได้อีก? อีกอย่างยังมีเรื่องของสำคัญเข้ามาเกี่ยวด้วยดังนั้นคำพูดของเตาเหวินเทียนเรื่องโจรสมิงดำจึงเป็นไปได้สูง แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่ว่าของพวกเขาต่างกับสิ่งสำคัญของเตาเหวินเทียน สำหรับพวกเหม่ยฉีนั้นคือของที่ผู้จัดการเสินฝากมาแต่สำหรับเตาเหวินเทียนนั้นคือโจวหยาง! องค์ชายสี่แห่งราชวงศ์โจว!
“เช่นนั้นก็ไปเตรียมการได้แล้ว!”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว