“หนึ่งเลยเอ็งต้องรู้ก่อน ว่ายุทธทวีปแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามยุค ยุคแรก...” ซุนโหวหวังเริ่มเล่าเรื่องโดยเริ่มจากการปูพื้นฐานตั้งแต่เริ่มแรกให้แก่หลิวเจี้ยนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งนอกสำนัก ซึ่งหลิวเจี้ยนคือเจ้ามือเลี้ยงอาหารเพื่อชดใช้หนี้พนันที่เดิมพันเอาไว้ในด่านทดสอบแรกเรื่องพละกำลัง
ตามที่โหวหวังเล่า ยุทธทวีปนั้นแบ่งออกได้เป็นสามยุคใหญ่ ๆ หนึ่งคือ ยุคโบราณ ยุคกลาง และ ยุคปัจจุบัน
ยุคโบราณนั้นเริ่มต้นขึ้นตามการคาดการณ์เมื่อราว ๆ สองหมื่นปีก่อน แม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าอารยธรรมของชนชาวยุทธทวีปมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใดหรือสิ้นสุดลงตรงไหน แต่ตามพงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุดนั้น เริ่มมีการจดบันทึกครั้งแรกหลังจากการคิดค้นตัวอักษรได้เมื่อราว ๆ สองหมื่นกว่าปีก่อน ซึ่งซุนโหวหวังก็ได้อธิบายเสริมว่าประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นเชื่อถือไม่ค่อยได้ เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่มีแต่การฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงอาณาเขตหรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ก็ตามที แต่มีเพียงผู้ที่ชนะจากการฆ่าฟันกันในครั้งนั้นที่มีสิทธิ์พูด ผู้แพ้หากไม่ตายดับไปคำพูดของคนพ่ายก็ไร้น้ำหนักอยู่ดี จึงไม่ทราบว่าสรุปคำพูดของฝ่ายไหนหรือบันทึกใดแน่ที่เป็นบันทึกที่เขียนจากเรื่องจริง หรือบันทึกไหนที่บิดเบือนมากน้อย จึงเป็นยุคสมัยที่ความน่าเชื่อถือทางบันทึกต่าง ๆ ต่ำเตี้ยเอามาก ๆ ไม่ควรนำมาคิดหรือใส่ใจ
ยุคกลางนั้น ตามการแบ่งแยกออกมาคือเริ่มเมื่อราว ๆ หนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน ถือได้ว่าเป็นยุคสมัยที่ยาวนานที่สุดที่มีการจดบันทึกเอาไว้
คนบนยุทธทวีปในช่วงนี้เริ่มมีการแบ่งเป็นก๊ก ๆ แบ่งอาณาเขตและดินแดนอย่างแน่ชัด การทำสงครามยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลงและมีความดิบเถื่อนน้อยกว่ายุคสมัยโบราณมากมายนัก ผู้คนบนผืนแผ่นดินเริ่มเป็นผู้มีอารยะมากขึ้น ไม่ใช่สักแต่ฆ่าล้างกัน
ซึ่งยุคสมัยนี้นั้นความน่าเชื่อถือก็ยังมีไม่มากด้วยเหตุผลข้อเดียวกับยุคสมัยโบราณ เพราะยังเป็นยุคที่มีการทำสงครามอยู่เนือง ๆ แม้ว่าจะน้อยกว่า แต่ก็ตามคำโบราณที่มีคนกล่าวเอาไว้ ผู้ชนะสงครามคือผู้ที่เขียนประวัติศาสตร์
ส่วนยุคสมัยปัจจุบันนั้น ก็เริ่มขึ้นหลังจากก๊กต่าง ๆ ถูกควบรวมเป็นสี่อาณาจักรและสองดินแดน ตามบันทึกที่เขียนเอาไว้ ยุคสมัยนี้เริ่มขึ้นเมื่อสี่พันปีก่อน
“แล้วประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไปนั้นก็เกิดขึ้นในช่วงปลายยุคกลางจนถึงต้นยุคปัจจุบัน ไม่ทราบแน่ชัดว่ารอยต่อของ ประวัติศาสตร์ที่หายไปเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่ช่วง ย.ศ.300 (ยุทธศักราช ที่ 300) ก็ได้เริ่มมีการเขียนถึง ย.ศ. 251 ว่าในยุคสมัยนั้น ได้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตคนกว่าหลายแสนคนในจักรวรรดิเต่าทมิฬ หลายคนจึงคาดเดาว่า ย.ศ. 250 ลงไปคือช่วงของประวัติศาสตร์ที่หายไปของยุทธทวีป” ซุนโหวหวังกล่าวพร้อมทั้งยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มหลังจากทานอาหารจนอิ่ม
“แล้ว..เจ้ารู้หรือไม่..ว่าเหตุใด..ในช่วงเวลานั้น..ถึงไม่ได้มี..การจดบันทึกเอาไว้.. โอ๊ยเผ็ด!!” หลิวเจี้ยนยกมือขึ้นปาดเหงื่ออีกมือหนึ่งก็รินน้ำชาขึ้นดื่มพร้อมเติมอยู่ตลอดด้วยความเผ็ดร้อนของอาหารเพราะอาหารที่ซุนโหวหวังสั่งมานั้นมีแต่อาหารรสจัดทั้งสิ้น แม้ว่าบุรุษคิ้วบางจะเกิดและเติบโตที่เมืองร้อน กินอาหารรสจัดจนชิน แต่บนโต๊ะมีแต่อาหารที่แต่งแต้มไปด้วยสีแดงทุกจน มันจึงเกินความอดทนของหลิวเจี้ยนไปไกลนัก คิ้วคู่บางของมันในตอนนี้มีแต่น้ำเค็มไหลอาบจนเปียกชุ่มไปสนหมดครบทุกเส้น
“ใครว่ามันไม่มีจดบันทึก..” ซุนโหวหวังกล่าวพร้อมใช้ตะเกียบคีบกุ้งที่มีซอสเผ็ดเคลือบอยู่เต็มตัวเข้าปาก “แต่มันถูกลบออกไปต่างหากเล่า”
“ลบออกไป..? เพราะอะไร?”
“ไม่มีใครรู้..” ซุนโหวหวังกล่าวในตอนที่วางตะเกียบลง “แต่ในบันทึกของสกุลพญาวานรของฉัน ในช่วงเวลานั้นบรรยากาศภายในยุทธทวีปล้วนตึงเครียด ก๊กต่าง ๆ ล้วนมีทหารประจำอยู่ตามหัวเมืองใหญ่”
“และในบันทึกในช่วงนั้นยังระบุอีกว่า ในช่วงเวลานั้น สกุลของฉันที่เป็นเจ้าแคว้นที่ชื่อแคว้นพญาวานรได้จับมือกับอีกสามแคว้นจนเกิดเป็นพันธมิตรที่มีชื่อว่า 'จตุพันธมิตร' เพื่อร่วมมือกันปกป้องจากมหาแคว้นหรือมหาอาณาจักรในสมัยนั้น”
“เหมือนเอาไม้ลีบหลาย ๆ ไม้มามัดรวมเพื่อปกป้องจากไม้ซุงสินะ.. เข้าใจได้” หลิวเจี้ยนกล่าวเสริม “แล้วปกป้องตนเองจากแคว้นอะไรเล่า?”
“ก็มากมาย..” ซุนโหวหวังตอบ “อย่างเช่นแคว้นวิหคเพลิง แคว้นปีกมังกรและอาณาจักรเต่าทมิฬเป็นต้น”
“แคว้นปีกมังกร? หรือนั่นคือตระกูลตงในตอนนี้?”
“ใช่แล้ว” ซุนโหวหวังผงกหัวตอบ “แคว้นปีกมังกรก็คือตระกูลตงในปัจจุบัน เช่นเดียวกับอีกสองอาณาจักรที่กลายมาเป็น จักรวรรดิเต่าทมิฬกับแคว้นหงสาเพลิงนิรันดร์ในภายหลัง”
“เช่นนั้นสี่แคว้นที่จับมือกันในตอนนั้นก็คือตระกูลห้าเสาหลักที่เหลือนอกจากตระกูลซุนของเจ้าและตระกูลตงเป็นแน่” หลิวเจี้ยนเอ่ยอย่างรู้ทันทว่าฝ่ายตรงข้ามกับส่ายหัวตอบกลับมา
“ไม่ทั้งหมด” ซุนโหวหวังกล่าวก่อนยกมือขวาขึ้นมาชูสองนิ้วก่อนจะค่อย ๆ หดนิ้วลงไปทีละนิ้วหลังจากเอ่ยจบประโยคต่อไป “มีสกุลพญาวานรของฉันและสกุลอาชาสวรรค์ของพ่อหม่าเฟย ส่วนสกุลศศะและสกุลมหาสิงคาลมาเข้าร่วมกับพวกเราตอนไหนนั้นก็ไม่อาจทราบได้ ไม่มีบันทึกกล่าวถึงช่วงเวลานั้นเลย”
“แล้วไอ้จตุพันธมิตรของเจ้ามีแคว้นไหนบ้างรึ?” หลิวเจี้ยนรีบเอ่ยถามออกไป
“แคว้นพญาวานร แคว้นอาชาสวรรค์ แคว้นไอยระ (ไอ-ยะ-ระ) และมูสิกนคร (มู-สิก-นะ-คร) เป็นสี่แคว้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างสามมหาอำนาจทั้งทิศ หากยึดตามบันทึกที่เขียนเอาไว้ จตุพันธมิตรในตอนถือได้ว่าเป็นมหาอำนาจขั้วที่สี่เลยก็ว่าได้
“ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นเลย..” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นดื่ม “ว่าแต่ไอ้แคว้นไอยระและมูสิกนครที่เจ้าว่า ตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว?”
“ตามบันทึกไม่ได้กล่าวเอาไว้ แต่ตามการคาดเดาของฉัน สองแคว้นนี้น่าจะล่มสลายไปแล้ว แต่ว่าคนจากสกุลไอยราน่าจะเป็นคนสกุลเดียวกับสกุลหัสดีแห่งจักรวรรดิเต่าทมิฬฆ์หรือก็คือตระกูลโกกิลี ส่วนสกุลมุสิกหรือตระกูลฉูเจ้านครแห่งมูสิกนครนั้นไม่แน่ชัดว่าตอนนี้ลูกหลานของพวกมันเหล่านั้นอยู่ที่แห่งหนใด หากสกุลไม่แตกจนกระจัดกระจาย ก็อาจสิ้นจนหมดสกุลแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น แล้วคำทำนายของผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาเริ่มมีมาตั้งแต่ยุคสมัยใด?”
“ไม่มีใครทราบ” ซุนโหวหวังส่ายหัวก่อนมองไปที่สหายของมัน มือขวาของคนชี้ไปที่ตรารูปกระบี่กับขุนเขาตรงหน้าอกของหลิวเจี้ยน “สำนักสี่ขุนเขานั้นก่อตั้งตอนไหนหรือยามใดนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัด ขนาดชื่อของผู้ก่อตั้งของสำนักยังไม่มีใครทราบเลย”
คิ้วที่ชุ่มเหงื่อของหลิวเจี้ยนกระตุกจนทำให้น้ำที่ชุ่มอยู่ไหลลงรดดวงตา “แม้แต่ชื่อของผู้ก่อตั้งยังไม่มีใครรู้? มันเป็นไปได้อย่างไร?”
ซุนโหวหวังเบ้ปากพร้อมกับยักหัวไหล่ของมันทั้งสองข้าง “ฉันจะไปรู้รึ ขนาดคนในสำนักหรือแม้แต่คุณอาของฉันที่เป็นเจ้าสำนักสี่ขุนเขาสาขาหลักรุ่นปัจจุบันเองยังไม่ทราบ นับประสาอะไรกับฉันที่เพิ่งสมัครเข้าสำนักพร้อมกับเอ็งเมื่อวานนี้ พวกเรารู้แค่เพียงท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งนั้นเป็นจอมกระบี่อันดับหนึ่งในยุคสมัยนั้น”
คิ้วคู่บางของหลิวเจี้ยนขมวดชนเข้าหากัน ดวงตาของคนล่องรอยไม่ได้จดจ่ออยู่กับคนที่พูดด้วย
ในความคิดของหลิวเจี้ยน มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บิดาผู้ให้กำเนิดสำนักที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ลูก ๆ ของเขาหรือก็คือผู้สืบต่อวิชาและชื่อสำนักจะไม่มีใครรู้ได้ถึงนามที่แท้จริงของเขา ขนาดฟาโรห์เมเนส ฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์แรกของอียิปต์ที่มีอายุในช่วงสามพันปีก่อนคริสตกาลยังมีคนจดจำพระนามของฟาโรห์องค์นี้ได้จนถึงปัจจุบัน แต่ไหนเลยคนที่ยิ่งใหญ่ปานนั้นถึงไม่มีใครจดจำนามของท่านได้ ต่อให้ถูกลบประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นออกไปไม่ให้มีการจดบันทึก แต่กระนั้นก็ควรมีการเอ่ยถึงหรือรำลึกถึงท่านบ้างมิใช่รึ? ไม่ใช่จดจำแค่ฐานะผู้ก่อตั้งหรือจอมกระบี่อันดับหนึ่งของยุค
เรื่องนี้มีอะไรให้สงสัยอยู่เต็มไปหมด
หลังจากนั้นซุนโหวหวังกับหลิวเจี้ยนก็คุยกันต่อเล็กน้อยถึงเรื่องในช่วงนั้น แต่ทุกคำถามที่หลิวเจี้ยนถามออกไปก็ล้วนแล้วแต่ถูกตอบกลับมาด้วยคำเพียงสองคำ 'ไม่รู้' 'ไม่ทราบ'
หลิวเจี้ยนที่มีผื่นคัดที่เกิดจากความสงสัยที่ขึ้นเป็นจ้ำตามตัวที่เกลาไม่ถูกจุดเสียทีก็ได้แต่อารมณ์เสียจนเลิกถามไป
หลังจากจ่ายค่าอาหารและออกจากร้านอาหารสุดหรูมา สองสหายก็พากันไปเดินซื้อของที่ใช้สำหรับเดินทางเช่นยา..อาหารแห้งหรือแม้แต่เครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในตลาดที่อยู่ทางตะวันออกของเมือง
ที่ทางตะวันออกของเมืองนั้นคือท่าเรือของเมืองนพบุรีแห่งนี้ กลิ่นเกลือทะเลนั้นทำให้หลิวเจี้ยนหวนนึกถึงสถานที่..ที่หนึ่งที่มันได้อาศัยอยู่ในช่วงสองปีกับช่างซื่อผู้เป็นพ่อบุญธรรมจึงทำให้หลิวเจี้ยนรู้สึกคิดถึงช่างซื่อขึ้นมา
ตอนนี้ไม่ทราบเช่นกันว่าพ่อบุญธรรมของหลิวเจี้ยนอยู่ที่แห่งหนใด หลิวเจี้ยนรู้เพียงแค่ว่า ช่างซื่อนั้นบอกว่าเขามีธุระบางอย่างที่ต้องจัดการสักระยะ พร้อมยังย้ำเตือนให้หลิวเจี้ยนอย่าได้ก่อปัญหาในช่วงนี้ เพราะช่างซื่อนั้นไม่ว่างอยู่คอยมาช่วยสะสางปัญหาให้มันในช่วงนี้
.
.
ในวันเดียวกันนั้นเอง ทางตะวันออกของตัวมหานครปัญจมิตร
คนที่หลิวเจี้ยนกำลังคิดถึงอยู่นั้นก็ได้เดินทางมาจนถึงมหานครที่กว้างใหญ่นี้ได้ด้วยความสามารถทางท่าร่างที่แม้ไม่ได้โดดเด่นด้านความเร็วแต่ย่างก้าวภูติเงาของช่างซื่อผนวกเข้ากับระดับพลังของคนที่อยู่ในช่วงชั้นกลืนโลกาขั้นกลาง ก็ได้ทำให้ช่างซื่อใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถเดินทางมาจนถึงเมืองนี้ได้อย่างเร็วไวนัก
ตอนนี้ชายมาดขอทานได้ใช้ท่าร่ายในขั้นที่สามของเขาเพื่ออำพรางระดับพลังของตนเองเอาไว้ ด้วยตัวมหานครแห่งนี้นั้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรปัญจมิตร ย่อมมีคนมากฝีมือมากมายอาศัยอยู่ ซึ่งยอดฝีมือเหล่านั้นน่าจะมีไม่น้อยที่สำเร็จถึงขอบเขต ล่วงรู้นภา ทำให้ไม่จำเป็นต้องแตะสัมผัสก็รู้ได้ถึงระดับพลังของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ๆ ได้ผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของพวกมัน ช่างซื่อจึงต้องแฝงแสร้งทำตัวเป็นขอทานที่ไร้วรยุทธ์เดินไปมาอยู่ภายในมหานครปัญจมิตรจักได้ไม่มีใครสังเกตเห็น
การที่ช่างซื่อต้องทำเช่นนี้ก็แน่นอน เขาในอดีตนั้นเคยแฝงตัวเข้าพรรคมารราตรีค้ำฟ้ามาก่อน ทำให้เขาทำเรื่องผิดบาปมามากมาย เขาจึงไม่อยากให้คนที่มีความแค้นกับเขาหรือคนที่เขาทำให้เจ็บช้ำน้ำใจต้องมาพบเห็นเขาในตอนนี้
ช่างซื่อยังไม่อยากเผยตัวตนของตนเองในยามนี้
มันยังไม่ถึงเวลา
ตอนนี้ช่างซื่อได้มานั่งอยู่ที่มุมตึก..ตึกหนึ่งพร้อมด้วยกะลาไม้ ช่างซื่อได้กลับมาทำอาชีพเก่าในครั้งที่มันคอยปกป้องหลิวเจี้ยนตั้งแต่ยังเล็กคืออาชีพขอทาน
ซึ่งฝั่งตรงข้ามตึกที่ช่างซื่อนั่งขอทานอยู่นั้นเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่สำคัญมากของอาณาจักรปัญจมิตร สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า 'วังยุทธ์ปัญจมิตรสาขาหลัก'
จริงอยู่ว่าสำนักสี่ขุนเขาสาขาหลักคือสำนักอันดับหนึ่งของทวีป แต่วังยุทธ์ปัญจมิตรนั้นคือสำนักอันดับหนึ่งของอาณาจักรปัญจมิตร เนื่องด้วยศิษย์ของสำนักสี่ขุนเขาสาขาเมืองนพบุรีที่เก่งกาจและมีความทะเยอทะยานนั้นล้วนแล้วแต่อยากที่จะถูกเลื่อนระดับเข้าสำนักสาขาหลักกันทั้งสิ้น จึงทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักสี่ขุนเขาสาขาเมืองนพบุรีมีน้อยกว่าวังยุทธ์ปัญจมิตรเพราะยอดฝีมือหรืออัจฉริยะล้วนถูกสำนักสาขาหลักดึงตัวเข้าสำนักไปทุกปี
วังยุทธ์ปัญจมิตรสาขาหลักนั้นเรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาวอาณาจักรนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือที่ฝึกยุทธ์ของบรรดาลูกหลานตระกูลห้าเสาหลักโดยเฉพาะ
แม้จะมีบ้างที่ลูกหลานตระกูลห้าเสาหลักอย่างซุนโหวหวัง..หม่าเฟย..หม่าชุนเฟิงหรืออุสางิซากิที่ได้สมัครเข้าสำนักสี่ขุนเขาไปแล้ว แต่ก็ได้มีตระกูลที่หยิ่งทะนงตระกูลหนึ่งไม่คิดที่จะกลายเป็นศิษย์สำนักนั้น นั่นก็คือคนจากตระกูลตงหรือตระกูลปีกมังกร
ด้วยความที่เป็นหนึ่งในตระกูลราชวงศ์ในสมัยก่อน ซ้ำยังถูกเรียกเป็นหนึ่งในตระกูลสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ที่มักให้กำเนิดลูกหลานที่มีพลังสถิตมังกรฟ้าอยู่บ่อย ๆ คนตระกูลนี้จึงมองว่าตนเองไม่ใช่ตระกูลที่ต้อยต่ำจนถึงขนาดต้องไปเป็นศิษย์ของมหาอำนาจสำนักอื่น พวกมันจึงได้ส่งลูกหลานของพวกมันเข้าวังยุทธ์ปัญจมิตรในอาณาจักรของตนเอง
จึงทำให้วังยุทธ์ปัญจมิตรแห่งนี้แม้จะไม่ใช่สำนักอันดับหนึ่งของทวีป แต่เรื่องอันดับสองนั้น ก็ยังสามารถพูดได้อยู่แม้จะมีวังยุทธ์ของสามอาณาจักรที่เหลือคัดค้านก็ตามที
“ไป..ไป๊! ตั้งแต่เจ้ามานั่งขอทานที่นี่ไม่มีลูกค้าเข้าร้านข้าสักคนเลย” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งกล่าวพร้อมโบกมือไล่ช่างซื่อ
“ที่นี้แดดมันร่ม..” ปากคนกล่าวอย่างไม่นำพา มือขวาคนเคาะกะลาไม้สายตาจ้องมองไปทางประตูของวังยุทธ์ไม่มีขาด
“ร้านข้าง ๆ ก็แดดร่ม.. เจ้าไปนั่งที่ตรงนั้นก็ได้! ใยถึงต้องเป็นร้านข้า?” หญิงเจ้าของร้านสุดไม่เข้าใจ เหตุใดขอทานตรงหน้านางถึงได้ปักหลักนั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งหลายชั่วยามแล้ว
“ข้าบอกว่าแดดมันร่มอย่างไรเล่า!” สายตาของคนพลันเบี่ยงตวัดมองไปที่หญิงเจ้าของร้าน แม้จะใช้ท่าร่างของตนเองปิดบังอำพรางระดับวรยุทธ์เอาไว้ ทว่าท่าร่างนั้นก็มิอาจบดบังจิตสังหารที่ถูกฉายออกมาผ่านดวงตาของช่างซื่อได้
หญิงร่างท้วมถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว จิตสังหารที่ขอทานตรงหน้านางแผ่ออกมานั้นสุดหวาดหวั่น นางที่เป็นเพียงหญิงธรรมดาไร้วรยุทธ์ทำอาชีพค้าขายไม่เคยพบเจอกับจิตสังหารที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อนก็ได้แต่กลัวจนวิ่งหนีหลบเข้าไปข้างหลังร้าน
ด้านช่างซื่อรีบรวบเก็บจิตสังหารนั้นกลับใส่กระเป๋าก่อนเหวี่ยงสายตากลับหันมองไปที่ทางหน้าประตู
ซึ่งครานี้สายตาของช่างซื่อก็ได้เกิดแววตื่นตกใจออกมาวูบหนึ่ง ก่อนที่สายตานั้นจะค่อย ๆ อ่อนโยนลง มือที่เคาะกะลาพลันหยุดชะงัก
“เจ้ายังสวยเหมือนเดิม.. อินทรีน้อยของข้า..”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว