นางสาวจันอับ

อ้อยเข้าปากช้าง ๑

เสิ่นหลิ่งอี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสมรภูมิ รอบข้างมีแต่ซากศพและกลิ่นคาวเลือด ลมหายใจที่ไม่เคยเป็นของตนเองมาตั้งแต่ตัดสินใจเดินเข้ากองทัพ มือที่กุมชีวิตของคนนับหมื่น ทำให้เขาไร้ความรู้สึกและเฉยชา และด้วยภาระหน้าที่เขาจะมีห่วงผูกมัดมิได้

เขายอมแต่งภรรยาเข้าตระกูลมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียว เพียงสร้างทายาทให้แก่ตระกูลเท่านั้น เมื่อไม่มีความรัก ย่อมไม่ก่อเกิดความผูกพัน เสียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งดังออกมาจากร่างสูงใหญ่กำยำ

อย่าได้นึกโทษข้า...ไม่มีผู้ใดลิขิตชะตาตนเองได้ แม้แต่เขาก็เช่นกัน

สองวันต่อมา

“เฮอะ! หญิงม่ายอย่างนั้นรึ” เสิ่นหลิ่งอี้ตวาดเสียงดัง ขึงตามองกวนจื่อ องครักษ์คนสนิท ด้วยสีหน้าบึ้งตึง มือใหญ่กำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน

“ฮะ...ฮูหยินน้อยกล่าวเช่นนั้นขอรับ” กวนจื่อหลุบตาลงทั้งกลัว ทั้งขัน ฮูหยินน้อยช่างไม่กลัวนายท่านเอาเสียเลย

มารดาเจ้าเถอะ! เขายังไม่ตายนางจะเป็นม่ายไปได้อย่างไร

“ข้ายอมหย่าให้นางแล้วหรือก็ไม่” สตรีโง่งมเช่นนางใช้สมองส่วนไหนคิดกัน ถึงกล้าเอ่ยว่าตนเองเป็นหญิงม่าย

“นางอยู่ที่ใด!” ตวาดออกไปเสียงเข้ม ดวงตาคมจ้องเขม็ง นึกอยากจะจับนางฟาดก้นแรงๆ

“เอ่อ...ฮู่หยินน้อยเปิดโรงเตี๊ยมอยู่ที่นอกเมืองเป่ยเปียนขอรับ นายท่าน” เอ่ยไปแล้วก็ลอบชำเลืองมองผู้เป็นนาย พอสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แผ่กำจายออกมาจากร่างสูงใหญ่ กวนจื่อแทบอยากจะกลิ้งตัว แล้วหายไปเสียเดี๋ยวนี้

“ไปเตรียมม้า! ข้าอยากเห็นหน้าสตรีม่ายผู้นั้นยิ่งนัก” เอ่ยจบร่างสูงก็เดินกระแทกเท้าหนักออกจากห้องหนังสือ เขาแทบอดใจไม่ไหวอยากจะเห็นหน้าสตรีน่าตายผู้นั้นนัก

ภรรยาของข้าเจ้าไม่รักชีวิตตัวเองแล้วใช่หรือไม่....

อา...นายท่านโปรดบรรเทาโทสะด้วยขอรับ

สวรรค์! นายท่านโกรธแล้ว นายท่านโกรธแล้ว กวนจื่อได้แต่ร่ำร้องในใจ เขารับใช้นายท่านมานานไม่มีครั้งไหนที่นายท่านจะโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ช่างเถอะขอเพียงอย่าให้มีผู้ใดโง่เข้ามาขวางทางกระบี่เลย เขาไม่อยากเก็บกวาดเลยสักนิด

เมืองเป่ยเปียนอยู่ห่างจากเมืองหลวงกว่าพันลี้ หากเดินทางด้วยรถม้าคงใช้เวลาหลายวันอยู่ แต่หากเดินทางด้วยม้าใช้เวลาไม่เกินสามถึงสี่วันคงถึงเป่ยเปียน เช่นนี้จะนับว่าไกลก็มิใช่ จะใกล้ก็มิเชิง

คิมหันตฤดูมาเยือนอากาศค่อนข้างอบอ้าว ทำให้จำนวนนักเดินทางลดน้อยลง ไป๋เหมยหลินนั่งดีดลูกคิดทำบัญชีอยู่ด้านในสุดของห้องโถง ด้านหน้ามีเพียงฉากกั้นไม้ขึงด้วยผ้าโปร่งบาง ปิดกั้นสายตาของเหล่าบุรุษที่จดจ้องหวังชื่นชมความงาม

ผู้ใดจะนึกรังเกียจสตรีที่งดงามประดุจธิดาจำแลง นางมีเรือนร่างอรชร มองอย่างไรก็มิรู้สึกเบื่อ ถึงจะผ่านการแต่งงานมาแล้วก็ตาม แต่อย่างไรในเมื่อภรรยาที่บ้านยังงดงามมิได้ปลายเล็บของสตรีม่ายผู้นี้

‘กลิ่นหอมที่รุนแรงมักดึงดูดภุมรินที่น่าเกลียด นั้นเป็นเรื่องจริง” นางทำการค้าย่อมหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนไปมิได้ หากเป็นสตรีในห้องหอ มองอย่างไรก็น่าเกลียด โชคดีที่นางเป็นแค่หญิงม่ายจึงละเลยธรรมเนียมบุรุษ สตรีไปได้

วันนี้แขกที่เข้าพักมีไม่มากนัก แต่แขกที่เข้ามาดื่มกิน และหวังจะได้ชมโฉมสตรีผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นยังมีมากมาย ไป๋เหมยหลินนั่งดีดลูกคิดอยู่เกือบชั่วยาม รู้สึกว่าอากาศเริ่มร้อนอบอ้าวจนเหงื่อเริ่มตกมาที่หัวคิ้ว นางจึงลุกขึ้นบิดเอวไปมาไล่ความเมื่อยขบ ก่อนหันไปเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท

“เพ่ยจู ข้าจะขึ้นไปพักข้างบนสักหน่อย เรื่องเล็กน้อยเจ้ากับกัวเฉินตัดสินใจได้เลย”

“เจ้าทึ่มกัวเฉินจะตัดสินในอันใดได้เจ้าคะ” พอเอ่ยถึงกัวเฉิน เพ่ยจูก็ยื่นจมูกปาก พลางหน้าแดงขึ้นมา

ไป๋เหมยหลินยกมือขึ้นบีบปลายจมูกสาวใช้คนสนิท พลางเอ่ยหยอกล้อ “อ้อ กัวเฉินทั้งทึ่ม ทั้งโง่สินะ ถึงมองไม่เห็นเจ้าสักทีสินะ”

“คุณหนู!” เพ่ยจูหน้าแดงไปหมดแล้ว

“เอาล่ะๆ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจะขึ้นไปพัก ส่วนเจ้าก็ไปช่วยเจ้าทึ่มกัวเฉินก็แล้วกัน อ้อ อย่าลืมบอกป้ากัวให้ทำหมั่นโถวเพิ่มอีกสักหน่อย ตลาดในเมืองเริ่มคึกคักคาดว่าอีกสองวันน่าจะมีนักเดินทางเพิ่มมากขึ้น”

“เจ้าค่ะคุณหนู” เพ่ยจูมองตามแผ่นหลังบางที่เหยียดตรง สองวันก่อนนางแอบเห็นประกายแววตาเศร้าในดวงตาคู่งาม สตรีที่จากบ้านมาไกลถึงเพียงนี้มีหรือจะไม่คิดถึง

หลายปีที่ผ่านมาคุณหนูของนางเข้มแข็งขึ้นแล้วก็จริง แต่สตรีที่ผ่านการหย่าร้างย่อมเป็นสตรีที่ถูกแต้มสี ผู้ใดจะมองว่าบริสุทธิ์อยู่ได้ น้อยนักที่จะหาบุรุษที่มีความจริงใจและไม่นึกรังเกียจคุณหนูของนาง

แต่...ก็ใช่ว่าไม่มีเสียเมื่อไหร่


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว