ปิยะพันธ์ ทายาทคนกลางของตระกูลเจนตธรรมมา ลุกออกจากห้องทำงานส่วนตัวที่บ้านเมื่อเด็กในบ้านเข้ามารายงานว่าเพื่อนสนิทของเขามาขอพบ
"มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่าเทพ มาหาแต่เช้าเชียว"
"ก็ไม่เชิงด่วนหรอก ไม่ใช่ธุระของฉันโดยตรง แต่มันก็เกี่ยวกันอยู่เหมือนกัน"
"งั้นแสดงว่าคงเกี่ยวข้องกับฉันใช่ไหม"
ผู้เป็นเจ้าของบ้านเลิกคิ้วเชิงถามชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันที่นั่งแสดงสีหน้าไม่สู้สบายใจ
"ก็นิดนึง แต่ที่สำคัญคือฉันอยากชวนนายออกไปทำธุระที่ว่านั่นสักหน่อยใกล้ๆแค่เมืองชลแค่นี้เองพอจะว่างไหม"อดิเทพถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะถามด้วยกิริยาเกรงใจ เป็นผลให้เจ้าของบ้านยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้น
"นายกำลังมีปัญหาอะไรอยู่ใช่ไหมถ้ากลุ้มมากเล่าให้ฉันฟังก็ได้นะหรือถ้าฉันช่วยอะไรได้ก็บอกมา"
"ฉันก็ตั้งใจมาบอกนายนั่นแหละ แต่เราออกไปคุยกันในรถก็ได้นิจะได้ไม่เสียเวลา"
"เอางั้นก็ได้ในรอฉันอาบน้ำแต่งตัวสักพักนึงนะ"ปิยะพันธ์พยักหน้ารับปากและรีบลุกไปจัดการธุระส่วนตัวปล่อยให้เพื่อนสนิทที่เขาไว้ใจมากที่สุดนั่งรออยู่เพียงลำพัง
"นายมีปัญหาอะไรจะบอกฉันรึ หรือว่าจะให้ฉันช่วยอะไรหรอ"ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะที่เพื่อนสนิทซึ่งทำหน้าที่คนขับรถพาเขามุ่งหน้าออกจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดชายทะเลด้านตะวันออก
"เรื่องหุ้นของบริษัทนายนั่นแหละ"อีกฝ่ายตอบเสียงขรึม
"ทำไม? หุ้นของบริษัทฉันทำไม"
"ฉันอยากขอซื้อหุ้นในส่วนของพวกนายเพิ่มขึ้นอีก 30% ได้ไหมของพวกนายพี่น้องมีอยู่ต้อง 65 เปอร์เซ็นต์แต่ของฉันแค่ 5% ฉันว่ามันน้อยเหลือเกินหรือไม่นายก็บีบให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆแบ่งหุ้นให้ฉันบ้าง"อดิเทพบอกจุดประสงค์ของตนให้เพื่อนซึ่งมีฐานะเป็นเจ้านายของตนในบริษัทฟังด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
เขาต้องการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเลยด้วยซ้ำถ้าทำได้หากคงยากจึงคิดว่าขอแค่ให้ได้เป็นผู้ถือหุ้นในจำนวนเท่าๆกับของเพื่อนก็ยังดีดีกว่าเป็นแค่หุ้นส่วนขี้ปะติ๋วเท่านั้น
"ไม่ได้หรอก นายจะให้ฉันใช้อำนาจทำตามความต้องการของนายไม่ได้หรอกเว้น แต่จะมีใครเต็มใจอยากขายเองนายก็ต้องลองคุยกับเขาดู"
"งั้นฉันขอลองคุยกับนายเป็นคนแรกเลยฉันขอซื้อหุ้นของนาย 30% นายกับฉันจะได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเท่าๆกัน"
"เทพ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่บรรพบุรุษของฉันก่อนร่างสร้างขึ้นมาพวกฉันพี่น้องต้องรักษามันไว้ถึงยังไงก็ต้องให้คนในตระกูลฉันมีหุ้นมากกว่าครึ่งไปตลอด นายอย่าขอในสิ่งที่ฉันตกลงให้ไม่ได้เลย"ชายหนุ่มผู้รับสืบทอดกิจการมาให้คำตอบแก่เพื่อนด้วยน้ำเสียงเรียบพร้อมกับนึกแคลงใจขึ้นมาอีก
เขาเคยช่วยเหลืออดิเทพไว้จากคนที่ไม่มีอะไรเลยไม่มีแม้แต่เงินจะเรียนต่อระดับปริญญาตรีให้ได้เข้ามาทำงานในบริษัทจนกระทั่งตำแหน่งก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆและยอมแบ่งให้เพื่อนเป็นผู้ถือหุ้นด้วย 5% เพื่อหวังให้เพื่อนมีความมั่นคงมากขึ้นโดยที่ในเวลางานที่ บริษัท อดิเทพจะแสดงกิริยากับเขาเช่นพนักงานทั่วไปทำนอกเวลางานและบริษัทก็คือเพื่อนกัน
ถ้าว่า 30% ที่เพื่อนขอซื้อจากเขานั้นมันไม่ใช่เงินน้อยๆเขาสงสัยว่าเพื่อนจะเอาเงินมาจากไหนเพราะลำพังเวลานี้ที่ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถแต่ละเดือนก็หลายตังค์อยู่ มิใช่เขาจะดูถูกเพื่อนว่าไม่สามารถเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้ในอนาคตหากเขาทราบรายรับรายจ่ายและแต่ละเดือนของเพื่อนคนนี้ดีนอกจากนี้อดิเทพก็รู้ดีมาตลอดว่าบริษัทของเขากับที่น้องนี้ เป็นธุรกิจที่สืบทอดมาและเป็นธุรกิจของตระกูลที่เขากับพี่น้องต้องรักษาไว้แล้วเหตุใดจึงกล้าพูดเช่นนี้อีก
"งั้นนายจะแบ่งให้ฉันได้เท่าไหร่ล่ะ"อดิเทพถามเซ้าซี้
"ไม่ได้เลยเพราะไม่ใช่ของฉันคนเดียวฉันกับพี่น้องยังถือหุ้นร่วมกันอยู่"
"ถ้างั้นไม่เป็นไรไว้ฉันหาที่ลงทุนใหม่ก็ได้ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละแต่เดี๋ยวให้ฉันไปหาเพื่อนที่ชลบุรีก่อนละกันแล้วเราค่อยกลับคงไม่ทันมืดหรอกมั้ง"ผู้เป็นเพื่อนและลูกน้องอึ้งไปชั่วขณะกับคำตอบตัดความหวังนั้นจากนั้นจึงหัวเราะและบอกยังไม่คิดอะไรมากแล้วหันเหความสนใจไปคุยเรื่องอื่นเสีย
"บ้านเพื่อนนายทำไมเข้ามาลึกนักล่ะนี่มันป่าอ้อยทั้งนั้นไม่เห็นมีบ้านคนเลย"ปิยะพันธ์เอ่ยถามขึ้นในตอนหนึ่งของการสนทนาเมื่อเห็นว่ารถแล่นเข้ามาบนถนนลูกรังที่มีแต่ปากห้อยทั้งสองข้างทางโดยไม่มีวี่แววของบ้านเรือนสักหลัง
"จนถึงแล้วฉันกำลังจะบอกนายอยู่นี่แหละว่าต้องลงเดินต่ออีกหน่อยเพราะรถยังเข้าได้ไม่ถึงบ้านมันเลย"อีกฝ่ายที่ทำหน้าที่ขับรถบอกทางแล้วเบนหัวรถเข้าจอดนิ่งสนิทข้างทางจากนั้นจึงลงไปยืนรอผู้เป็นเจ้านายของตนลงมาแล้วจึงพาออกเดินไปตามทางแยกเล็กๆ
"พันธ์ฉันขอส่วนแบ่งหุ้นจากนายสักหน่อยไม่ได้หรอ"อดิเทพถามเสียงเรียบอีกครั้งขณะเดินลึกเข้าไปโดยปล่อยให้ผู้เป็นเพื่อนเดินนำเล็กน้อย
"ฉันบอกนายแล้วไงว่าไม่ได้ ทำไมนายไม่ลองเอาเงินไปลงทุนที่อื่นดูบ้างล่ะ"ปิยะพันธ์ ยังคงยืนกรานคำตอบเดิมเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเพราะว่าสิ้นเสียงปุ๊บเขาก็รู้สึกแปล๊บที่หัวไหล่พร้อมๆกับเสียงปืนดังก้องก่อนจะถูกผลักลงไปนอนที่พื้นและปืนกระบอกที่อยู่ในมือเพื่อนก็เล็งมาที่เขา
"ฉันอุตส่าห์ให้โอกาสในเป็นครั้งที่ 2 แล้วแต่นายก็ยังปฏิเสธฉัน ฉันไม่ได้ขออะไรมากเลยแค่ขอเป็นเจ้าของหุ้นให้เท่ากับนายเท่านั้น"อดิเทพพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
"นายเป็นบ้าไปแล้วหรอเทพฉันเป็นเพื่อนของนายนะ"
"แต่ฉันไม่สนว่านายจะเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าถ้านายตายอยู่ที่นี่ซะฉันก็จะมีวิธีจัดการให้พี่สาวกับน้องชายของนายยอมยกหุ้นทั้งหมดให้ฉันได้เอง ชาตินี้นายกับฉันเป็นเพื่อนกันแค่วันนี้แล้วกันนะ"สิ้นเสียงให้เตรียมกระสุนปืนก็ถูกลั่นดังก้องอีก 2 นัด
ปิยะพันธ์รู้สึกถึงความร้อนและเจ็บจนชาอีกครั้งบริเวณต้นขาข้างซ้ายและสีข้างที่เขารู้สึกว่าเพียงเฉียดไป เขาทราบแน่ชัดแล้วว่าเพื่อนทรยศคนนี้ต้องการชีวิตของเขาแน่นอนด้วยบาดแผลทั้งหมดที่ได้รับทำให้เขาต้องแสดงสีหน้าและกิริยาเจ็บปวดสุดฟื้นและพักผ่อนไปด้านหนึ่งพยายามหายใจแผ่วลงคล้ายคนใกล้หมดลม
"ฮ่าๆๆนายจะค่อยๆตายอย่างทรมานในป่านนี้ฉันเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่เคยมีต่อกันก็จะไม่ให้นายตายคาที่ซะทีเดียวหรอกนายจะเลือกออกจนหมดและตายอยู่ที่นี่กว่าจะมีใครเข้ามาเจอก็คงหน้าเละไปแล้วหุ้นของนายทั้งหมดก็ตกเป็นของฉันไปแล้วด้วย ขอให้นายได้ขึ้นสวรรค์ถึงชั้นที่ไหนต้องการนะโชคดี"ปิยะพันธ์ยังคงหลับตานิ่งกัดฟันฟังถ้อยคำที่ออกมาจากปากและจิตใจต่ำช้าของเพื่อนเนรคุณ
เขานอนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่เจ็บปวดบาดแผลจนแทบสลบ เพื่อนเนรคุณของเขายังเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าตังค์ของเขาเป็นการใช้ก่อนจากไปด้วย
กระทั่งได้ยินเสียงรถแล่นห่างออกไปจนเหลือเพียงความเงียบจึงพยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวดลุกขึ้นเดินไปตามทาง เขาเป็นคนที่มีธาตุ ทรหดอยู่แล้วบาดเจ็บแค่นี้จะทำให้เขายอมแพ้นอนตายอยู่ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาดถ้าเขาตายเขาจะไม่ได้ตายเพียงคนเดียวถ้าว่าอาจจะพาเอาชีวิตของพี่สาวกับน้องชายรวมทั้งธุรกิจที่เป็นของตระกูลต้องพังไปด้วยอย่างน้อยที่สุดเขาต้องพาตัวเองออกไปให้อยู่ในบริเวณที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาให้ได้เขาจะต้องชนะ
"ใครน่ะ เรื่องอะไรมานอนหน้าบ้านเรา" ทิพรดาชักเท้าพร้อมขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างมอมแมมของบุรุษหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างรั้วบ้าน เธอนั้นหวาดระแวงว่าอาจเป็นพวกเสพสารเสพติดหรือเมายาบ้าจึงยังไม่ได้เดินเข้าใกล้นักหากเดินถอยกลับไปหาไม้เหมาะมือ งถือกลับเข้ามาใหม่
"คุณ...คุณ…."หญิงสาวใช้ไม้ในมือเขียนร่างของเขาพลางเรียกอย่างระวังตัว
"ช่วย...ผม….ช่วยพาผม...ส่งโรงพยาบาล"เสียงแพรวขาดเป็นห้วงดังจากร่างที่นอนคว่ำและพยายามจะผงกศีรษะขึ้นหาไม่สำเร็จ หญิงสาวจึงต้องเข้าใกล้ร่างนั้นและถามทวนอีกครั้ง เเละเองสายตาจึงเห็นรอยเลือดที่พื้นและเข้าใจทันทีจึงรีบเข้าไปถอยรถออกอย่างรวดเร็ว
"อยากแจ้งตำรวจนะผมทำปืนลั่นเอง"ปิยะพันธ์ยังคงกัดฟันควบคุมสติที่เลือนลางเต็มทีบอกผู้ให้ความช่วยเหลืออันด้วยน้ำเสียงอันแผ่วโหยขาดเป็นห้วง
เขารู้ว่าอาการอ่อนระโหยจนแทบไร้สติเลือนลานนี้มาจากการเสียเลือดมากไม่ใช่ความหนักหนาสาหัสของบาดแผลเนื่องจากกระสุนไม่ถูกจุดสำคัญเพื่อนรักที่ทรยศของเขาเข้าใจหาวิธีตายที่แสนทรมานให้เขาดีแท้ๆ ตั้งสติให้มั่นไม่ตกใจกับสภาพของคนเจ็บและขับรถพาเขาส่งโรงพยาบาลด้วยความไม่ประมาทมิเช่นนั้นตัวเธอเองอาจกลายเป็นคนเจ็บไปด้วยอีกคนก็ได้