ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีมอและกางเกงยีนส์เก่าที่มีรอยสีและคราบอะไรบางอย่างที่ระบุไม่ได้ ยืนเกาะอยู่ที่หน้ากระจกห้องเด็กอ่อน ในโรงพยาบาลเอกชนที่การบริการเป็นเยี่ยมสมกับค่ารักษา ดวงตาเข้มบนใบหน้ารกหนวดเคราทอดมองไปยังเด็กทารกที่นอนเรียงรายอยู่ในนั้นด้วยสายตาตื่นเต้น
พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาวๆ หลายคนที่เดินเข้าออกห้องเด็กอ่อนต่างเหลือบมองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ และถึงกับจับกลุ่มซุบซิบกัน
“พ่อของน้องคนไหนหรือเปล่า” เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ถามคนนั่ง ในห้อง
“ไม่นี่ ไม่เห็นบอกว่าเป็นพ่อของน้องคนไหน แค่มายืนดูอยู่แบบนั้น”
“นานหรือยัง” อีกคนถามพลางเหลือบมองตาวาวๆ ของหนุ่มมาดเซอร์แบบหวาดระแวง
“เป็นสิบนาทีแล้วนะ”
“หรือญาติคนไข้” คนแรกตั้งข้อสังเกต
“สารรูป เอ๊ย แต่งตัวแบบนั้นเหรอ ไม่น่าใช่นะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ส่ายหัว ก็โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ค่ารักษาแพงหูฉี่ คนไข้ที่มาล้วนแต่นั่งรถหรูแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมแทบทั้งสิ้น
“งั้นคงพวกมาสมัครงานมั้ง ตึกเรากำลังรับคนงานใหม่อยู่นี่ คงหลงมา อย่าไปสนใจเลย”
แล้วเหล่าสาวๆ ก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองต่อ
หนุ่มมาดเซอร์ที่ยังยืนเกาะกระจกสะดุ้งเมื่อมีมือคู่หนึ่งตบลงบนบ่า
“รีบมาอะไรขนาดนั้นวะเจ้าสอง มาจากไซต์งานเลยใช่ไหมนี่ น้ำท่าได้อาบหรือยัง” คนถามรูปร่างสูงใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ผิวคล้ำเข้มและเค้าหน้าคล้ายคลึงกันจนใครเห็นก็บอกได้ว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือด
“หลานคนแรกนะเว้ยพี่หนึ่ง มันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา” สมาธิหันไปตอบศีลผู้เป็นพี่ชาย
“แล้วไหนล่ะหลาน คนไหน” ศีลไล่สายตาไปยังทารกน้อยที่นอนเรียงกันอยู่ทีละคน เพื่อหาว่าคนไหนมีเค้าหน้าเหมือนสติมาผู้เป็นน้องสาว
“ไม่รู้ว่ะพี่ น่ารักไปหมดเลย”
“อ้าว! แล้วไม่ได้ถามเขาหรือไง”
สมาธิส่ายหัว “ไม่เห็นมีใครให้ถาม เขาเดินกันฉับๆ ไม่สนใจผมเลย”
“เขาคงนึกว่าโจรจะมาลักเด็กมั้งเนี่ย” ศีลเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะกวาดตามองสารรูปของน้องชาย ที่แม้จะมีกลิ่นสะอาดสะอ้าน แต่เสื้อผ้าที่ใส่ก็บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวรีบร้อนเสียจนคว้าได้แต่ชุดที่ใส่ทำงาน
“เจ้าสามล่ะ” สมาธิมองหาปัญญ์ น้องชายคนเล็ก
“อยู่กับหนูมา ไปเหอะ ไปหาน้อง เดี๋ยวเขาคงพาตัวหลานไปที่ห้องเองแหละน่า”
ลับร่างสองหนุ่มไปไม่นาน เจ้าหน้าที่ห้องเด็กอ่อนสองคนก็เดินออกมาด้านนอก
“ตาคนนั้นไปแล้ว”
“นั่นไง คงพวกคนงานเดินมาดูเด็ก คงไม่ใช่พ่อใครหรอก”
“แค่มาดูคงไม่เท่าไร ถ้ามาดูลาดเลานี่ไม่ดีแน่ คนมาคลอดที่นี่ฐานะดีๆ กันทั้งนั้น เผื่อมีคนร้ายมาดูๆ เตรียมจะลักพาตัวเรียกค่าไถ่ลูกเศรษฐีคนไหนเป็นเรื่องแน่”
“ก็คงต้องช่วยๆ กันดูแหละ”
แล้วสองสาวก็เดินแยกจากกันไปคนละทาง
“พี่แสง พี่แสงขา...หยุดก่อนได้ไหมคะ หนูมาขอเข้าห้องน้ำก่อน” เสียงอ่อยของแม่ลูกอ่อนที่นั่งอยู่บนรถเข็นดังขึ้น ทำให้ทั้งขบวนที่ประกอบด้วยพันแสงที่โอบอุ้มตะกร้าที่มีลูกน้อยนอนหลับอยู่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ทำหน้าที่เข็นรถ รวมทั้งพี่ชายสามคนหยุดชะงักไปตามๆ กัน
“ขอเวลาแป๊บนะคะ” สติมาหันไปค้อมศีรษะบอกกับพนักงาน ฝ่ายนั้นยิ้มให้แล้วล่าถอยออกไปเตร่อยู่แถวเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“พี่สาม กระเป๋าหนูมาอยู่ไหนคะ”
ปัญญ์รีบเดินเข้ามาวางกระเป๋าผ้าสีหวานลงบนตักน้องสาว สติมาเปิดกระเป๋าแล้วควานมือเข้าไปด้านในพักเดียวก็หยิบห่อบางอย่างออกมา
“พี่แสงขา...คือ...หนูมาจะต้องเข้าห้องน้ำ หนูมาลืม...ลืมใส่นี่...แหะๆ”
คุณแม่มือใหม่โชว์ห่อของบางอย่างที่ทำเอาบรรดาพี่ชายทำหน้างงไปตามๆ กัน แต่พ่อลูกอ่อนที่ศึกษาเรื่องของแม่และเด็กมาหลายเดือนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“งั้นไปที่ห้องน้ำโน้นดีกว่า พี่จะได้เข็นรถเข้าไปให้หนูมาได้เลย ไม่ต้องเดินเอง ดีไหม” พันแสงบุ้ยหน้าไปยังห้องน้ำสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ที่อยู่ไม่ไกล
“พี่สอง ฝากน้องพริมด้วยนะคะ” สติมาหันหาพี่ชายคนรอง
“ฝากพี่เหรอ”
สีหน้าลิงโลดสุดขีดของพี่ชายทำให้สติมาน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน
“ฝากดูหลานไว้แป๊บนึงนะคะ หนูมาไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านกัน”
สมาธิก้าวยาวๆ เข้ามารับตะกร้าหวายด้วยความกระตือรือร้น โอบอุ้มอย่างทะนุถนอมแล้วเดินไปนั่งข้างกระถางต้นไม้ ก้มหน้าลงพูดคุยเสียงอ่อนเสียงหวาน ไม่สนใจพี่กับน้องชายที่ขอตัวเดินเอาของไปเก็บที่รถแล้วจะออกไปรอที่ด้านหน้าอาคาร
นั่งเล่นกับหลานอย่างเพลิดเพลินอยู่พักเดียว มีคนจำนวนหนึ่งกึ่งเดิน กึ่งวิ่งผ่านไป มีเสียงพูดคล้ายกำลังตระหนกกับอะไรบางอย่าง ฝีเท้าเร่งร้อนผ่านไปสักครู่ก็ย้อนกลับมา คราวนี้มาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ
“คุณ...คุณครับ”
คราแรกสมาธิไม่ได้สนใจเพราะมัวทำหน้าทำตาล้อหลานน้อย แต่พอมีมือมาสะกิดเลยหันไปมอง
“นี่...คนนั้นนี่...ใช่ไหม เธอว่าใช่ไหม” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยามหันไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“เหมือนจะใช่ ฉันจำได้ว่าแต่งตัวแบบนี้แหละ ไปด้อมๆ มองๆ ที่ห้องเด็กอยู่ตั้งนาน ตั้งแต่วันก่อนแล้ว”
“คุณครับ ในตะกร้านั่นลูกคุณหรือเปล่า” ยามถามด้วยสีหน้าระแวง
“ไม่ใช่ครับ คือ...ลูกของ...”
“คุณช่วยนั่งอยู่ตรงนั้นก่อน” ยามไม่ยอมฟังให้จบแต่ถอยออกห่างแล้วพูดเข้าไปในวิทยุสื่อสาร “เจอผู้ต้องสงสัยแล้ว ขอกำลังเสริมด้วย” จากนั้นก็หันมาพูดกับสมาธิอีกรอบ
“กรุณาอยู่นิ่งๆ ตรงนั้นนะครับ อย่าเพิ่งลุกไปไหน แล้วช่วยส่งตะกร้ามาให้เจ้าหน้าที่ด้วยครับ”
“ทำไมต้องนั่งนิ่งๆ ด้วย ไม่เข้าใจ ผมกำลังจะกลับแล้ว” ร่างสูงใหญ่อุ้มตะกร้าใส่หลานสาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
ยามยกมือห้าม “ขอร้อง หยุดยืนตรงนั้นก่อนนะครับ แล้วช่วยส่งตะกร้าเด็กให้เจ้าหน้าที่ด้วยครับ” บุ้ยหน้าไปยังเจ้าหน้าที่สาวสองคน แล้วหันไปกวักมือเรียกยามคนอื่นให้วิ่งเข้ามาใกล้
“มันมาดูลาดเลาจริงๆ ด้วย แล้ววันนี้พอมีโอกาสเลยขโมยซะเลย”
สมาธิหันขวับไปมองคนพูด “ขโมย ขโมยอะไร แล้วทำไมผมต้องส่งหลานให้คุณด้วย”
“เด็กไง เด็กที่แกขโมยมาไง” เจ้าหน้าที่หญิงที่เผอเรอเปิดช่องให้มี คนขโมยทารกไปจากห้องเด็กประณามด้วยเสียงสั่น ยังกลัวๆ ร่างสูงใหญ่หนวดเคราครึ้ม
“หา! ขโมยอะไร นี่หลานผม ลูกของน้องสาว ผมมารับกลับบ้าน”
“แล้วพ่อแม่เด็กอยู่ไหนล่ะ” คราวนี้เจ้าหน้าที่สาวอีกคนขึ้นเสียงบ้าง
“แม่เขาเข้าห้องน้ำ”
“แล้วพ่อเด็กล่ะ”
“ไปด้วยกัน”
“บ้าหรือเปล่า ผู้ชายโตๆ ที่ไหนจะตามไปเข้าห้องน้ำผู้หญิง ข้ออ้างชัดๆ”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ” เสียงหวานใสถามมาจากข้างหลังทำเอาทั้งวงหันขวับ
“หนูมา!” สมาธิร้องเรียกน้องสาวด้วยเสียงยินดี
“เกิดอะไรขึ้นคะ พี่สอง น้องพริมเป็นอะไรหรือเปล่า” สติมาที่นั่งบนรถเข็นมีพันแสงยืนอยู่ด้านหลังถามด้วยเสียงตกใจ
“ไม่ๆ หลานหลับสบายดี แต่พวกนี้น่ะสิหาว่าพี่ขโมยเด็กมา”
“เด็กคนนี้ลูกคุณเหรอครับ” ยามหนุ่มหันไปถามผู้มาใหม่
“ใช่ครับน้องพริม ลูกสาวเราเอง เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงเข้มกับมาด ซีอีโอออกชัดจนยามและเจ้าหน้าที่เริ่มหน้าซีด กระสับกระส่ายไปตามๆ กัน
“คือว่า...มีคนขโมยเด็กจากห้องเด็กอ่อน แล้ว...แล้ว...เจ้าหน้าที่บอกว่าคล้ายๆ คุณคนนี้” ยามหนุ่มชี้มือไปยังเจ้าหน้าที่หญิงสองคนแล้วหันมาชี้ที่สมาธิ
“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นนะ แค่บะ...บอกว่าแต่งตัวคล้ายๆ แบบนี้” คนที่เพิ่งกล่าวหาสมาธิเมื่อครู่รีบเปลี่ยนท่าที
“ผมขอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็แล้วกันครับ จะได้เคลียร์ว่าน้องพริมเป็นลูกของเราจริงๆ พอดีผมพาภรรยาไปเข้าห้องน้ำ ฝากลูกไว้กับ พี่ภรรยา ผมมีภาพถ่ายของลูกตอนเกิด มีภาพลายพิมพ์มือกับเท้าแต่เอาไปเก็บไว้ในรถแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวจะนำมาให้ดู แต่ระหว่างนี้ควรจะลองตามเด็กทางอื่นด้วย เพราะป่านนี้คนร้ายคงพาเด็กที่หายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
ครึ่งชั่วโมงถัดมา พันแสงที่หน้าตายังเคร่งเครียดพาสติมาพร้อมด้วยเด็กหญิงพริมออกไปขึ้นรถเพื่อกลับไปยังบ้านพิชญไพสิฐพงษ์ มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนรอส่งเป็นขบวน ส่วนสมาธิได้บัตรวีไอพี ไว้ใช้ลดค่ารักษาเป็นกรณีพิเศษ แถมด้วยบริการตรวจสุขภาพฟรีอีกหลายรายการ เพื่อเป็นการขออภัยกับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
สถาปนิกหนุ่มส่ายหัวด้วยความเซ็งจัด เดินออกมานอกอาคารเพื่อจะ ขึ้นรถอีกคันกลับไปยังร้านอาหารของน้องสาวซึ่งอยู่ติดกับบ้านของน้องเขย
ทันทีที่ก้าวออกจากตัวอาคารผ่านใต้ร่มไม้ใหญ่ครึ้มก็มีอะไรบางอย่างหยดแหมะลงโดนศีรษะ
“เฮ้ย! ฝนตกเหรอวะเนี่ย” สมาธิแหงนขึ้นมองฟ้า
“ตกที่ไหน ไม่มีฝนสักแหมะ” น้องชายท้วง
“แล้วน้ำอะไรหยดโดนหัวพี่วะสาม” มือใหญ่เอื้อมขึ้นไปแตะกลางหัวตัวเองแล้วเอามาส่องดู “แหวะ ขี้นกนี่หว่า ไอ้นกบ้า ที่อื่นมีตั้งเยอะไม่ไปขี้ใส่ นกเวรเอ๊ย”
“มันช่างเลือกที่ดีจริงๆ” พี่ชายคนโตหัวเราะขึ้นมา
“พี่สองผมว่าพี่เลี่ยงไม่ได้แล้ว พี่ต้องแก้บน” ปัญญ์หันมาทำหน้าจริงจัง
“หา!”
“ตั้งแต่หนูมาแต่งงานพี่เจอมาแล้วกี่เรื่อง เรื่องเจ็บตัวทั้งนั้น เมื่อกี้ยังมาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโจรขโมยเด็กได้อีก ผมว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องนั้นแน่ๆ”
“เรื่องอะไร” สมาธิเหล่ตามองน้องชาย
“จำได้ไหมพี่สองเคยบอกว่าไง ถ้าหนูมาแต่งงานพี่จะแก้ผ้ารำแก้บน น้องแต่งงานจนมีลูกหนึ่งแล้วพี่ยังไม่ยอมทำอะไรเลย มันถึงได้ซวยไง แก้บนเหอะ ไม่งั้นจะซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยไม่รู้จบแบบนี้ไง”
ปัญญ์จบคำพูดหนักแน่นพร้อมกับฝ่ามือหนักๆ ที่ตบลงบนบ่ากว้างของพี่ชายรอง ซ่อนใบหน้าที่กล้ามเนื้อมุมปากสั่นระริกเพราะความอยากหัวเราะไม่ให้พี่ชายเห็น
“ไซต์งานใหม่นี่ได้ข่าวว่าผีดุ เจ้าที่คงแรง ผู้รับเหมากี่เจ้าๆ เผ่นหมด แกไม่กลัวผีนี่ ไปแก้บนที่นั่นเลยแล้วกันเจ้าสอง” ศีลสำทับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
แล้วทั้งพี่ชายคนโตและน้องชายคนเล็กก็เดินจากไป ทิ้งให้สมาธิยืน คอตกอยู่เพียงลำพังตรงทางเดิน
“เอาก็เอาวะ แค่แก้ผ้ารำสองสามเที่ยว มันจะยากอะไรนักหนา”