เริ่มก้าวสู่โลกกว้าง
"สายแล้ว!!..สายแล้วป้า!! ไม่รู้รถไฟจะออกหรือยัง”
เสียงหญิงสาววัย สิบแปด ตะโกนขึ้น แข่งกับเสียงจอแจของผู้คน ขณะก้าวลงจากรถโดยสารสีแดงที่จอดเทียบข้างฟุตบาท ในมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยกระเป๋าใส่สัมภาระใบใหญ่หลายใบ
ทันทีที่ก้าวพ้นจากบันไดรถ เด็กสาวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง นำ หญิงท่าทางสมส่วนที่ถูกเรียกขานว่าป้า แต่แกยังดูดี เพราะรู้จักดูแลสุขภาพตนเองเป็นอย่างดี ใบหน้าได้รับการแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างลงตัว
ร่างผอมเล็กของป้า อยู่ใน เสื้อลูกไม้สีชมพูหวาน กระโปรงผ้าซิ่นทออย่างดี ในมือข้างซ้ายหล่อนหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไม่แพ้กันกับหลานสาว มืออีกข้างถือชะลอมหลายใบ เดินตุปัดตุเป๋ตามหญิงสาวมากระชั้น
ด้วยร่างอันบางเล็กของป้ากรอปกับกระเป๋าใบยักษ์ทำให้ดูเกะกะ เมื่อต้องเดินเบียดฝ่าฝูงชนที่บ้างต้องการออกจากสถานี และอีกมากที่พยายามเบียดเข้าไม่แพ้ร่างสูงปราดเปรียวของเธอ
"แจ่มบอกป้าแล้วนะจ๊ะ.. ว่าให้ลุงอ้ายเอารถมาส่งก็ไม่เชื่อ! เห็นไหมล่ะ?.. หาเรื่องลำบากเองแท้ๆเลย!!”
เด็กสาวหันมาบ่นเสียงขุ่น
"ก็ไอ้ฉันก็กลัวว่ามันจะ เสียเวลาเค้านี่ อีกอย่างเขาต้องไปดูน้ำเข้านาอีก แกก็รู้ว่าปีนี้ฝนมันเยอะ.. น้ำก็เยอะ ไหนจะท่วมอีก ต้องสูบออก”
หญิงวัยกลางคนแห๊วขึ้น อย่างอารมณ์เสีย โดยไม่ทันได้สังเกตปาก ขมุบขมิบของผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าตน
ทั้งคู่เดินมาหยุดตรงชานชาลาหมายเลขสอง ผู้คนยังคงจอแจกัน ไม่ต่างอะไรกับตลาดสดย่อมๆ บ้างนั่งลงบนม้านั่งยาวพร้อมสัมภาระที่วางไว้บนตัก บ้างยืนคุยกันด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ อย่างไม่แคร์สายตา สับปะรด แถวนั้น
"เนี้ย!! เป็นเพราะป้าคนเดียวเลย.. ไม่รู้รถไฟมันออกไปแล้วมั้ง โธ่เอ้ย!”เด็กสาวโวยวาย
ท่าทางกระฟัดกระเฟียด พร้อมกับก้มลงล้วงค้นหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋า โดยไม่ได้สนใจใยดี ใบหน้าอันสลดๆเหยเก ของใครบางคน
"เออ ๆ!!..ฉันผิด” ผู้เป็นป้าพึมพำเบาๆ
"ฮู้!!..หายไปไหนเนี้ย?...ก็จำได้ว่าครั้งสุดท้ายเก็บไว้ในนี้นี่นา” เด็กสาวพูดเสียงดังอย่างหัวเสีย
มืออันบอบบางของเธอก็ยังคงควานหาของในกระเป๋าเอาจริงเอาจัง
"นั่นแก..หาอะไรของแก เฮอะ!! ยัยแจ่ม?” ป้าก้มลงดูของในกระเป๋าหลานที่กำลังป่วนด้วยน้ำมือหลานสาว ทั้งที่เมื่อคืน หล่อนเห็นหลานสาวรีดเสีย เรียบแล้วเรียบอีก
"ก็ตั๋วหนะสิป้า แจ่มจำได้ว่า..แจ่มเอาใส่ไว้ในนี้ มันหายไปไหนแล้วล่ะ?”
"อ้าว!! อะไรของแกเล่า?..ก็อยู่ที่ฉันนี้ไง ก็แกเองไม่ใช่เร้อ?..ที่ยื่นให้ฉันบนรถแดง”ป้าแกว่า ยึดตัวขึ้นพร้อมกับล้วงกระดาษแผ่นเล็กยาว สองใบส่งให้เด็กสาว นามว่า แจ่มใส
แจ่มใส ยึดตัวขึ้นตามมองป้าของตนพร้อมสายตาที่คาดโทษ
"แล้วป้าทำไม.. ไม่บอกแจ่มตั้งแต่แรกเล่า?” พูดจบเด็กสาวก็ดึงตั๋วจากมือป้าของตน แล้วทรุดตัวลงนั่ง ปากก็ยังคงบ่นขมุบขมิบไม่หยุด เพียงแต่ไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ระคายหู
"เอ๊ะ!!..ยัยนี่ แล้วแกถามฉันสักคำไหมล่ะ?..ห๊ะ!! แกนี่มันพาลจริงๆ”
หล่อนเท้าสะเอว มองเขม็งมาที่หลานสาวอย่างหงุดหงิด ยังไม่ทันที่หล่อนจะได้พูดอะไรต่อ เด็กสาวก็ลุกพรวด เล่นทำเอาคนที่จ้องถึงกับสะดุ้ง!!
ป้าของแจ่มใส มองอาการเลิกลักของหลานอย่างข้องใจ ก่อนที่จะทันได้เอ่ยอะไรเด็กสาวก็โพลงขึ้นมา
"ทำไมไม่มาสักทีนะ?” มองนาฬิกาข้อมือที่ป้าของเธอซื้อให้เมื่อวันเกิดปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นนาฬิกาที่ไม่แพงมากนัก เพราะเป็นนาฬิกาสายหนังธรรมดา ไม่ได้มียี่ห้ออะไร
แต่แจ่มใสเองก็รู้สึกชอบของขวัญชิ้นนี้ของป้ามากกว่าของขวัญวันเกิดอีกหลายๆชิ้นที่ป้าเคยให้ในแต่ละปี ซึ่งจะรวมกันอยู่บนหัวเตียงไม้เก่าๆของเธอ ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆ ตุ๊กตาหมียักษ์ ของกระจุกกระจิก อย่างนาฬิกาทราย หรือเสื้อผ้าที่เธอใส่เป็นประจำก็ตาม
เพราะเป็นชิ้นเดียวที่เธอมีโอกาสได้เลือกด้วยตนเอง วันนั้นแจ่มใสจำได้ว่าเป็นวันเกิดของเธอ
ป้า พาเธอไปซื้อของมาขายที่ร้านของชำของหล่อน
ร้านขายของของป้าอิ่ม เป็นร้านขายของ ร้าน เล็กๆ ในตัวหมู่บ้าน มันเป็นร้านเก่าแก่ที่ป้าบอกว่าได้รับตกทอดมาจากยายของเธอ
"ยัยแจ่ม นั่นแกจะเดินไปไหนล่ะนะ?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นท่าทางเลิกลัก และกำลังจะก้าวห่างออกไป
"แจ่มจะไปถามนายสถานีหน่อยจ๊ะป้า เดี๋ยวแจ่มมา”
ผู้เป็นป้ามองตามหลังเด็กสาวอย่างห่วงใย หล่อนเองดูแลและรัก แจ่มใส เหมือนดั่งลูก แม้ว่าตัว หล่อนเองก็ไม่ได้ให้กำเนิด และไม่ได้ให้น้ำนมจากอก
แต่หล่อนก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก แต่น้อย หล่อนยังจำได้ถึงวันนั้น วันที่รับเอาเด็กหญิงตัวน้อยวัย ห้าขวบ ที่ช่างพูด ช่างคุย ช่างประจบ
หล่อนนึกรักเด็กหญิงคนนั้นตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่า เอม น้องสาวคนเดียวของหล่อนจะไม่ได้ฝากฝัง ให้หล่อนช่วยดูแลอย่างเป็นทางการ อันที่จริงจะเรียกว่า ไม่ได้กล่าวสั่งเสีย หรือล่ำลากันด้วยซ้ำ
เพราะความตาย อันร้ายกาจจะมาพราก เอมไปจากหล่อนและลูกสาวตัวเล็กๆ และคนที่รักเอมไปอย่างทันด่วน
เมื่อหล่อนได้รับโทรศัพท์ จากโรงพยาบาล ว่ารถยนต์ ที่น้องสาวของหล่อนนั่งมา ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ขณะน้องสาวของเธอเดินทางจาก กรุงเทพฯ จะมาเยี่ยมเธอที่เชียงใหม่
ทั้ง เอมและดล น้องเขยของหล่อนเสียชีวิตในทันที เหลือเพียงเด็กน้อย รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์
เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด จากแจ่มใสน้อย เด็กหญิงได้แต่ทำหน้าสลดแล้วพร่ำแต่ว่า ป๊ะกับมิ ของเธอ จะมองดูเธอจากบนสวรรค์ อิ่มผู้ป้า ก็แสนเวทนาเด็กน้อยยิ่ง จึงไม่กล้าถามว่าใครสอนเด็กหญิงให้คิด และพูดจาอย่าง รู้เกินตัวเช่นนี้
เด็กน้อยเติบโตมาอย่างว่าง่าย แต่ติดที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเล็กน้อย และหัวรั้น ไม่ผิดไปจากเอมแม่ของเธอ แต่ถึงจะดื้อ และรั้น แต่แจ่มใสเองก็ไม่เคยทำตัวให้ ป้าอิ่มของเธอต้องวุ่นวายใจ
แจ่มใสเองมักมีเรื่องให้อิ่มได้ภูมิใจและแปลกใจไม่น้อยอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นประกาศเกียรติคุณ นักเรียนมารยาทดี ระดับประถม ระดับมัธยมต้น หรือรางวัลการประกวดร้องเพลง ซึ่งแจ่มใสจะนำมาอวดป้าของเธอเสมอ
แต่บางทีอิ่มก็อดนึกขันไม่ได้ว่า หลานจอมซุ่มซ่าม และเด็กกะโปโลอย่างหลานหล่อน คว้ารางวัล อย่างนั้นมาได้อย่างไร?