บทที่ 44 เมิ่งจิงกลายเป็นที่นิยม
“คุณหนูเมิ่ง ข้าชื่อเฉียนเฟิง ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของสำนักชางฉง อยู่ในขั้นต้นของขอบเขตสร้างรากฐาน”
“คุณหนูเมิ่ง ข้าเป็นหลานชายของเจ้าสำนักวิญญาณสวรรค์…”
ทันทีที่เมิ่งจิงปรากฏตัว เด็กหนุ่มจำนวนมากก็เข้ามาห้อมล้อมนางเพื่อแนะนำตัวอย่างกระตือรือร้น
สำหรับพวกเขาแล้ว ตระกูลโบราณใด ๆ ล้วนไม่สามารถล่วงเกินได้
ถ้าตัวตนดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เช่นนี้ พวกเขาต้องผูกมิตรกับอีกฝ่ายเข้าไว้
หากสามารถเป็นคู่บำเพ็ญได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกเขาเองและตระกูลอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อชะตากรรมของตระกูลไปอีกหลายพันปี
เมิ่งจิงไม่สนใจคำพูดของคนเหล่านี้เลย "แซ่ของข้าไม่ใช่เมิ่ง ข้าชื่อเจียงผิงอันต่างหาก"
หลังจากพูดจบนางก็แทบพุ่งไปที่บริเวณของหวานอย่างรอไม่ไหว
ที่นั่นมีขนมอบทุกชนิด ซึ่งทำให้นางน้ำลายสอยิ่ง
เหล่าเด็กหนุ่มที่ถูกละเลยไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น แต่พวกเขายังชอบเมิ่งจิงมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นท่าทางน่ารักและซุกซนของนาง
พวกเขาเดินตามไปเพื่อหวังผูกมิตร
ทางเจียงผิงอันสามารถบอกสถานะปัจจุบันของเมิ่งจิงได้จากปฏิกิริยาของคนเหล่านี้
บางคนไม่ได้เข้าหาเมิ่งจิงโดยตรง แต่ไปหาเจียงผิงอันแทน
เฟิงอวี่เฉินซึ่งอ้างว่ามาจากสำนักมังกรเกล็ดนิลยืนขวางหน้าเจียงผิงอันไว้ "เจ้าเป็นอะไรกับคุณหนูเมิ่ง?"
“นางเป็นบุตรสาวของหัวหน้าข้า” เจียงผิงอันตอบ
เฟิงอวี่เฉินจึงตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น
ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉยเมย "บอกข้ามาว่าคุณหนูเมิ่งชอบอะไรและนางมีงานอดิเรกอะไรบ้าง หากเจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าจะให้รางวัลเจ้าด้วยโอสถรวมวิญญาณ"
"เจ้าไปถามนางเอาเองได้"
เจียงผิงอันคิดว่ามันไม่สุภาพเล็กน้อยที่จะเล่าเรื่องของเมิ่งจิงให้คนอื่นฟังง่าย ๆ
“เจ้าเป็นแค่คนรับใช้ กล้าดีอย่างไรมาขัดคำสั่งข้า!” ฉับพลัน ดวงตาของเฟิงอวี่เฉินก็มืดลง
เจียงผิงอันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลก ๆ นี่คือการขัดคำสั่งงั้นหรือ?
เขาไม่เข้าใจวงจรสมองของเด็กหนุ่มผู้นี้เลย ปกติแล้วคนผู้นี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน เขาจึงคิดว่าการที่อีกฝ่ายไม่ทำตามที่เขาต้องการกลายเป็นความผิดไปได้?
เจียงผิงอันขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจคนผู้นี้ จึงหมุนตัวเดินไปยังบริเวณอาหาร
ครั้นเฟิงอวี่เฉินเห็นว่าตนถูกเมิน ดวงตาของเขาก็สั่นไหว จดจำรูปร่างหน้าตาของเจียงผิงอันไว้ และเตรียมไปสั่งสอนบทเรียนให้กับอีกฝ่ายในอีกสองวัน
เจียงผิงอันไม่สนใจว่าตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองหรือไม่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นจวนของเจ้าเขต พวกเขาไม่กล้าลงมืออยู่แล้ว
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็ตกลงไปที่เนื้อของสัตว์ภูตละลานตา ซึ่งเขารู้สึกตกใจเมื่อสังเกตเห็นพลังงานที่มีอยู่ในเนื้อเหล่านั้นจึงเผลออุทานขึ้น
“นี่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อของสัตว์ภูตในขั้นปลายของขอบเขตสร้างรากฐาน!”
“ช่างเป็นสุนัขบ้านนอกอะไรเช่นนี้ กระทั่งเนื้อคุณภาพต่ำเช่นนี้ก็ยังไม่เคยกิน”
เฟิงอวี่เฉินเดินผ่านไปพลางเอ่ยเยาะหยัน เขาเกลียดคนที่ไม่เชื่อฟังอย่างยิ่ง เจ้าคนรับใช้นี่มีคุณสมบัติอันใดมาขัดคำลั่งเขากัน?
“เขาเป็นเพียงขยะที่มีระดับพลังยุทธ์ต่ำที่ยังไม่ถึงกระทั่งระดับยอดยุทธ์ด้วยซ้ำ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เคยกินเนื้อประเภทนี้ เขาเป็นคนยากจนคนหนึ่ง”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนปรากฏตัวขึ้น อีกฝ่ายคือหม่าเหว่ยผู้ถูกเจียงผิงอันขับไล่ไปเมื่อวานนี้
หม่าเหว่ยยังคงยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เมื่อครู่นี้เขาจึงตกใจที่เห็นอีกฝ่ายมาพร้อมกับเมิ่งจิง
โชคดีที่เขาได้ยินจากด้านข้างว่าเจียงผิงอันกับเมิ่งจิงไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ไม่เช่นนั้นการแก้แค้นคงเป็นเรื่องยากแล้ว
เจียงผิงอันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของคนทั้งสอง เขาไม่ต้องการสร้างปัญหา จึงตัดสินใจเมินพวกเขาไป
เขาหยิบโอสถสีม่วงออกมาแล้วส่งให้พ่อครัว "ข้าจะซื้อเนื้อสัตว์ภูต"
เนื้อสัตว์ภูตดีกว่าโอสถปราณโลหิตและโอสถรวมวิญญาณมาก ไม่เพียงแต่สามารถเติมปราณวิญญาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปราณโลหิตด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับการฝึกฝนของเขาอย่างมาก
"โอสถสร้างรากฐาน!!"
เมื่อเห็นโอสถที่เจียงผิงอันหยิบออกมา ดวงตาขนาดเท่าถั่วเขียวของหม่าเหว่ยก็เบิกกว้างขึ้น
เด็กคนนี้ถึงกับมีโอสถล้ำค่าอยู่กับตัว!
เฟิงอวี่เฉินเองก็ตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีสถานะพิเศษและมีทรัพยากรมากมาย แต่หากต้องควักโอสถสร้างรากฐานออกมา เขาก็ยังอดหน่วงในอกไม่ได้
แต่เด็กคนนี้กลับหยิบโอสถสร้างรากฐานออกมาใช้ซื้อของง่าย ๆ
เขาร่ำรวยงั้นหรือ?
พ่อครัวยิ้มให้เจียงผิงอันแล้วส่ายหัว "เจ้าเขตสั่งไว้ว่าให้อัจฉริยะอย่างพวกเจ้ากินอาหารที่นี่โดยไม่ต้องจ่ายสิ่งใด แต่เจ้าไม่สามารถนำอะไรออกไปมากเกินไปได้"
เจียงผิงอันตะลึงที่เนื้อของสัตว์ภูตระดับสูงเหล่านี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นับว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง
“เช่นนั้นโปรดให้ข้าชิ้นหนึ่งด้วย”
เจียงผิงอันมีความสุขยิ่ง หากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มันก็ช่วยประหยัดทรัพยากรได้มาก
เขาไม่เคยกินเนื้อสัตว์ภูตระดับสูงขนาดนี้มาก่อนเลย มันจะต้องมีปราณวิญญาณและปราณโลหิตมากมายอยู่ในนั้นแน่
พ่อครัวรีบหั่นเนื้อชิ้นใหญ่ด้วยมีดพิเศษอย่างรวดเร็ว ก่อนเขาจะวางมันลงบนจานแล้วส่งให้เจียงผิงอัน
เจียงผิงอันไม่กล้าขออะไรเพิ่ม เนื้อที่มีพลังงานมากเพียงนี้ เขาอาจไม่สามารถกินหมดด้วยซ้ำ เนื่องจากการกินมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายระเบิดได้
“เจ้ามันเด็กบ้านนอก ดูสิว่าเจ้าขาดความรู้เพียงใด”
หม่าเหว่ยสงสัยว่าเจียงผิงอันซึ่งไม่รู้เกี่ยวกับนิกายเพียวเมี่ยวด้วยซ้ำ อาจไม่รู้คุณค่าของโอสถสร้างรากฐาน ถึงได้หยิบมันออกมาเพื่อซื้อเนื้อสัตว์ง่าย ๆ
เจียงผิงอันไม่ได้คิดสนใจอีกฝ่าย แต่ยามนี้เอง เมิ่งจิงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
นางถือขนมไว้พลางจ้องหม่าเว่ยเขม็ง ก่อนส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ “เจ้าเรียกผู้ใดว่าเด็กบ้านนอก”
ใบหน้าของหม่าเหว่ยแข็งทื่อ เมื่อครู่เขาไม่เห็นว่าเมิ่งจิงอยู่ข้างหลังเจียงผิงอัน
เขารีบพูดอย่างรวดเร็ว "ข้าไม่ได้หมายถึงคุณหนูเมิ่ง แต่ข้ากำลังพูดถึงคนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ท่าน"
“เจ้าสิเป็นคนรับใช้! ทั้งบ้านเจ้าสิเป็นคนรับใช้! เจียงผิงอันคือ... สหายที่ดีที่สุดของข้าต่างหาก!”
เมิ่งจิงไม่พอใจมากเมื่อนางได้ยินคนอื่นเยาะเย้ยเจียงผิงอัน กระทั่งหมดอารมณ์กินขนมด้วยซ้ำ
สีหน้าของหม่าเหว่ยดูน่าเกลียดเล็กน้อย "คุณหนูเมิ่ง ข้ามาจากนิกายเพียวเมี่ยว"
เมิ่งจิงตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า "คนจากนิกายเพียวเหมี่ยวสามารถด่าผู้อื่นแบบมั่ว ๆ ได้งั้นหรือ? เจ้าด่าสหายของข้า ข้าจึงด่าเจ้ากลับ ก็สมควรแล้วนี่"
“นอกจากนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริง ๆ ที่เจ้าคอยประกาศชื่อนิกายทุกครั้งที่ออกมาข้างนอก”
ที่นี่เป็นจวนเจ้าเขต ทั้งยังไม่ใช่โลกภายนอก ถึงล่วงเกินอีกฝ่ายไปก็ไม่เป็นไร
นอกจากนี้ มันยังเป็นไปไม่ได้ที่ตัวตนสูงส่งอย่างสำนักเพียวเมี่ยวจะมาขอให้ลงโทษนางเพียงเพราะเรื่องแค่นี้
ใบหน้าของหม่าเหว่ยมืดลง เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เคารพกันขนาดนี้
ครั้นเห็นผู้คนรอบตัวเขาหัวเราะพลางกระซิบกระซาบกัน หม่าเหว่ยจึงไม่อาจทนอยู่ต่อได้อีก
“ไว้อีกสองวัน ความแข็งแกร่งจะบอกทุกอย่างเอง!”
หม่าเหว่ยไม่ต้องการพูดอะไรอีก เขาจึงลากร่างที่อ้วนท้วนของตนจากไปด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
เพราะไม่สามารถลงมือที่นี่ได้ เขาจึงไว้ค่อยจัดการกับทั้งสองในอีกสองวันแทน!
เฟิงอวี่เฉินได้หายตัวไป ในเวลาเช่นนี้เด็กหนุ่มคนนั้นดูจะเคลื่อนไหวได้ว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ
"เฮอะ"
เมิ่งจิงลากเจียงผิงอันไปนั่งข้างตน "จากนี้ไป ข้าจะปกป้องเจ้าเอง หากใครรังแกเจ้า เพียงบอกข้ามา"
หลังนางปลุกร่างวิญญาณอัสนีให้ตื่นขึ้น คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ก็ถูกลืมเลือนไปสิ้น
เจียงผิงอันยิ้มและตอบรับ "ตกลง"
เมิ่งจิงกัดขนมคำโตแล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางแกว่งขาไปมา “เจ้าควรรีบทะลวงขั้น การแข่งขันชิงสิทธิ์จะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน และกินเวลาถึงห้าเดือน ยิ่งสิทธิ์ที่ชิงมาสูงเท่าไร ทรัพยากรก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
“จะแข่งขันกันอย่างไร?”
เจียงผิงอันกัดเนื้อแล้วเปิดใช้งานเคล็ดป้อมพสุธาเพื่อย่อยพลังงานที่อยู่ในเนื้อ
เมิ่งจิงชี้ไปที่หน้าต่าง “เจ้าเห็นภูเขานั่นหรือไม่?”
เจียงผิงอันมองออกไปนอกหน้าต่าง
ตรงนั้นมีภูเขาสูงอยู่จริง มันมีหมอกบาง ๆ ล้อมรอบตัวภูเขา และมีอักขระลึกลับส่องแสงวิบวับอยู่รอบ ๆ ซึ่งดูลึกลับยิ่ง
เมิ่งจิงกล่าว "ภูเขานั้นมีสามสิบชั้น ซึ่งเฉพาะผู้ที่สามารถขึ้นไปถึงสิบชั้นบนสุดได้ภายในห้าเดือนเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันประลองร้อยเมือง"
“ยิ่งเจ้ามีอันดับสูง ทรัพยากรที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นทุกวัน และยิ่งเจ้าไปสูงเท่าไร เจ้าก็จะมีปราณวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น โดยการฝึกฝนในชั้นสูงสุดหนึ่งวันนั้นจะเทียบได้กับการฝึกฝนภายนอกหนึ่งเดือน!”
“อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะไปสู้ชั้นสูงสุด ทุกวันเจ้าจะต้องยอมรับการท้าทายสามครั้ง หากเจ้าล้มเหลว เจ้าจะต้องลงมาจากชั้นก่อนหน้านี้”
“ในครั้งนี้มีอัจฉริยะทั้งสิ้นเจ็ดสิบแปดคน โดยอยู่ในขั้นปลายของขอบเขตสร้างรากฐานสิบแปดคน ขั้นกลางของขอบเขตสร้างรากฐานยี่สิบห้าคน ขั้นต้นของขอบเขตสร้างรากฐานสามสิบคน โดยมีผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าขอบเขตสร้างรากฐานห้าคน”
เมื่อเมิ่งจิงพูดคำสุดท้ายเสร็จ นางก็มองไปที่เจียงผิงอันอย่างแน่วแน่
"แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถคว้าสิทธิ์และไม่มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่ก็อย่ายอมแพ้เชียว หากข้าคว้าทรัพยากรแล้วเอากลับมาและแบ่งปันให้กับเจ้าอย่างเท่า ๆ กันเอง!"
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว