บทนำ
รถไฟชินคันเซ็นค่อยๆเคลื่อนตัวจากสถานีต้นทางชินชิโตเสะท่ามกลางหิมะโปรยในฤดูหนาว ภายในอัดแน่นด้วยผู้โดยสารหลากหลายสัญชาติที่เพิ่งลงจากเครื่องบิน บ้างง่วนอยู่กับสัมภาระของตน บ้างมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกซึ่งถูกปกคลุมด้วยสีขาวและไอเย็นจนแทบทำให้ลืมภาพทิวเขาเขียวขจีในฤดูอื่นไปเลย
มือเรียวสัมผัสกระจกหน้าต่างข้างตัวเบาๆ รู้สึกถึงไอเย็นจากภายนอกที่ส่งผ่านเข้ามา รอยยิ้มบางแต้มอยู่บนใบหน้าเรียวเล็ก ที่ไม่ว่าร่างกายจะผอมบางยังไง ทว่ายังเห็นแก้มป่องระบายสีชมพูระเรื่ออยู่ เป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็นึกเอ็นดู นี่คงเป็นเหตุผลให้ใครๆต่างคิดว่าเธอเป็นเด็กมัธยมปลายอยู่เสมอ ทั้งที่จริงๆปีนี้เธออายยุย่างเข้า 25 ปีดีดักแล้ว
มีรดา หรือ มีไซน์ เรียนจบคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทย เพราะความรักในการ์ตูนญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กๆทำให้เธอเลือกเข้าคณะนี้ เมื่อได้เรียนภาษา วัฒนธรรรม ประเพณีของประเทศในดวงใจแล้ว ทำให้เธอยิ่งหลงรักแดนอาทิตย์อุทัยนี้ยิ่งขึ้นไปอีก จบมาเธอเลยเลือกทำงานด้าน Creative Content ที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง โดยเขียนคอลัมเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ งานนี้เพื่อตอบสนองความต้องการตัวเองล้วนๆ เงินเดือนน่ะเหรอ ถือว่าเอาตัวรอดได้เป็นพอ
และการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เช่นกัน ตอบสนองความต้องการตัวเองล้วนๆ
กว่าจะขอบรรณาธิการลากิจ 2 เดือนเพื่อมาตามสิ่งที่เธอสัญญาไว้กับตัวเองเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้ ก็ทำเอาเหงื่อตกใช่เล่น เพราะการมาญี่ปุ่นครั้งนี้นับเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง เธอเลยใช้โอกาสนี้หว่านล้อม คุณพิจิกา หรือ บรรณาธิการสาวสวยของเธอ ว่าจะเขียนคอลัม‘พิเศษ’ ส่งไปให้สำนักพิมพ์ได้ตีพิมพ์ทุกๆ 2 อาทิตย์ ครั้งนี้เลยถือว่ามาทำงานไปด้วยในตัว
ระหว่างรอรถไฟเดินทางถึงสถานีปลายทาง มีรดาดึงยางมัดผมสีดำที่ข้อมือมามัดผมสีน้ำตาลคาราเมลไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็คโซเชียลตามประสาเด็กยุคไอที สักครู่ก็มีข้อความทางไลน์เด้งขึ้นมาไม่หยุด จะมาจากใครได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนรักจอมป่วน คู่หูคู่เฮของเธอ
‘ถึงรึยังยะ?’
‘หนาวมากมั้ย?’
‘ถ่ายรูป ถ่ายสตอรี่มาเยอะๆนะแก รอดูอยู่’
‘มีหนุ่มญี่ปุ่นหล่อๆมั้ย พกมาฝากเพื่อนด้วย’
‘แกไป 2 เดือนเลยเหรอ ฉันเหงาแน่เลยอ่ะ’
เนี่ย แล้วจะไม่ให้ไลน์เด้งไม่หยุดได้ยังไง ส่งมาซะเยอะแยะ ตอบไม่ทันเลย
มีรดาส่ายหัวพลางยิ้มขำ พิมพ์แชทตอบกลับไป
‘ถึงแล้วย่ะ หนาวมาก ฮอกไกโดเดือนมกรานะ จะไม่ให้หนาวได้ไงแม่ เดี๋ยวจะถ่ายรูปกับวิดีโอไว้เยอะๆเลย ส่งให้แกคนเดียว ฮ่าๆ อีกอย่างหนุ่มญี่ปุ่นน่ารักมาก แต่คงพกไปให้แกไม่ได้ เพราะฉันต้องเก็บไว้เองอยู่แล้ว อิอิ ...โถ่ แม่คุณ 2 เดือน แกไม่เหงาหรอก ทีแกไปเวิค(Work and travel)ที่เมกาตั้ง 3 เดือนกว่าฉันยังไม่บ่น รอไปค่ะเพื่อน’
หลังจากพิมพ์ตอบกลับยาวเหยียด มีรดาก็เก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าเส้อโค้ท แล้วหันไปสนใจวิวข้างทางที่ไม่มีอะไรให้ตื่นตานัก นอกจาทิวเขาสีขาวทอดยาว
สักพักเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น มีรดาเลยหยิบขึ้นมาตอบอีกครั้ง เพราะรู้ว่าใครส่งมา
‘กรี๊ดๆ แกเก็บหนุ่มญี่ปุ่นไว้เองคนเดียวไม่ได้หรอก แกมี ‘เป้าหมาย’ของแกแล้วนี่นา เจอ ‘เขา’รึยัง’
ประโยคนี้ทำให้มีรดาเงียบไปสักพัก เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเจอ ‘เขา’ ไหม...
‘เขา’ จะมาตามที่เขาเขียนไว้หรือเปล่า...
‘ยังไม่เจอย่ะ แกรีบอะไรเบอร์นั้น ฉันเพิ่งลงเครื่องเอง’ เธอพิมพ์ตอบ
‘รีบดิ ตื่นเต้นด้วย แกรอเจอเขามา 5 ปีเลยนะ ถ้าเจอเขาแล้ว แกจะทำไง’
ทำยังไงน่ะเหรอ…
เธอยังไม่รู้เลย…
รู้แค่ว่า อยากเจอ
‘เดี๋ยวเจอก็คงคิดออกเองแหละ นี่ฉันมาอาสาสมัครนะเว้ย ไม่ได้มาหาเขาคนนั้นอย่างเดียว เผื่อแกลืม งานที่พี่พิจิกามอบหมายให้ก็กองเท่าภูเขา ฮือออ’
‘สมควร ลางานตั้ง 2 เดือน บริษัทอื่นไล่ออกแล้วแม่เอ้ย ดีนะที่แกต่อรองกับบก.ไว้ หึๆ วางแผนมานานล่ะสิ ตั้ง 5 ปีนี่ โฮะๆ’
ทำไมเธอจินตนาการใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับเจ้าตัวทำท่าเอามือปิดปากหัวเราะอย่างกระบิดกระบวนของเพื่อนตัวแสบคนนี้ออกนะ การได้แซวเพื่อนคือความสุขของแกสินะ ยัยดาริน!
‘เรื่องนี้พอแล้วมั้ยเพื่อน ไม่ต้องแซวแล้วย่ะ เดี๋ยวฉันเจอเขาเมื่อไหร่ จะบอกแกเอง เคนะ’
พิมพ์เสร็จ มีรดาก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าโค้ทตามเดิม และหยิบหนังสือนิยายเล่มบางขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาแทน
ผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง มีรดาสะดุ้งตัวออกจากโลกของนิยายรักหวานแหววเพราะเสียงประกาศภาษาญี่ปุ่นของทางรถไฟว่าถึงสถานีชิมุคัปพุ สถานีที่เธอต้องลงแล้ว
ช่างเป็นสถานีที่เงียบเชียบอะไรเช่นนี้ เมื่อกี้ในรถไฟยังมีคนแน่นขนัดไปหมด แต่พอมาถึงสถานีนี้ปุ๊บกลับมีคนลงแค่2 คน ซึ่งนับรวมเธอแล้วด้วยนะ รถไฟชินคันเซ็นค่อยๆเคลื่อนตัวไป ทิ้งไว้แต่มนุษย์2คน และความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหิมะที่กระทบกับหลังคาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
“นี่ขนาดเคยมาแล้วนะ ไม่ชินเลย”
มีรดาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าช่วงที่เธอเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้นั่นมันเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แถมยังเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยสีสัน และความอบอุ่น ไม่ใช่ฤดูหนาวที่ทุกอย่างขาวโพลนแบบนี้
นึกแล้วก็ถอนหายใจ เธอเคยสัมผัสฤดูหนาวครั้งหนึ่งตอนไปเที่ยวเกาหลี แต่ก็ไม่ถึงขึ้นหิมะกองท่วมแบบนี้ แถมแสงอาทิตย์ยังแทบสาดส่องผ่านเมฆครึ้มบนท้องฟ้าลงมาไม่ได้เลย ช่างให้ความรู้สึกเหงาหงอยเสียนี่กระไร
จากสถานีชิมุคัปพุ เธอต้องต่อรถบัสไปยังเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า ‘ฮิดากะ’ ซึ่งเป็นกิ่งจังหวัดในตอนกลางของภูมิภาคฮอกไกโด ด้วยความที่เคยเดินทางไปสถานที่เป้าหมายมาก่อน ทำให้เธอสามารถจัดการทุกอย่างตามแพลนได้ แม้จะทุลักทุเลเพราะต้องเดินฝ่ากองหิมะที่หนาถึงหน้าแข้งก็ตาม
เมื่อถึงสถานีรถบัสในตัวเองฮิดากะ มีรดาเห็นหญิงชราตัวเล็กวัย 60 ปี ท่าทางแข็งแรง และกระตือรือร้นเดินตรงมาหาเธอพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“มิซุจัง! ยินดีต้อนรับกลับมา!” หญิงสูงวัยทักทายเธอด้วยภาษาญี่ปุ่น
“สวัสดีค่ะ คาวางาชิซัง ดีใจที่ได้เจอคุณอีก” มีรดาตอบกลับ ก่อนจะโค้งให้อย่างนอบน้อม
“ฉันติดตามเธอในเฟสบุ๊คตลอดเลยนะ โตเป็นสาวแล้วสวยเชียว” หญิงชรายิ้มกว้างจนเห็นริ้วรอยแห่งวัย ก่อนจะโอบไหล่เธอ แล้วก้มลงช่วยมีรดาถือกระเป๋า
“ไม่เป็นไรๆค่ะคาวางาชิซัง เดี๋ยวฉันถือเอง ฉันก็ติดตามเรื่องราวของคุณจากเฟสบุ๊คเหมือนกัน เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา อาสาสมัครมาเยอะเลยนะคะ สนุกน่าดูเลย” มีรดาโบกมือเชิงห้าม ก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นรถคันเล็กของเจ้าของสถานที่ที่เธอจะไปทำงานอาสาด้วยอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้ว สนุกมากเลย มีเด็กหนุ่มจากอิตาลี สเปน ฮ่องกง หน้าตาหล่อเหลาทั้งนั้น แต่บางคนสำเนียงภาษาอังกฤษฟังยาก จนฉันสื่อสารกับเขาผิดๆถูกๆหลายรอบ ฮ่าๆๆ” หญิงชราตอบพลางหัวเราะเสียงดัง
นี่คือคาวางาชิ มิกิเอะ หรือโฮสยาย หญิงชราท่าทางแข็งแรง ใจดี และทำอาหารอร่อยมาก แถมยังควบตำแหน่งเจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮิดากะที่ที่เธอจะไปทำงานอาสาสมัครในครั้งนี้ด้วย จริงๆแล้วฟาร์มม้าแห่งนี้ชื่อว่า ฟาร์มคาวางาชิ ซึ่งดูแลโดยสองสามีภรรยาวัยเกษียณ คุณคาวางาชิ โยชิดะ และ คุณคาวางาชิ มิกิเอะ ซึ่งเปิดฟาร์มเลี้ยงม้ามาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ทั้งคู่ช่วยกันดูแลกิจการฟาร์มแห่งนี้ให้เป็นที่เพาะพันธุ์ม้า พื้นที่สำหรับเรียนขี่ม้า และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อผู้คนได้มาขี่ม้าเล่นในวันหยุด
ทุกๆปีจะมีอาสาสมัครจากทั่วทุกมุมโลกมาช่วยทำงานในฟาร์มแห่งนี้ แลกกับที่พักและอาหาร ซึ่งคุณคาวางาชิ มิกิเอะ หรือโฮสยาย จะเป็นคนทำอาหารให้ทุกมื้อ ในแต่ละรอบของการรับอาสาสมัครโฮสตายายจะรับแค่ 5-6 คนเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนจะอยู่ที่นี่แล้วแต่สะดวก มีตั้งแต่ 2 อาทิตย์ จนถึง 6 เดือน ซึ่งจะมีอาสาสมัครใหม่ๆผลัดเปลี่ยนเวียนรอบกันไป
การมาอาสาสมัครนอกจากจะได้ใกล้ชิดกับคนญี่ปุ่นแล้ว ยังเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี การดำรงชีวิตประจำวันของคนที่นี่อีกด้วย ต่างกับประสบการณ์เวลามาเที่ยวลิบลับ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มีรดาหลงรักเมืองเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักของประเทศญี่ปุ่น และอยากกลับมาอีกครั้งเมื่อมีโอกาส
จริงๆ ก็นับ ‘เรื่องนั้น’ ด้วย ที่ทำให้เธออยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง