ผีร้อนร่านรัก NC-ตอนที่ 2 ผู้ชายอะไร น่ากิ๊น..น่ากิน

โดย  mintsoda

ผีร้อนร่านรัก NC

ตอนที่ 2 ผู้ชายอะไร น่ากิ๊น..น่ากิน

ย้อนกลับไปหลังจากที่ซุนโหวหวังถูกถอนวิชาปลุกกำหนัด ภายในห้องประตูบานที่หนึ่ง..

ตอนนี้หลิวเจี้ยนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางห้อง เหตุเพราะมันรอมาเนิ่นนานแล้วแต่คนที่บอกจะสอนมันยังไม่เข้ามา หลิวเจี้ยนไม่รู้จะทำอะไรจึงได้นั่งสมาธิปรับลมปราณภายในร่างพร้อมกับพักสายตาไปในตัว

ห้องแห่งนี้ที่หลิวเจี้ยนอยู่นั้นดูไปไม่ได้พิเศษอะไรเลย มันไม่ต่างกับห้องฝึกทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ของตบแต่ง เป็นเพียงห้องโล่ง ๆ สีขาวที่ไม่มีอะไรเลย ราวกับเป็นห้องเช่าที่รอคนย้ายข้าวของเข้ามาอยู่เท่านั้น


แอด....

“ปล่อยเจ้าคอยนานแล้ว..เจ้าทารกน้อย” เสียงดวงจิตผู้ก่อตั้งดังขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของด้วยจิตต่อสายตาของหลิวเจี้ยนคล้ายผีสางที่ค่อย ๆ ปรากฏออกมาด้วยดวงจิตที่พร่าเลือน “สหายลิงกังของเจ้านั้นมากเรื่องมากความไปหน่อย แต่ก็เรียบร้อยดีแล้ว ส่วนการทดสอบของเจ้าลูกหลานสกุลหนานนั้นก็ดำเนินผ่านไปได้ด้วยดี เจ้าเป็นผู้สุดท้ายที่ข้ามาหา”


หลิวเจี้ยนลืมตาพร้อมกับยืนขึ้น “โหวหวังมันได้รับการสั่งสอนอะไรจากท่านหรือครับ.. ท่านอดีตเจ้าสำนัก?”


“ข้าไม่ได้ถ่ายทอดอะไรให้มันเป็นพิเศษ แต่เป็นมันนั้นแลที่กำลังถ่ายทอดและสอนสั่งกระบวนท่าต่าง ๆ ให้ทารกหญิงสกุลหนานอย่างสนุกสนานอยู่” น้ำเสียงของดวงจิตดูขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงซุนโหวหวัง ด้วยตัวคนที่เฒ่าที่ชราแล้วเพิ่งถูกคนรุ่นหลังที่อายุทบกันได้หลายรอบด่าด้วยคำหยาบมากมายมาหมาด ๆ


“ที่แท้พวกนั้นก็กำลังฝึกวิชากันอยู่..” ด้วยคำอ้อม ๆ ที่เอ่ยกับคนที่ขาวสะอาดในเรื่องอย่างว่า มันจึงทำให้หลิวเจี้ยนคิดว่าสหายของมันคงได้สอนวิชากระบองตระกูลซุนพร้อมกับกลั่นแกล้งแต๊ะอั๋งหญิงสาวเล่นอย่างสนุกสนานจึงน่าจะเข้าทางของซุนโหวหวัง “แล้วด่านทดสอบของหงส์ชุนเป็นเช่นไรหรือขอรับ?”


ฟังคำกล่าวของหลิวเจี้ยน ภายในห้วงความคิดของดวงจิตเจ้าสำนักพลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประตูบานที่สอง

ตอนนี้หนานหงส์ชุนกำลังถูกทรมานอย่างแสนสาหัสจากทัณฑ์สวรรค์ที่ผ่าลงใส่ร่างมันอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้หนานหงส์ชุนต่างหวีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน มันทั้งเจ็บและปวด หากตอนนี้ดวงจิตผู้ก่อตั้งย้อนกลับไปที่ห้องที่สองแล้วเห็นศพที่ไหม้เกรียมของหนานหงส์ชุน ดวงจิตดวงนี้ก็ไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

ที่ดวงจิตดวงนี้กระทำกับตัวของหนานหงส์ชุนด้วยความรุนแรงเช่นนั้นก็อย่างที่คนทุกคนทราบ การจะปลุกเปลวนิพพาน ตัวของหนานหงส์ชุนต้องตกอยู่ในภาวะกึ่งเป็นกึ่งตายที่สุดจนกว่าเปลวนิพพานภายในร่างของมันจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อปกป้องร่างของคนจากทัณฑ์สวรรค์


“เจ้าอย่าได้สนใจมันเลย.. สนใจเพียงตัวเจ้าเป็นพอ” ดวงจิตของผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ก่อนที่ข้าจะช่วยเจ้าผสานปราณสองสายเข้าหากัน เจ้าต้องเข้าใจก่อน ว่าวิธีนี้มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการปลุกเปลวนิพพานของทารกราชสกุลหนานเสียอีก”


หลิวเจี้ยนยืนฟังอย่างเงียบงัน ไม่ได้มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจหรือบังเกิดความกลัวขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

ที่มันเป็นเช่นนี้เพราะมันไม่รู้ว่าอะไรคือเปลวนิพพาน และยิ่งไม่รู้ว่าการปลุกเปลวนิพพานนั้นยากเย็นขนาดไหน มันเป็นเพียงคนที่เติบโตจากทวีปอื่น เพิ่งรู้เรื่องราวในยุทธภพไม่ถึงสามปี หากเทียบกับคนอื่น ๆ หลิวเจี้ยนนั้นมีความรู้ในเรื่องนี้ไม่ต่างกับเด็กสิบขวบเท่านั้น


“ไหน.. เจ้าลองเรียกพลังทั้งสองสายของเจ้าออกมา..”


หลิวเจี้ยนเร่งทำตามอย่างเร็วไว ก่อนอื่นตัวบุรุษคิ้วบางลองเรียกปราณครามที่มันถนัดและใช้บ่อยที่สุดขึ้นมาที่มือข้างขวา ก่อนที่ตัวคนจะเพ่งสมาธิ ใช้เวลานานหน่อยถึงเรียกปราณชาดให้จุดติดขึ้นบนมือข้างซ้าย

หลังจากเรียกพลังทั้งสองสายขึ้นมา แม้จังหวะการหายใจของมันจะเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเหนื่อยอ่อน มันยังอยู่ในระดับที่พอรับไหวเพราะที่ผ่านมา มันได้ฝึกการเรียกปราณทั้งสองสายนี้ออกมาจนคุ้นชินแล้ว


“ตอนนี้เจ้าคงรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติหลายเท่า หากเจ้าพยายามเก็บการคงอยู่ของปราณสองสายพร้อมกันเช่นนี้ต่อไป มือซ้ายขวาของเจ้ามันจะค่อย ๆ หนักขึ้น เส้นปราณของเจ้าจะปวดระบมอีกพลังปราณที่เจ้าเรียกออกมาต่างไม่สงบนิ่งคล้ายเปลวเพลิงที่ถูกสายลมพัดพลิ้ว.. เอาละทีนี้..คลายพลังปราณของเจ้าลงก่อน ข้าจะอธิบายถึงเหตุผลของอาการนี้ของเจ้าให้ได้รู้”


หลิวเจี้ยนทำตาม มันรีบสลายพลังปราณทั้งสองสายอย่างเร็วไวโดยเริ่มจากปราณชาดก่อนค่อยตามด้วยปราณครามตามลำดับ เมื่อคลายพลังทั้งสองสายออก ลมหายใจของบุรุษคิ้วบางจึงค่อย ๆ กลับมาอยู่ในระดับปกติ


“ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้ก่อน ว่าคนปกติทั่วไปหลังจากถูกปลุกพลังสถิตร่าง ร่างกายของมันคนนั้น ๆ จะสร้างเส้นปราณขึ้นมาหนึ่งเส้นที่เชื่อมไปยังจุนตันเถียนที่ถูกปลุกให้ตื่น แต่สำหรับเจ้านั้นแตกต่าง ด้วยตราประทับปราณของเจ้าคือหวงหลงราชันมังกร ในร่างของเจ้าจึงได้ก่อกำเนิดเส้นปราณขึ้นมาสองเส้น คือเส้นปราณครามและเส้นปราณชาดที่พัวพันยุ่งเหยิงในร่างของเจ้า ในตอนที่เจ้าเรียกพลังปราณสองสายขึ้นมาพร้อมกันมันจึงทำให้เจ้ารู้สึกเหนื่อยอ่อนเป็นพิเศษ.. เอาเป็นข้าจะเปรียบง่าย ๆ ให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”

เมื่ออธิบายมาจนถึงจุดแรกสุด อดีตเจ้าสำนักรุ่นแรกก็ได้เห็นใบหน้าอันป่วยงงของคนที่มันพร่ำสอน ตัวดวงจิตจึงได้เรียกพลังปราณของมันขึ้นมาที่บนนิ้วชี้ ก่อนที่ตัวคนจะบรรจงวาดรูปลงบนพื้นเบื้องล่างของตนเอง

“จุดตันเถียนของเจ้านั้น ทำหน้าที่อยู่สองหน้าที่ หนึ่งคือกักเก็บพลังปราณของเจ้าไม่ให้มากจนเกินระดับที่เจ้ารับไหวหรือหากน้อยเกินไป มันก็จะคอยสร้างพลังปราณใหม่ขึ้นมาทดแทนปราณที่สูญไป สองคือการสูบฉีดลมปราณไปยังเส้นลมปราณ โดยปกติแล้วมันก็จะไม่มีปัญหาอะไรหากเจ้าใช้เพียงพลังปราณเพียงชนิดเดียว หากแต่ว่าเมื่อใดที่เจ้าคิดใช้พลังปราณสองสายพร้อมกัน จุดตันเถียนของเจ้าที่งานชุกอยู่แล้วจะยิ่งทำงานหนัก ไม่เพียงทำให้เจ้ารู้สึกเหนื่อยอ่อนกว่าปกติ ยังทำให้พลังปราณที่กลั่นออกมานั้นไม่เสมอ ดูได้จากการที่เจ้าไม่สามารถคงรูปของพลังปราณทั้งสองสายได้อย่างเสถียรจนเกิดเป็นลักษณะคล้ายเปลวไฟที่ถูกสายลมพัด ทุกอย่างล้วนเป็นการต่อต้านจากจุดตันเถียนของเจ้าเองโดยเจ้าไม่รู้ตัว นี่ยังไม่รวมถึงยามที่เจ้าผ่านไปถึงระดับสัมผัสสรรพวิถีที่สามารถแปลงพลังปราณเป็นธาตุทั้งสี่ เมื่อถึงยามนั้น มีหวังจุดตันเถียนของเจ้าได้ผุพังจนแตกซ่านได้ ซ้ำวิธีที่เจ้าฝึก มันคือการฝึกแบบผิดวิธี การที่เจ้าฝึกเรียกพลังปราณสองสายออกมาพร้อมกันในทุกคืนมันก็รั้นแต่จะทำให้เส้นปราณของเจ้าหนาขึ้นและจุดตันเถียนของเจ้าถ่ายส่งพลังปราณได้ดีขึ้นเพียงเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้จุดตันเถียนของเจ้าหรือเส้นปราณของเจ้าแบกรับพลังอันพิเศษของเจ้าได้เลย”

กล่าวถึงตรงนี้ ฝ่ามือของอดีตเจ้าสำนักพลันวาดออก ก่อนจะมีสายพลังปราณสายหนึ่งที่มีสีผิดแผกจากปกติปรากฏขึ้น มันเป็นพลังปราณสีเหลืองทอง ที่สีทองของมันนั้นดังกับประกายของดวงตะวันอันเจิดจ้า มองแล้วดูทั้งสวยงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

“แต่เดิมข้าก็คือร่างสถิตราชันมังกรคนก่อนหน้าเจ้า พลังปราณสายนี้ก็คือผลพวงจากการกระทำอันสุดโต่งของข้า ข้าจึงตั้งชื่อมันว่าปราณมาศ”


หลิวเจี้ยนจ้องมองไปที่พลังปราณสายนั้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ไม่ต้องใช้เนตรจ้าวมังกรก็รู้ได้พลังปราณชนิดนี้นั้นพิเศษเป็นอย่างมาก

แต่เมื่อคิดทวนในสิ่งที่ดวงจิตตรงหน้ากล่าว หลิวเจี้ยนก็ต้องผงะไปเล็กน้อย เพราะเขานั้นบอกในคราแรกว่าเจ็บปวด..แถมคำหลังยังบอกว่าการกระทำอันสุดโต่ง ไม่เห็นมีคำว่าฝึกเลย หรือว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องฝึกกัน?

“เอ่อ..ท่านรุ่นก่อน ข้าขอถามท่านได้หรือไม่ว่าวิธีการที่ท่านกล่าวเป็นวิธีเช่นไร?”


“ผ่าตัดเส้นปราณ” ดวงจิตตอบทันควัน


“!!!”

หลิวเจี้ยนถึงกับผงะถอยหลังไปหลายก้าว ตามความรู้อันต่ำต้อยของมัน มันจำได้ว่าเส้นปราณนั้นเป็นอะไรที่เปราะบางมาก แค่บาดเจ็บเส้นปราณเพียงหนึ่งจุดยังเจ็บปวดเหลือแสน แล้วการผ่าตัดเส้นปราณที่ผู้ก่อตั้งสำนักฯ ของมันกล่าวนั้นจะเจ็บปวดถึงเพียงไหน? ดีไม่ดีหากการผ่าตัดเส้นปราณล้มเหลว ไม่ใช่ว่าการเพียรพยายามฝึกฝนของมันตลอดสองปีนี้จะสูญเปล่าหรอกหรือ?


“ไม่ต้องกลัวไป..เจ้าทารกน้อย ชื่อเสียงที่ข้าสั่งสมมาตลอดช่วงชีวิตของข้า ไม่ได้มีแต่วิชากระบี่ที่เด่นเป็นเลิศหรอกหนา ในยุคสมัยของข้า..ข้ายังถูกขนานนามว่าเซียนแพทย์อันดับหนึ่ง ยิ่งตอนนี้ร่างของข้าเหลือเพียงแค่ดวงจิต ข้าก็ยิ่งสะดวกในการผ่าตัด ข้าสามารถใช้มือคว้านใช้พลังจัดแต่งเส้นปราณของเจ้าได้จากภายในโดยไม่ต้องกรีดฉีกแหวกเนื้อหนังของเจ้าออกมา นับว่าเจ้าโชคดีแล้วไม่เหมือนข้าในครั้งอดีตที่ต้องกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง แถมตอนนั้นข้ายังมีเลือดเนื้อจริง ๆ อีกด้วย”

ดวงจิตกล่าวพร้อมกับโบกมือคราหนึ่งส่งพลังพุ่งตรงไปยังร่างของหลิวเจี้ยน “ว่าแล้วพวกเรามาเริ่มกันดีกว่า..อย่าได้ชักช้า เวลาของข้าเหลือไม่มากแล้ว”


ร่างของหลิวเจี้ยนต่างลอยขึ้นจากพื้นดินช้า ๆ ขาของคนแกว่งไปมาอย่างไร้แรงต้าน “ดะ..เดี๋ยว..สต๊อปปุ!! ทะ..ท่านไม่คิดจะใช้ยาชาหรือยาสลบก่อนหรือ!!!”


“ยาชา? ยาสลบ? ไม่จำเป็นหรอกเจ้าทารกน้อย ประเดี๋ยวความเจ็บปวดก็ทำให้เจ้าชาไม่ก็สลบไปเอง..” ดวงจิตของผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขากล่าวจบ ไม่ทันที่หลิวเจี้ยนจะกล่าวโต้แย้งใด ๆ คลื่นพลังสายหนึ่งได้พุ่งตรงผ่าเข้าตรงจุดตันเถียนของหลิวเจี้ยน ความเจ็บปวดของคนต่างทำให้ร่างของมันสะท้านไปทั่วร่างซ้ำร่างของคนยังสั่นเทิ้มไปด้วยความเจ็บปวด

พลังปราณของหลิวเจี้ยนต่างพลุ่งพล่านไปทั่ว อดีตเจ้าสำนักสะบัดมือซ้าย..ใช้พลังปราณของมันคอยประคองพลังปราณที่รั่วไหลของหลิวเจี้ยนเอาไว้ส่วนมือขวานั้นก็ทำด้วยท่าทางคล้าย ๆ กันโดยมีหน้าที่ตัดผ่าเส้นปราณทั่วร่างของคนไข้ในการดูแลของมันอย่างพิถีพิถัน

ท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับไวยากรณ์วงออร์เคสตราที่คอยควบคุมทุกอย่าง..อย่างอ่อนหยุ่นมีระเบียบด้วยมือเพียงสองข้าง


ทุกครั้งที่มือขวาของอดีตเจ้าสำนักขยับ ความเจ็บปวดต่างประดังประเดเข้าสู่ตัวของหลิวเจี้ยน หลิวเจี้ยนรู้สึกได้ถึงทุกจุดที่ถูกตัดผ่า ไม่ต้องให้ดวงจิตผู้ก่อตั้งอธิบาย หลิวเจี้ยนก็รู้วิธีการผ่าตัดของเขาว่าตรงไหนถูกกรีดหรือตรงไหนถูกผ่าบ้าง

ดวงจิตผู้ก่อตั้งนั้นใช้วิธีกรีดด้านยาวเส้นปราณของหลิวเจี้ยนทั้งสองเส้นตั้งแต่หัวจรดท้าย ก่อนที่เขาจะใช้พลังปราณของเขาเย็บต่อเส้นปราณทั้งสองเส้นเข้าด้วยกัน ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่หลิวเจี้ยนรู้สึกเจ็บปวดที่สุด ซ้ำยังยาวนานกว่าตอนถูกกรีดผ่าเส้นปราณอีก

ท้ายที่สุด ดวงจิตของเจ้าสำนักจึงค่อย ๆ ใช้มือซ้ายของมันบังคับใช้พลังปราณของเขาต้อนพลังปราณของหลิวเจี้ยนกลับไปที่เดิมที่มันควรอยู่แล้วจึงเย็บปิดส่วนท้ายด้วยความประณีตแล้วจึงค่อย ๆ คลายพลังปราณที่โอบอุ้มร่างของบุรุษหนุ่มลง ปล่อยร่างอันอ่อนแรงนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น

สรุปเวลาทั้งสิ้นในการผ่าตัดเส้นปราณนั้น คือสี่ชั่วยามกับอีกสองเค่อกว่า ทว่าความรู้สึกของหลิวเจี้ยนนั้นราวกับห้าวันห้าคืน มันเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานสุดแสนสาหัสที่สุดในชีวิตนี้ที่หลิวเจี้ยนเคยรู้สึกมา หากภายภาคหน้าบุรุษคิ้วบางผู้นี้ประสบเคราะห์กรรมระลอกใหม่ ตัวของมันก็ยังแน่ใจว่าอาจไม่มีความเจ็บปวดใหม่ครั้งไหนสู้ความเจ็บปวดในครั้งนี้ของตนได้


ดวงจิตผู้ก่อตั้งสำนักสี่ขุนเขาลอยเทียบประชิดตัวของหลิวเจี้ยน

“หลังจากนี้สามวันห้ามเจ้าเคลื่อนลมปราณเป็นอันขาดหากไม่อยากทำให้แผลตรงเส้นปราณของเจ้าปริแตก จงหลับพักผ่อนซะ..เจ้าทารกน้อย”

มือข้างขวาของดวงจิตโบกผ่านใบหน้าของหลิวเจี้ยน ดวงตาของบุรุษคิ้วบางค่อย ๆ หนัก สติของคนที่ซวนเซไม่แข็งแรงพลันวูบดับลง

แต่ก่อนที่สติของหลิวเจี้ยนจะมืดสนิท ปากของเจ้าสำนักรุ่นแรกก็ได้ขยับอีกครั้ง “จงจดจำวิธีนี้เอาไว้.. ภายภาคหน้าเจ้าจำเป็นต้องใช้วิธีที่ข้าทำต่อกับอีกแน่นอน.. เจ้าทารกน้อย..”


หลังจากหลิวเจี้ยนหลับไปด้วยผลจากวิชาของดวงจิตผู้ก่อตั้งฯ ร่างอันเลือนรางก็ได้หอบยกร่างของบุรุษคิ้วบางกลับออกมาจากภายในห้องด้วยพลังปราณของมันที่ตอนนี้เริ่มอ่อนแรงลงแล้ว

พอออกมาถึงตรงลานกว้าง ดวงจิตนั้นก็ได้วางร่างของหลิวเจี้ยนลงบนพื้นโล่งตรงลานกว้างหน้าประตูทั้งสามบานก่อนที่ดวงจิตนั้นจะหันมองซ้ายขวาคราหนึ่งเพื่อหาตัวของซุนโหวหวัง

เมื่อไม่เห็นคนที่มันต้องการพบ ใบหน้าที่สุดเลือนรางของดวงจิตพลันเบ้ปาก ดวงตาเองก็กลอกไปมาอย่างเหลืออดก่อนที่ดวงจิตนั้นจะลอยไปที่ประตูบานที่สามแล้วจึงใช้พลังปราณอัดกระแทกเข้าใส่บานประตูจนเกิดเสียงระฆังลั่นดังสามครั้ง

“เห้ย! พวกเจ้าน่ะตายอดตายอยากมาจากไหน! นี่มันก็ห้าชั่วยามแล้วยังไม่เลิกแล้วอีกหรือ!! พวกเจ้าจะจัดกันต่ออีกกี่รอบกัน!!”


ทว่า ไร้คำกล่าวใดตอบสวนกลับมาจากภายในห้อง มีเพียงแต่เสียงครวญครางของหนานหงส์เซียเท่านั้นที่บรรเลงตอบกลับมา

ดูท่าหญิงสาวจะเสพติดรสสวาทของบุรุษหน้าขนเข้าจนถอนตัวออกยากแล้ว

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว